ฮาเฮอเมริกา
อ่าน: 1350
เรานอนจนตี ๕ กว่าเริ่มมีเสียงประกาศแต่ฟังไม่ออก อิอิ จึงพากันลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ้ ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็พากันลากกระเป๋ากองเบ้อเริ่ม เดินไปเดินมา กว่าจะหากาแฟกินก็เจ็ดโมงเช้า ไปฝากกระเป๋าเขาก็ไม่ยอมรับเพราะเต็มไปทั้งห้องไม่มีที่จะรับฝากได้ เขาบอกว่่าประมาณเที่ยงให้มาติดต่อใหม่ เดินออกมานอกสนามบิน เดินเข้าไปในอาคาร นั่งแกร่วอยู่จนเกือบ ๙ โมงเช้าเจอแอร์โฮสเตสสวมเสื้อสีเขียวอ่อนเสียงพูดไทย ก็เลยชวนคุยเผื่อจะได้รับการช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ปรากฎว่าน้องๆใจดีมาก พอรู้ว่าเราเป็นคนไทยและผมหงอกเต็มกบาลท่าทางไม่ใช่เฒ่าหัวงูแล้ว และรู้ว่าเมื่อคืนต้องนอนกับพื้น น้องฝนก็เลยอุทิศห้องที่เขาจัดให้แอร์โฮสเตสพักให้พวกเราไปอาบน้ำกัน ขอบคุณจริงๆ วันนั้นเราได้รู้ว่า นางฟ้ามีจริง…
พวกเรามีความเห็นตรงกัน ว่าน้องทั้งสองคนนี้ชื่อนามสกุลนี้ตกระกำลำบากที่ไหนพวกเราสามคนต้องช่วยและรวมไปถึงตระกูลของเธอด้วย เราคิดอย่างนั้นจริงๆ น้องน้ำฝนชื่อจริงคือพรทิพย์ พละระวีพงศ์ น้องเอ๋ยชื่อจริงมณทิรา ไหลธนานนท์ หรรษคุณานนท์ ซึ่งน้องเอ๋ยช่วยเราอย่างเต็มที่ขอร้องเพื่อนพนักงานสายการบินเจแปนแอร์ไลน์เพื่อจัดการให้เราได้ไปแอลเอให้ได้ บอกเพื่อนเขาว่าพวกเราเป็นน้องพ่อเธอมีความจำเป็นต้องเดินทางไปแอลเอด้วยกิจธุระสำคัญ พนักงานเขาก็ทั้งวิ่งทั้งเดินจัดการให้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่เขากำลังหาพนักงานดีเด่น เขาจะให้คนที่มาใช้บริการที่สนามบินนาริตะ เขียนชื่อพนักงานในดวงใจใส่กล่อง ใครได้รับคะแนนโหวตมากที่สุดก็จะได้รับรางวัลและการยกย่อง
ในที่สุดจากความช่วยเหลือของน้องเอ๋ยและน้องฝนกับน้องเคียวโกะ พนักงานสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ก็สัมฤทธิ์ผล เราได้ขึ้นเครื่องไปอเมริกาด้วยสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ (ยังงงอยู่ว่าเธอจัดให้เราบินด้วยเครื่องคนละบริษัทได้อย่างไร) แต่ก่อนจะขึ้นเครื่องเราบอกว่าจะเลี้ยงอาหารเที่ยงน้องที่มาช่วยพวกเราแต่เวลามันจวนเจียนเต็มที พี่รุ่งโรจน์ควักกระเป๋าเอาแบงค์ ออกมาจะให้น้องไปทานข้าวกัน น้องเขาก็ไม่ยอม เราก็เลยแห่กันไปกินคลับแซนวิช แล้วรีบมาขึ้นเครื่อง เห็นเมฆมาครึ้มเรื่อยก็ใจไม่ดีได้แต่อาราธนาให้หลวงพ่อที่คล้องคอมาบินกับเราด้วย ฮา…..
พอเครื่องเริ่มเคลื่อนผมก็หลับตา พอรู้สึกตัวอีกทีเครื่องไต่ระดับความสูงแล้วไม่รู้หลับตอนไหน ยังนึกถึงน้องเอ๋ยกับน้องฝนเห็นตาแดงๆตอนบ่ายสามแสดงว่าง่วงนอนจัดเพราะน้องเขาได้นอนกันคนละงีบเท่านั้นก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ทำให้น้องเขาลำบาก แต่น้องสองคนนี้ก็รู้ดีว่าการที่พวกเราต้องนอนกับพื้นสนามบินในตอนดึกและตื่นตั้งแต่ตีห้ากว่าๆมันเป็นยังไง ขึ้นนั่งเครื่องแล้วก็กิน มื้อเย็นเป็นสเตคเนื้อเซอลอยน์ แถมด้วยไวน์แดงอีก ๒ แก้ว หลับสบาย ตื่นขึ้นมาเป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มของญี่ปุ่น ดูหนังสไปเดอร์แมน จนจบ
๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๗
เห็นหน้าต่างมีแสงสว่าง เห็นเมฆสวยมาก แต่ถ่ายรูปไม่ได้เพราะ ไม่ได้นั่งติดหน้าต่าง เดี๋๋ยวก็กินอาหารเช้าอีกแล้ว อาหารเย็นยังย่อยไม่หมดเลย ทานอาหารเช้าแล้วนึกในใจนี่ถ้ากินอย่างนี้ทุกวันผมคงกลิ้งจากเครื่องแน่ ฮา…
เราใกล้ถึงแอลเอแล้ว ถ้านับตามเวลาที่เมืองไทยขณะนี้คงเป็น เวลาสี่ทุ่มเศษ เวลาญี่ปุ่นก็ต้องเป็นเที่ยงคืน แต่จะเป็นเวลากลางวันของแอลเอส่วนจะเป็นกี่โมงเดี๋๋ยวต้องว่ากันอีกที
เรานั่งแท็กซี่มาถึงเลอ เมอริเดียน บิเวอรี่ฮิล แล้วจ่ายไป ๔๐ เหรียญ รวมทิป พอดูนาฬิกาโรงแรมปรากฎว่า เป็นเวลา ๑๐.๔๐ น.ของวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๔๗ โทรไปหาคริส เลขาของไซมอเนียน(อัยการแอลเอที่เพิ่งไปเมืองไทยมาเมื่อไม่นานมานี้และพวกเราสามคนต่างเป็นทีมต้อนรับ) บอกให้รู้แล้วนัดเจอกันที่ทำเนียบกงสุลใหญ่ตอนเย็น เรานั่งรอเขาจัดห้องผมก็ไปเดินชมนกชมไม้ เห็นต้นไม้คล้ายบ้านเรามีกุหลาบ เฟื่องฟ้า กุหลาบหิน มีต้นไทรถัก เอ๊ะอย่างนี้มันของเราชัดๆ หลังจากนั่งรอให้เขาจัดการห้องพักให้เกือบ๓ ชั่วโมงจนเบื่อโดยไม่ได้คิดไปทานอาหารกันอีกเพราะอิ่มมาจากเครื่อง จากนั้นบ่ายโมงกว่าห้องทำเสร็จเราจึงได้เข้าห้องอาบน้ำนอน ก่อนนอนชะโงกหน้าต่างดูวิวรอบโรงแรม เห็นแมงกาไซมาฝูงเบ้อเริ่มพอไปหยิบกล้องก็เคลื่อนต้วออกไปได้มาไม่เต็มฝูง อิอิ
โปรแกรมวันนี้จะต้องไปร่วมกับคณะพบคนไทยในลอสแองเจลิสก็ไม่ไหวแล้ว รู้สึกสะโหลสะเหลเพราะมันเป็นกลางวันที่นี่แต่มันเป็นตอนดึกของเรา ตื่นขึ้นมาสี่โมงกว่าก็ไม่กล้าหลับเพราะกลัวว่าหลับต่อแล้วจะไม่ตื่น อิอิ จนได้เวลาเดินทางไปทำเนียบกงสุลใหญ่ ด้วยรถของทางกงสุลใหญ่ส่งรถมารับ เป็นรถที่ทันสมัยมาก ที่หน้าคอนโซลบ้านเราจะใส่วิทยุเทป แต่แปลกก็คือเป็นจอคอมพิวเตอร์ เวลาจะขับรถไปไหนก็จะกดปุ่มบอกว่าจะ ไปไหนเครื่องนี้ก็จะบอกให้เลี้ยวไปตาม ถนนสายไหน ทางแยกข้างหน้าเลี้ยวขวา หรือซ้ายและมีการบอกด้วยนะว่าเหลืออีกกี่เมตรจะถึง(ตอนเขียนบันทึกที่แอลเอ ยังไม่รู้จักเจ้าจีพีเอส เชยจริงๆ อิอิ) เมื่อพบท่านอิสินธร สอนไว กงสุลใหญ่ ก็เกือบทุ่ม นั่งคุยกันที่สนามหลังทำเนียบกงสุล อากาศกำลังสบาย แล้วย้ายเข้าทานอาหารกันมีแกงไตปลารสขาติอร่อยได้กินสะตอด้วย สะตอจริงๆไม่ใช่สตอเบอรี่ ฮ่าๆ เสร็จแล้วก็เชิญให้คุณจิ๊บ ร.ด. ร้องเพลงเอสวิสให้ฟังสองเพลง แล้วท่านปลัดกระทรวงร้องเพลงมั่งเล่านิทานกันสนุก ท่านกงสุลใหญ่ก็เล่านิทานด้วย มีหรือที่ผม จะนั่งเฉยๆ เล่านิทานมั่งร้องเพลงมั่งสนุกสนานเฮฮา ท่านทั้งสองเล่าให้พวกเราฟังเรื่องคนไต ในพื้นที่ต่างๆ เช่นไทยจ้วง พอทานอาหารเสร็จร่ำลากันเขาพูดว่า “มึงไป กูอยู่” อวยพรว่า “อยู่ดีกินหวาน” หรือ ภาษาเขมร เขาเรียกผู้ชายว่า “อง” ถ้ามียศสูงขึ้นมาหน่อยก็เรียก “องจู๋” ถ้ายศสูงมากเรียก “องจู๋เหี่…ว” ฮา….
วันนี้ได้รู้จักหัวหน้าคนไทยเป็นเด็กภูเก็ต ชื่อ คุณ รอสลีน เป็นหลานคุณสมชาย พิพิธภัณฑ์เปลือกหอยภูเก็ต และพี่ๆใจดีอีกหลานคนรู้สึกอบอุ่่น สงสัยว่าเราคงหลับมันแน่พรุ่งนี้ได้พักหนึ่งวันมีโปรแกรมไปเที่ยว ฮอลลีวู้ด พลาดได้ไงไปถึงเมืองเขาแล้ว มองจากห้องพักยังเห็นป้ายตัวเล็กแสดงว่าของจริงต้องใหญ่กว่า่่นี้หลายเท่า (อดใจรอตอนต่อไป นะจ๊ะ)
4 ความคิดเห็น
สวัสดีค่ะพี่อัยการ
ความคิดที่ดีนะคะพนักงานในดวงใจ น่านำไปใช้ในหอสมุดจัง อิอิ นางฟ้าใจดีจัง
พี่สาวแต่งงานกับครอบครัวคนจีนก็มีครอบครัวอยู่แอลเอค่ะ พี่สาวเคยให้แม่เดินทางกับจากแอลแอมาเมืองไทยคนเดียว โดยฝากคนไทยที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ถึง กทม. แม่ก็นั่งรถทัวร์กับสุโขทัยเอง แม่ก็จบป.4 นะคะ ภาษาอังกฤษไม่ทราบสักตัว แต่แม่เป็นคนชอบคุย ชอบถาม แม่เลยสอนพวกเรา ทางอยู่ที่ปากค่ะ อิอิ คนไทยในต่างประเทศส่วนมากนะคะจะรักคนไทยด้วยกันมากนะคะ
สวัสดีครับพี่นิด
เหมือนที่พ่อผมสอนเลย เวลาไปไหนไม่ถูกให้ถาม ดูหอยสิ มันเดินด้วยปาก อิอิ
น่าสนใจนะครับ ให้ผู้ใช้บริการเขียนชื่อพนักงานในดวงใจ มีช่วงระยะเวลาดำเนินการ หลังจากนั้นก็ให้รางวัลแต่ต้องดูหน้าที่เขาด้วยนะครับ ถ้าหน้าที่เขาไม่เจอคนเขาก็อาจจะไม่ได้รับการเสนอชื่อนะครับ
ตามติด ติดตาม
ขอบคุณพี่บู้ธที่ยังตามติดและติดตามครับ