ทนาย?..ผมเป็นมาแล้ว

โดย อัยการชาวเกาะ เมื่อ 17 ตุลาคม 2009 เวลา 6:41 ในหมวดหมู่ นักกฎหมายอย่างผม, เรื่องทั่วไป, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 2620

มาเริ่มต้นความมันกันต่อครับ….
คดีปล้นในยุคนั้นมีเยอะครับ มีอยู่คดีหนึ่งศาลขอแรง ผมเป็นทนายให้จำเลยห้าคน สู้คดีตั้งแต่ศาลชั้นต้น อุทธรณ์และฎีกา ในที่สุดศาลฎีกายกฟ้อง ผมรู้สึกภูมิใจกับผลงานตนเอง แล้วจู่ๆก็มีชายฉกรรจ์ ๕ คนเดินเช้ามาที่สำนักงาน แล้วมาคุกเข่าก้มกราบผม เขามาขอบคุณที่ผมว่าความให้เขาจนกระทั่งเขาได้รับอิสระ ผมก็อวยพรให้เขากลับบ้านโดยสวัสดิภาพ พวกเรารับพรผมแล้วพูดว่า ท่านครับ พวกผมจะกลับบ้านแต่ไม่มีตังค์ ขอความกรุณาจากท่านช่วยค่ารถผมด้วย ฮา…..ตูว่าความให้ฟรี ทั้งๆที่คดีอย่างนี้พวกเอ็งต้องจ่ายค่าว่าความให้ตูด้วยไม่ต่ำกว่าคนละสองหมื่น เอ็งยังมีหน้ามาขอตังค์ตูอีกเหรอ…ฮึ่ม…ว่าแล้วก็ควักค่ารถให้พวกเขา ๕๐๐ บาท ฮา…

ชื่อเสียงในการว่าความผมเริ่มติดตลาด มีลูกความมาว่าจ้างให้ผมไปว่าความที่ภูเก็ตเป็นคดีพยายามฆ่าในเวลากลางวัน ผมไปดูที่เกิดเหตุ สอบถามรายละเอียด ถ่ายภาพ บันทึกเสียงจำเลย ซักถามรายละเอียด ขอพยานหลักฐานทั้งหมดมาดู (สมัยนั้นมีทนายไปถ่ายภาพที่เกิดเหตุและบันทึกเสียงพยานน้อยมาก แทบจะเรียกได้ว่าในสองสามจังหวัดที่ผมว่าความไม่มีทนายคนไหนทำแบบนี้ งานของผมจึงค่อนข้างละเอียด)

เรื่องนี้น่าสนใจตรงที่จำเลยเอาปืนของพี่เขยไปยิงผู้เสียหายเพราะทะเลาะกันเรื่องเขตแดน แต่กระสุนไม่ลั่น ฝ่ายจำเลยมีแต่จำเลยกับภรรยา ส่วนฝ่ายผู้เสียหายมีลูก ภรรยา และเพื่อนบ้านเป็นประจักษ์พยาน หลังเกิดเหตุผู้เสียหายใช้ให้ลูกชายไปแจ้งความร้องทุกข์ในทันที มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าปืนกระบอกนั้นเป็นของพี่เขยจำเลยและเป็นปืนที่มีทะเบียน ปืนของจำเลยซึ่งเคยเก็บไว้ในบ้านสูญหายและจำเลยเคยแจ้งความไว้ ผมเห็นช่องทางที่จะชนะคดีแล้ว

ผมถามค้านพยานโจทก์จนได้ความว่า เมื่อจำเลยเอาอาวุธปืนสั้นมายิงผู้เสียหายและกระสุนไม่ลั่น ผู้เสียหายใช้ให้ลูกชายไปแจ้งความ ลูกชายไปแจ้งความกับตำรวจว่าจำเลยมีปืน ไม่ได้แจ้งความว่าจำเลยยิงผู้เสียหายแล้วกระสุนไม่ลั่น ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งผู้เสียหายจึงไปแจ้งความเพิ่มเติมว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่า ทำให้ศาลสงสัยว่าถ้าจำเลยยิงผู้เสียหายในวันเกิดเหตุจริง ทำไมลูกชายผู้เสียหายจึงไม่แจ้งความว่าจำเลยยิงพยายามฆ่าบิดา แถมยังมีเหตุที่ฝ่ายจำเลยก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไปทำไม และผมเอามานำสืบพยานฝ่ายจำเลยให้เป็นประโยชน์เสียอีก เหตุการณ์นั้นก็คือ จำเลยยิงทั้งหมด ๓ นัด (ปืนของกลางเป็นปืนลูกโม่ ๖ นัด) เมื่อจำเลยยิงตอนแรก จำเลยยิงขู่ขึ้นฟ้าเพราะฝ่ายผู้เสียหายมีมีดพร้าและขวานและมีหลายคน แต่พอยิงไป ๓ นัดแล้วเห็นผู้เสียหายยังบุกเข้ามาและเห็นจวนตัวจึงยิงใส่ผู้เสียหายแต่กระสุนไม่ลั่น คราวนี้ผู้เสียหายกับพวกก็เงื้อมีดพร้ากับขวานจะฟันจำเลย จำเลยจึงวิ่งหน้าตั้งไปบ้านกำนัน ก่อนถึงบ้านกำนันจำเลยเอากระสุนปืนที่ด้านออกสองนัดโยนข้างทาง ไปถึงบ้านกำนันปรากฏว่ากำนันออกไปธุระเหลือแต่เมียกำนันบอกให้รอและห้ามปรามฝ่ายผู้เสียหาย พอกำนันมาถึงจำเลยก็เทปลอกกระสุนปืนออกจากลูกโม่ยื่นให้กำนันเก็บไว้เป็นหลักฐาน ผมถามว่าเอาปลอกกระสุนขว้างทิ้งทำไม จำเลยบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน ฮา…แล้วถามว่าเอาปลอกกระสุนให้กำนันทำไม เขาก็ตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน ฮา…แต่ว่ากำนันน่าจะเป็นพยานให้ผมได้ว่าผมมีปลอกกระสุนสามปลอก…เออ…แต่จะสู้ว่ายังไงไม่รู้เหมือนกัน เวร…อิอิ

ผมสืบพยานจำเลยว่า พี่เขยของจำเลยมักจะพาลูกมาให้น้องสาวเลี้ยง ก่อนวันเกิดเหตุ ๑ วัน พี่เขยก็พาลูกมาฝากน้องสาว(ภรรยาจำเลย)เลี้ยงดู แต่น้องสาวมีธุระไปไร่ก็เลยนอนเล่นอยู่กับลูก เอาอาวุธปืนสั้นซึ่งก่อนหน้านั้น ๑ วันเอาไปยิงกระรอกเสีย ๑ นัด แล้วเอาปลอกกระสุนออก แล้วเอาปืนกระบอกนั้นไว้ใต้หมอนแล้วนอนเล่นกับลูกจนหลับไป จนกระทั่งตอนเย็นตื่นขึ้นมาก็ออกจากบ้านจำเลยไปโดยลืมอาวุธปืนเอาไว้

ตอนเช้าภรรยาจำเลยเก็บที่นอนพบปืนสั้นของพี่ชาย จึงให้จำเลยเก็บไว้ แต่เนื่องจากบ้านจำเลยเคยถูกงัดลักเอาอาวุธปืนไป ก็เลยต้องเอาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในไร่ด้วย ไม่มีเจตนามีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง ไม่มีเจตนาพาอาวุธปืนติดตัว จนกระทั่งเกิดเหตุ การยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อป้องกันเหตุก็ไม่ได้เจตนาฆ่าใครเพราะถ้าเจตนาฆ่าผู้เสียหายก็ต้องตายหรือถูกกระสุนได้รับบาดเจ็บเพราะอยู่ในระยะที่ใกล้กันมาก และยิงเพียงสามนัด ประกอบกับกำนันมายืนยันว่าเมื่อกลับมาถึงบ้านจำเลยบอกว่าทะเลาะกันเรื่องเขตแดนและจำเลยเทปลอกกระสุนปืนส่งให้มีปลอกกระสุนปืนสามปลอกจริง ในข้อหาพยายามฆ่าศาลเห็นว่าพยานโจทก์มีพิรุธพยานจำเลยฟังได้ ยกฟ้อง แฮ่….

ประเด็นการมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ความว่าอาวุธปืนของจำเลยเคยหาย การที่พี่เขยจำเลยลืมอาวุธปืนเอาไว้และจำเลยเอาไปในไร่ก็หาได้หมายความว่าจำเลยจะมีเจตนาครอบครองอาวุธปืนดังกล่าวไม่เพราะมีเหตุการณ์ที่กระท่อมของจำเลยถูกงัดเอาอาวุธปืนไปครั้งหนึ่งแล้วตามสำเนาบันทึกประจำวัน จึงยกฟ้องในข้อหานี้ แต่ในข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวนั้น การที่จำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไปนอกเขตบ้านจำเลย จนกระทั่งไปทะเลาะวิวาทกับผู้เสียหายในไร่ ถือว่าจำเลยมีเจตนาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน โดยไม่ได้รับอนุญาต จึงมีความผิด แต่เนื่องจากเป็นอาวุธปืนมีทะเบียน ศาลจึงลงโทษสถานเบาแค่โทษปรับ

คราวนี้ชื่อเสียงผมดังเป็นพลุแตก มีคดีตามมาอีกหลายเรื่องแต่นั่นเป็นเพียงผลงานส่วนหนึ่งในการเป็นทนายความและบางเรื่องแม้ชนะคดีแต่คุณธรรมในใจมันเตือนเราตลอดว่าถูกแล้วหรือ คุณกำลังสร้างความเป็นธรรมจริงหรือ ลูกความคุณรอดคุกแต่ผู้เสียหายเขาถูกปล้นฟรีหรือ ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจแต่ยังเป็นทนายต่อเพราะยังไม่มีโอกาสสอบเข้ารับราชการเป็นอัยการหรือผู้พิพากษาเนื่องจากยังไม่ได้รับเนติบัณฑิต (ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดแรง ฮ่าๆ คราวหน้าจะเล่าเรื่องฟัดกับอัยการ เอิ้กๆ)

Post to Twitter Post to Facebook

« « Prev : เป็นทนายอย่างผม

Next : ผมว่าความแพ้…. » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

8 ความคิดเห็น

  • #1 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ตุลาคม 2009 เวลา 6:59

    นั่นแน่ มีขายยาท้ายม้วนอีกนะคะ อิอิ
    คดีที่ท่านอัยการเล่าให้ฟัง(อ่าน)หลาย ๆ คดีนี่
    ทำให้ครูปูมองทนายเหมือนคุณหมอพรทิพย์เลยค่ะ
    มีหน้าที่ตรวจสอบ หลักฐาน จับผิดจับถูกเหตุการณ์
    เหมือนกับผู้ที่เกี่ยวข้องจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจให้เกิดเหตุขึ้นก็แล้วแต่
    ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่ “ไม่จริง” ได้หรอกค่ะ
    ยกเว้นกรณีที่ไม่ทนายไม่เก่ง อิอิ
    หรือต้องรอจนกว่าหลักฐานและพยานจะชัดขึ้น
    พอจะทำให้กระบวนการยุติธรรมฟันธงได้อย่างมั่นใจและเหมาะสม
    เพราะทนายจะมีหน้าที่ตรวจสอบ หาพยานแวดล้อมต่าง ๆ ยืนยันเพื่อคลี่เรื่องออก
    เผลอ ๆ ฉายภาพ slow motion เพื่อให้ศาลทำความเข้าใจได้มากขึ้นอีกด้วย
    และเหตุที่ “จริง” เท่านั้นถึงจะดูสมเหตุสมผล และมีคำตอบในตัวเอง
    จะซักจะค้านมาจากมุมไหน ก็จะเจอเรื่องเดียวกัน

    ความจริงดูเหมือนเป็นสิ่งไม่ตายจริง ๆ นะคะ
    เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่(จะเปิดเผย)แค่นั้นเอง

    จู้ ๆ ค่า กองเชียร์ เพียบ!
    (^_____^)

  • #2 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ตุลาคม 2009 เวลา 7:20

    “ความจริงดูเหมือนเป็นสิ่งไม่ตายจริง ๆ นะคะ
    เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่(จะเปิดเผย)แค่นั้นเอง”
    ครับเปิดเผยเมื่อไหร่….ตาย ฮา…..
    ในกระบวนการยุติธรรมผมเห็นว่าเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะแสวงหาความจริง แต่เวลาไปศาลส่วนใหญ่ก็นึกว่าเป็นศาลาโกหก ใครโกหกเก่งก็ชนะไป ผมทำหน้าที่ในการจับโกหก แต่การจะจับโกหกได้ต้องอาศัยประสบการณ์ เพราะถ้ารู้ว่าโกหกแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ศาลเห็นว่าโกหก ค่าของมันก็คือ เขาไม่ได้โกหก ผมสนุกกับการว่าความที่ตรงนี้ บางทีถามตรงๆไม่ได้ ต้องตั้งคำถามอ้อมภูเขา ในมือซ่อนกระบองเอาไว้ ถามคำถามให้เขาตอบมัดคอตัวเอง ถามไปเรื่อยพอคำตอบถูกมัดดีแล้วถามคำถามเด็ดที่เขาปฏิเสธไม่ได้ ว่าความแบบนี้มันเสียเวลาแต่ได้ผล ผมเคยว่าความตั้งแต่ ๙ โมงเช้าถึง ๖ โมงเย็น หมดแรงกันไปทั้งศาล ฮ่าๆ…

  • #3 ป้าหวาน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ตุลาคม 2009 เวลา 8:13

    ปัญญาประดุจดังอาวุธ  น่ากลัวนักถ้าอยู่ในฝ่ายอธรรม
    หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง  แล้วแต่กรณีว่าใครเข้าออกทางไหน
    ขอบคุณวาสนาข้าน้อย   อิอิ อิอิ

  • #4 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 ตุลาคม 2009 เวลา 8:35

    ใช่ครับป้าหวาน
    นักกฎหมายถ้าไร้คุณธรรม บ้านเมืองพินาศครับ
    แต่ที่น่าเป็นห่วง นักการเมืองเป็นนักกฎหมายเยอะนะสิ…ฮ่าๆ

  • #5 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 ตุลาคม 2009 เวลา 7:55

    หากสังคมไร้คุณค่าคุณธรรมก็น่าจะเข้าสู่สังคม chaos สังคมไม่เคยขาดคุณธรรม แต่ย่อหย่อนไป  เลยย้อนกลับไปทบทวนภาพรวมสังคมว่า องค์ประกอบของสังคมที่จะช่วยกันเสริมเติมแต่คุณธรรมให้กับประชาชนในสังคมเป็นเช่นไรบ้าง   โอ..หวาดเสียวจริงๆ..ในปัจจุบันนี้  สงสาร ทนาย อัยการ ศาล ผู้พิภาคษา จะไม่มีเวลาว่างน่ะซี ก็ทราบๆว่าคดีในบัญชีมากมายมหาศาล การสะสางออกน้อยกว่าคดีใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาก็ เหมือนรถในกรุงเทพฯติดน่ะซี….

  • #6 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 ตุลาคม 2009 เวลา 8:22

    งานคดีฝ่ายที่หนักที่สุดคือฝ่ายคดีอาญาครับ ว่าความกันหูตูบเลย สมัยผมยังว่าความคดีอาญาอยู่เวลาย้ายที ส่งมอบสำนวนเป็นตั้งๆ ประมาณ ๖๐-๘๐ สำนวน และเวลาย้ายกลับมารับสำนวนที่ภูเก็ตก็ประมาณนั้นแหละ นั่นหมายถึงสำนวนที่เอาไปสืบในศาลยังไม่เสร็จ ต้องถือว่ามากเพราะเท่ากับว่าต้องว่าความไม่มีวันหยุดทั้งเดือนและเป็นเวลา ๒-๓ เดือน ที่ไม่มีวันหยุดเลย  สำนวนที่เข้ามาเราต้องอ่านวิเคราะห์ก่อน สำนวนที่การสอบสวนมีปัญหาเราก็สั่งสอบสวนเพิ่มเติม ตำรวจก็ทำให้ช้าเพราะเขาก็มีคดีใหม่เข้ามาทุกวัน มันพันกันยุ่งไปหมดแหละครับ หลังๆอัยการก็เบื่อกับการที่ต้องคอยทวงผลการสอบสวนเพิ่มเติมก็เลยพาลไม่สอบสวนเพิ่มเติม ผลคดีออกมาก็แพ้ มันโยงกันอย่างนี้แหละครับ ถ้าเป็นประเภทคุณละเอียดแบบผมพนักงานสอบสวนก็เบื่อ ฮา…เพราะโน่นก็สงสัย นี่ก็สงสัย อิอิ สำนวนผมเยอะแต่ประสิทธิภาพไม่น้อยเท่าไหร่ แม้จะมีบ้างที่บางครั้งไม่รอบคอบเท่าที่ควรครับ

  • #7 Camille ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 เมษายน 2014 เวลา 2:15

    In awe of that anrews! Really cool!

  • #8 coach outlet onlinet ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 ตุลาคม 2014 เวลา 9:28

    Its like you read my mind! You seem to know a lot about this, like you wrote the book in it or something. I think that you can do with some pics to drive the message home a little bit, but other than that, this is fantastic blog. An excellent read. I’ll certainly be back.
    Cheap Uggs For Sale Coach Diaper Bag Outlet Cheap Uggs Online Uggs Outlet Sale.


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.26022410392761 sec
Sidebar: 0.048189878463745 sec