ผมว่าความแพ้….

โดย อัยการชาวเกาะ เมื่อ 18 ตุลาคม 2009 เวลา 5:06 ในหมวดหมู่ นักกฎหมายอย่างผม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 2748

แล้วก็มีเรื่องฟัดกับอัยการในคดี แต่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องนั้นเป็นคดีลักรถจักรยานยนต์ จำเลยถูกหาว่าลักรถจักรยานยนต์เพราะก่อนรถจะหายจำเลยไปเมาแถวหน้าบ้านผู้เสียหาย แต่ขณะมีคนร้ายลักทรัพย์ไม่มีคนเห็นเหตุการณ์ แต่เนื่องจากในตอนเช้าตำรวจไปพบรถจักรยานยนต์ที่ทางสามแพร่ง แพร่งหนึ่งไปบ้านจำเลยได้ จึงเชื่อว่าจำเลยเป็นคนลัก ผมรับคดีนี้เพราะเป็นญาติกับพยาบาลซึ่งภรรยาผมทำงานด้วย ว่าความฟรีอีกนั่นแหละ อิอิ ปรากฏว่าเมื่อไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย ศาลก็เลยยกฟ้อง

อัยการเจ้าของสำนวนในขณะนั้น (โปรดอย่าลืมว่า ตอนนั้นผมยังเป็นทนายอยู่ อิอิ)อุทธรณ์ว่า “โจทก์ไม่เข้าใจว่า ถ้าจำเลยไม่ใช่คนร้ายแล้ว รถจักรยานยนต์จะไปจอดอยู่ปากทางเข้าบ้านจำเลยได้อย่างไร” ว่าเข้านั่น….ผมก็ต้องเขียนแก้อุทธรณ์ แต่เขียนอุทธรณ์ด้วยความสนุกและอารมณ์ขัน ศาลอ่านคำแก้อุทธรณ์ผมแล้วหัวเราะก๊าก… เพราะผมเขียนว่า ถ้าจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์จริงทำไมเอาไปทิ้งไว้อย่างนั้น และจำเลยไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เมื่อโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนร้าย จำเลยจะต้องไปรับผิดชอบคดีที่จำเลยไม่ได้ก่อทำไม…ฮา…และหากโจทก์เชื่อว่าคนที่มีทางเข้าบ้านอยู่ตรงนั้นเป็นคนร้าย ก็ต้องจับเอามาทั้งหมู่บ้านไม่ใช่จำเลยเพียงคนเดียว ฮา…

อัยการท่านนี้ว่าความสู้กับผมหลายคดีส่วนใหญ่ผมจะชนะคดีอยู่เรื่อย จนผมสอบอัยการได้ ในที่สุดก็มาเป็นลูกน้องท่านและผมก็โดนยำเสียเละ ฮ่าๆ แต่ลูกพี่ใหญ่ไม่เอาด้วย ถ้าไม่ลืมผมจะเล่าให้ฟัง อิอิ

มีคดีหนึ่งที่ลูกความมาหาผมบอกว่าถูกโกงเรื่องไปซื้อที่ดิน ขอให้ฟ้องคดีอาญาเอามันติดคุกให้ได้ ว่าความเท่าไหร่บอกมาสู้เต็มที่ ผมขอตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ผมยื่นโนติ๊สไปถึงฝ่ายผู้ขาย ซึ่งเขาก็ดีครับมาพบผมที่สำนักงาน แต่มาถึงเรื่องที่เขาเล่ากลับตาลปัตรครับ กลายเป็นว่าลูกความผมไปโกงเขาต่างหาก ผมตรวจเอกสารแล้วเป็นจริงอย่างที่ผู้ขายเล่าให้ผมฟัง ผมก็เลยปฏิเสธไม่รับคดีเพราะทำใจไม่ได้ที่จะร่วมมือกับคนโกงไปโกงชาวบ้าน เลยรวยไม่เป็นสักที ฮ่าๆ

กับอีกเรื่องหนึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับที่ดินข้างเคียงมีปัญหาเรื่องแนวเขตที่ดินที่มีการสร้างบ้านรุกล้ำกัน แต่คดีนี้มาจบกันที่ศาลด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เนื่องจากเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกันมานาน ผมเป็นคนร่างสัญญาประนีประนอมยอมความ หลังจากที่เซ็นชื่อกันเรียบร้อยแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน หลังจากนั้นอีกสองวันคู่ความฝ่ายตรงข้ามไปหาผมที่สำนักงาน พูดกับผมขอให้ผมแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความให้เขาได้เปรียบ เพราะเขาเห็นว่าทนายของเขารักษาผลประโยชน์ของเขาไม่ได้ ผมบอกเขาว่าก่อนที่ผมจะตอบคำถามว่าจะแก้สัญญาให้เขาได้หรือไม่ ผมขอถามก่อนแล้วกันว่า ถ้าผมแก้สัญญาให้ เวลาคุณมีคดีในอนาคตคุณจะจ้างผมไหม แกนั่งยิ้ม…ผมถามว่าไม่จ้างใช่ไหม…เพราะผมไว้ใจไม่ได้…นี่คือคำตอบว่าผมทำตามที่แกต้องการไม่ได้ แต่ผมก็อธิบายว่าการแก้ไขที่จะทำให้ลูกความผมเสียสิทธิผมจะทำได้ต่อเมื่อเป็นความยินยอมของลูกความผมเท่านั้น และผมได้อธิบายผลดีผลเสียให้ลูกความผมทราบก่อนจึงจะแก้ไขได้ แต่ในที่สุดลูกความผมอลุ้มอล่วยเป็นการตกลงกันได้ด้วยดี วันรุ่งขึ้นคู่ความฝ่ายตรงข้ามเอาแตงโมมาให้ผม ๑ เข่ง และฝากไปให้ทนายของตัว ๒ ลูก ฮา……

ทนายความไทยกับทนายความต่างประเทศมีข้อแตกต่างกัน โดยเฉพาะทนายความไทยในต่างจังหวัดกับเมืองกรุงยังต่างกันเลยครับ ทนายต่างประเทศนอกจากมีค่าว่าความ ยังมีค่าปรึกษาด้วย แต่ต่างจังหวัดก็จะมีคนมาขอปรึกษาคดีแต่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะฟ้องหรือไม่ สู้คดีหรือไม่ เรียกว่าไปหาผู้รู้ก่อน แต่บางทีมันเสียเวลา ทนายบางคนเขาจึงคิดค่าเสียเวลาแต่มันไม่มากแบบต่างประเทศที่คิดค่าปรึกษาเป็นนาที แต่ผมไม่ได้คิด รายที่มาขอคำแนะนำปรึกษาที่มันมากก็คือป้าจีบ…

ป้าจีบแกมีปัญหาเรื่องที่ดินแกมีที่ดินแยะพอสมควรอยู่ติดถนนเพชรเกษม แกอยู่ตรงกลางที่ดิน หลังจากได้รับมรดกจากพ่อมาแล้ว ป้าจีบคนยากของผมก็เริ่มตัดที่ดินขาย แต่วิธีตัดแบ่งที่ดินของป้าจีบแกเล่นตัดข้างซ้ายขายทีนึง ตัดข้างขวาขายทีนึง ตัดซ้ายบ้างขวาบ้าง ทีนี้ที่ดินป้าจีบท้ายบานครับ ลองนึกภาพดูสิครับถ้าตัดขายอย่างนั้นผลสุดท้ายมันจะเป็นอย่างไร ผมเห็นบ้านป้าจีบตั้งแต่ไปอยู่ที่ตะกั่วป่าใหม่ๆ ทางเข้าบ้านป้าจีบรถยนต์เข้าได้สบาย จนกระทั่งผมเป็นทนายปีที่สาม บ้านป้าจีบต้องจูงรถจักรยานเข้า ป้าจีบแกก็ไม่สบายใจด้วยรู้สึกว่าที่ดินของแกถูกบุกรุกจากเจ้าของที่ดินข้างเคียง จึงมาปรึกษา
แกมาพบผมตอนห้าโมงเย็น แกบอกว่าถ้ามากลางวันกลัวว่าผมติดงานอยู่จะไม่สะดวกเพราะเรื่องมันยาว แต่ป้าจีบไม่มีความรู้แกก็เล่าเรื่องตามที่แกอย่ากเล่า แต่ทำให้ผมปวดหัวมาก แกเล่าเรื่องราวที่ดินของแกเริ่มตั้งแต่ภาระเดือดร้อนต้องตัดที่ดินแบ่งขาย ขายคนนั้นเป็นอย่างนั้น ขายคนนี้เป็นอย่างนี้ แล้วก็ถอยมาที่ตั้งแต่พ่อยังมีชีวิตอยู่ เล่าไปเล่ามาก็มาถึงที่พิพาทที่มีปัญหา แล้วก็ย้อนไปตั้งแต่เขามาซื้อที่ของแกใหม่ๆ ผมก็อดทนอดกลั้นเพราะแกเป็นคนแก่ที่อาจจะสับสนไปบ้าง จนกระทั่งสองทุ่มก็ยังไม่จบ เฮ้อ…ผมถามป้าจีบว่าหิวไหม ผมกลับจากศาลมายังไม่ได้กินอะไรเลยผมหิว กินข้าวกันก่อนไหม แกบอกว่า “กิน”..ฮา…..ผมนั่งกินข้าวกับป้าจีบที่บ้านผมเสร็จ แกก็ขอปรึกษาต่อผมฟังดูแล้วท่าทางจะจบไม่ค่อยลง เวลาสามทุ่มผมก็บอกว่าป้าจีบมาใหม่พรุ่งนี้เหอะผมไม่ไหวแล้วเหนื่อย แกก็เลยกลับ

วันรุ่งขึ้นป้าจีบมาใหม่ แต่คราวนี้ผมไม่ให้แกเล่าผมสรุปให้แกฟังว่าเรื่องราวเป็นอย่างนี้ใช่ไหม แล้วให้คำแนะนำแกว่าข้อมูลแกสู้ไม่ได้ แกก็บอกว่าเขาเคลื่อนย้ายหลักโฉนด เพราะหลักโฉนดเดิมไม่ได้อยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน และตอนนี้เขาฟ้องว่าแกนั่นแหละไปบุกรุกที่ดินเขา อ้าว….ก็เลยต้องไปสู้คดีให้แก แต่บอกแกแล้วว่าโอกาสชนะไม่มีแต่ถ้าป้าจีบแน่ใจว่าเขาเคลื่อนย้ายหลักโฉนดก็ท้ากันให้รังวัดเลย ถ้าเคลื่อนย้ายหลักโฉนดให้โจท์แพ้ ถ้าไม่ได้เคลื่อนย้ายให้ป้าจีบแพ้ และผลเป็นไปตามคาดพอรังวัดออกมาหลักโฉนดเขาอยู่ที่เดิม แกเลยแพ้คดี ป้าจีบตายไปหลายปีแล้วแกแพ้เพราะแกไม่มีประสบการณ์ในการแบ่งที่ดินขาย เท่านั้นเอง…แกแพ้เลยทำให้ผมแพ้ด้วย อิอิ…

Post to Twitter Post to Facebook

« « Prev : ทนาย?..ผมเป็นมาแล้ว

Next : ผมเป็นอัยการแล้ว » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 ตุลาคม 2009 เวลา 7:23

    คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ต้องมั่นคนทางจิตใจจริงๆนะครับ และต้องพยายามตั้งคำถาม ตอบคำถามแสวงหาหลักฐานมาพิสูจน์ ต้องมีทีมงาน และทั้งทีมต้องใจเดียวกัน มิเช่นนั้น ไม่ง่ายที่จะไปพิสูจน์หลักฐานกันในศาล  นับถือ นับถือ

  • #2 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 ตุลาคม 2009 เวลา 8:30

    พี่บู้ธครับ
    กว่าจะมาเป็นอัยการผู้เชี่ยวชาญ ผมต้องว่าความคนเดียว  อ่านสำนวนคนเดียว การแสวงหาพยานหลักฐานบางทีได้รับความร่วมมือบ้างไม่ได้รับบ้าง ใช้ลูกล่อลูกชนค้นแคะแกะเอา น้องรุ่นหลังดีหน่อยตรงที่เครื่องไม้เครื่องมือเยอะขึ้น และสำนักงานอัยการสูงสุดก็พยายามพัฒนาการทำงานเป็นทีม แต่ก็ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควรเพราะระบบอัยการ “ทำงานคนเดียวและเก่งทุกอย่าง” อัยการ ๑ ท่าน จะต้องว่าความคดีล้มละลาย คดีอาญา คดีแพ่ง คดีแรงงาน คดีปกครอง คดีเยาวชน หมายถึงว่าไม่ว่าคดีประเภทไหน อัยการรับหมด ว่าความได้ทุกรูปแบบ แต่ความชำนาญเฉพาะด้านล่ะ…อัยการส่วนใหญ่จะถนัดว่าความคดีอาญาครับ และปัจจุบันนี้ก็มีการแยกประเภทคดี มีการแยกศาลแต่ละประเภท แยกอัยการแต่ละประเภท ค่อยดีขึ้นหน่อยครับ ที่แยกไปต่างหากก็มีอัยการคดีแรงงาน อัยการคดีปกครอง อัยการคดีเยาวชนและครอบครัว  ส่วนคดีอื่นในต่างจังหวัดมักจะต้องว่าความทุกประเภทที่เข้ามาครับ
    งานอัยการไม่ง่ายเลยหากทำงานด้วยความรอบคอบ สู้กันอย่างจริงจังตรงไปตรงมา

  • #3 Lin Hui ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 ตุลาคม 2009 เวลา 10:49

    ท่านอัยการของเราชาวเฮ ของเขาดีจริงๆ   อิอิอิ

  • #4 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 ตุลาคม 2009 เวลา 21:22

    ขอบคุณอาม่า..ที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ อิอิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.05813193321228 sec
Sidebar: 0.079201936721802 sec