อเมริกาฮาเฮ
อ่าน: 1310ในอดีตเมื่อเป็นเด็ก ผมได้ไปสิงคโปร์และญี่ปุ่นก่อนพ่อ เพราะพ่อสนับสนุนให้ไป พอมีลูกผมสนับสนุนให้ลูกชายไปสอบแข่งขันและได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของสโมสรโรตารี่ที่รัฐมิสซูรี่ แต่นึกในใจว่าแล้วผมจะมีปัญญาไปอเมริกาได้ไงเพราะแค่ผ่อนบ้านก็หมดแรงแล้ว แต่แล้วปลายเดือนกันยายน ๒๕๔๗ ท่านอัยการสูงสุดขณะนั้นได้เซ็นคำสั่งให้้้พี่รุ่งโรจน์,ผมและอ้วน(อัยการทั้งสามท่าน)ไปราชการช่วยเหลือทางกฎหมายแก่คนไทยในแอลเอ,ซานฟรานซิสโก,อลาสก้าและแคนาดา โอ..พระเจ้าจอร์จ กล้วยทอด มันยอดมาก เป็นที่ฮือฮาของแวดวงอัยการที่ม้าบ้านนอกได้ไปเมืองนอก ฮ่าๆ แต่ต่อมากระทรวงการต่างประเทศได้ตัดโปรแกรมที่แคนาดา น่าเสียดาย อิอิ
หลังจากโทรคุยเกี่ียวกับโปรแกรมการเดินทาง อ้วนถามว่าจะอยู่เที่ยวลาสเวกัสกับเขาไหม เขาจะไปเยี่ยมลูกต่อ ผมก็ตกลงและบอกว่าผมเที่ยวกับคุณสัก ๓ วันแล้ว ผมจะไปเยี่ยมครอบครัวอุปถัมภ์ของลูกชายที่มิสซูรี่ด้วยเพราะอยากไปขอบคุณพวกเขาสามครอบครัวที่ดูแลลูกชายผมเป็นอย่างดี ในที่สุดโปรแกรมก็กลายเป็นว่าเลือดสุพรรณไปไหนไปกัน ลาพักผ่อนต่อกันทั้งสามคนแล้วขับรถเที่ยวกันด้วย บ่ะ..คงมันเข้าท่า
อ้วนบอกว่าแต่จะขับรถมันต้องมีใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศนะ..ต้องไปทำที่กรมการขนส่ง พี่ต้องขึ้นกรุงเทพล่วงหน้า ๑ วัน เอาสำเนาทะเบียนบ้าน,สำเนาพาสปอร์ต,สำเนาใบอนุญาตขับรถพร้อมตัวจริงและสำเนาบัตรประชาชน ไปด้วยและอย่าลืมอีกอย่างหนึ่งครับเอา ภาพถ่ายขนาด ๒ นิ้ว อีก ๒ รูปด้วยครับ ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิดหรอกครับเดี๋ยวนี้การบริการของกรมการขนส่งทางบกยอดเยี่ยมมาก แล้วผมก็ได้รับใบอนุญาตขับระหว่างประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิต
วันเดินทางกำลังจะมาถึง จะได้ขึ้นเครื่องการบินไทย ชั้นธุรกิจ ไปลงที่สนามบินนาริตะ (ในวันที่ ๘ ต.ค.) แล้วต่อเครื่องไปแอลเอ ตื่นเต้นครับนอนไม่ค่อยหลับไม่ใช่อะไรหรอกครับเมื่อคืนก่อนขึ้นเครื่อง พี่ที่เคารพนับถือชวนผมไปเลี้ยงส่งบอกให้พาเพื่อนไปด้วย ไปดื่มเพื่อความสนิทสนมให้มากขึ้น อ้วนพาอัยการรุ่นน้องไปดื่มกับผมด้วย หมดไปเกือบขวดลิตร กลับถึงที่พักก็เกือบเที่ยงคืน จัดกระเป๋าให้เข้าที่ก็เที่ยงคืนพอดี การคำนวณของผมดีมากพอโหลดขึ้นเครื่องน้ำหนัก ๓๐ กิโลพอดี
๙ ตุลาคม ๒๕๔๗
ตื่นตั้งแต่ตีสี่เศษอาบน้ำแต่งตัว ตีห้าหนุ่ยเพื่อนอัยการรุ่นน้อง ก็มารับไปสนามบิน มีท่านอธิบดีตระกูล วินิจนัยภาค มาส่งด้วย พอไปเช็คอินปรากฏว่านั่งติดกับท่านรองปลัดกระทรวง ท่านเฉลิมพล ก็ซัดอาหารเช้ากันก่อน ผมจัดการกับแซลม่อนย่าง เป็นอาหารญี่ปุ่น แอร์โฮสเตสหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสหน้าไม่หุบเลย ผมนั่งนึกในใจว่าหน้าเหมือนญี่ปุ่นแต่เวลาพูดเป็นเสียงคนไทย รับชาหรือกาแฟคะ เสียงคนไทยชัดๆ โต๊ะข้างผมเป็นญี่ปุ่นได้ยินแอร์พูดภาษาญี่ปุ่นกับแขกชัดมากยังนึกชมในใจว่าเธอพูดภาษาญี่ปุ่นได้ดี สักพักหนึ่งเธอเดินถือกระดาษมาแจกผู้โดยสาร คราวนี้ผมใบ้เลยเพราะไม่รู้ว่าเธอถามอะไร เห็นเอกสารเป็นภาษาญี่ปุ่นก็งง แล้วก็หยิบอีกใบมีทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษมาชูแล้วเธอพูดภาษาซึ่งผมฟังว่าภาษาไทยนะ แต่ผมฟังไม่รู้เรื่อง ฮา…ท่านรองปลัดกระทรวงก็พูดภาษาอังกฤษ บอกเธอว่าเราจะเดินทางไปแอลเอไม่ได้ไปญี่ปุุ่น ผมตบเข่าฉาดรู้เรื่องทันทีว่าเธอถาม อะไรผม เธอพูดอย่างนี้ครับ “ต้งการเอ๊กกะสารหนี้ไมก๊ะ” อา..รู้ในบัดเดี๋ยวนั้นเลยครับว่าสาวญี่ปุ่นแน่นอน อิอิ..
ที่เขาว่าสุดยอดคืออยู่บ้านฝรั่ง กินอาหารจีน มีเมียญี่ปุ่น สงสัยท่าจะจริง แต่ไม่รู้ว่าในชีวิตจริงเธอจะหน้าบึ้งกับสามีเป็นหรือเปล่า ถามเจ้าอ้วนผู้สันทัดกรณีว่า ผู้หญิง ญี่ปุ่นหน้าบึ้งบ้างไหม มันบอกว่า ในโลกนี้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกที่จะไม่ หน้าบึ้งกับผัว ไม่มี…มันลากเสียงยาว เออ ตูเชื่อ…ฮา
ถึงนาริตะแล้วเวลาแตกต่างกัน๒ชั่วโมง ขาลงเครื่่องสั่นทั้งลำ มารู้ภายหลังว่าเจอไต้ฝุ่นเข้าให้ เฮ้อ…เกือบเสร็จ เจอป้ายยกเลิกเที่ยวบินหลายเที่ยว ผมเดินหาไปรษณีย์ไม่เจอเลยไม่ได้ส่งไปรษณีย์บัตร ขณะนั่งเขียนบทความนี้ กำลังรอขึ้นเครื่อง ไปลอสเองเจลิสยังเสียวอยู่ว่าขึ้นได้หรือไม่เพราะฝนตกหนักท้องฟ้ามีแต่เมฆ แต่ทีมของกระทรวงการต่างประเทศแยกบินไปอีกเที่ยวนึงเขาไปแล้วครับ พวกเราขึ้นไปนั่งอยู่บนเครื่องพักใหญ่ก็ถูกเชิญลง เพราะฝนยังตกหนัก และบินขึ้นไม่ได้เพราะ ทั้งลมทั้งฝน เจอพายุไต้ฝุ่นเบอร์๑๒ ลงมานั่งแหง่วอยู่บริเวณที่พักผู้โดยสาร อยู่ๆก็บอกให้เอาบอร์ดดิ้งพาสไปรับอาหารว่างมีขนมกับน้ำส้มคนละกระป๋อง เจ้าอ้วนบอกว่าไม่ต้องไปกินมันหรอกพี่ เรานั่งชั้นธุรกิจเราไปที่เล้าจน์ดีกว่า พอเราเดินไปจะขอเข้าไปใช้สิทธิที่เลาจน์ก็ไม่ยอมให้เราเข้า เขาบอกว่าเพราะกัปตันยกเลิกเที่ยวบินไปแล้้วดังนั้นผู้โดยสารจึงไม่มีสิทธิใช้ห้องนี้ จ๊าก….แล้วเราก็เดินจ๋อยๆไปเข้าแถวเอาขนมกับน้ำส้มมากินกัน ฮา….
แล้วข่าวร้ายก็มาถึงก็คือเราต้องออกจากสนามบิน แล้วจะไปพักที่ไหนก็เรื่องของเรา แล้วเราต้องติดต่อเจ้าหน้าที่เอง เครื่องวันพรุ่งนี้ก็เต็ม เขาถือว่าเขาไม่ต้องรับผิดชอบเพราะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ใช่ความผิดพลาดของเครื่องหรือของนักบิน โอ้อนาถหนอชีวิตข้าฯ จะไปเมืองนอกทำไมมันยากเย็นนักว้า…อิอิ
เราเดินไปเดินมาที่สนามบินนาริตะ จะติดต่อเรื่องรถมั่งโรงแรมมั่งจนเวลาผ่านไปถึงสี่ทุ่มกว่าก็ยังไม่รู้เรื่องเพราะคนเข้าคิวที่ตู้โทรศัพท์ยาววววมากรู้สึกหิวก็เลยไปกินอูด้ง ชามละ๙๐๐กว่าเยน หมดไป๔,๔๙๐ เยนมื้อนี้เสี่ยฑูรควักกระเป๋าเลี้ยงฉลองการเดินทางที่เริ่มต้นด้วยความสมบุกสมบัน ฮา.. ในที่สุดก็ได้โทรศัพท์จะเข้าไปในเมืองค่าแทกซี่ประมาณ ๘,๐๐๐ บาทกว่าติดต่อโรงแรมได้ก็ปา เข้าไปเที่ยงคืนกว่าแต่พอถามเรื่องรถจะไปที่พักปรากฎว่ารถไฟใต้ดินปิดทำการแล้ว ถ้าไปแทกซี่ก๋นั่นแหละ ๘,๐๐๐ บาท มันจะไหวเร้อ…
ผมเห็นผู้โดยสารหลายคนถือที่ถุงนอนก็เลยไปถามว่าเขาซื้อที่ไหน แต่คำตอบก็คือสายการบินเขาแจก พี่รุ่งโรจน์จึงบอกว่าจะไปหาถุงนอน ให้ผมกับอ้วนเฝ้ากระเป๋า พี่รุ่งโรจน์หายไปประมาณครึ่งชั่วโมงยังไม่ได้เรื่อง ผมก็เลยออกไปตาม ปรากฏว่าไม่รู้พี่รุ่งโรจน์ไปพูดยังไงพนักงานสาวชาวญี่ปุ่นเข้าใจว่ากระเป๋าพี่รุ่งโรจน์หาย ฮา….ผมไปคุยด้วยจึงรู้เพราะพี่รุ่งโรจน์ไปบอกว่าต้องการ baggage เขาถามว่ามากันกี่คนกระเป๋ากี่ใบ หายไป ๑ ใบใช่ไหม ผมบอกว่าไม่ใช่หรอก กระเป๋ายังอยู่ครบที่เราต้องการไม่ใช่ baggage แต่เราต้องการ blanket ไปโน่นเลย ฮา..ลงทะเลไปเลย สาวญี่ปุ่นร้อง ไฮ้…เข้าใจแล้ว ยูต้องการผ้าห่ม ฮา….แต่ที่เคาว์นเตอร์ไม่มี ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราหาให้…รออยู่สิบนาทีเธอก็ยังไม่มา ตัดสินใจไม่เอามันแล้ว หาที่นอนดีกว่าหาที่นอนได้อย่างดีที่สุดคือหน้าห้องน้ำ..ฮา…แต่สาวญี่ปุ่นคนนั้นยังตามหาพวกเราจนเจอแล้วเอาผ้าห่มมาให้ ประทับใจมากๆเลยนะจ๊ะ คูลิโกะ…อิอิ มารู้ทีหลังว่าถุงนอนเขาเรียก sleeping bag ฮา…..เจ้าอ้วนมันจบโทอเมริกาแต่พี่รุ่งโรจน์กับผมจบเมืองไทย ถ้าให้เจ้าอ้วนมันไปเอาก็จบไปนานแล้ว ฮา…(ยังมีต่ออีกหลายตอน ยาวกว่ามัลดีฟส์อีกขอบอก..อิอิ)
5 ความคิดเห็น
กำลังสนุกครับ
อิอิ….อ่านไปหัวเราะไป…สนุกมั่กๆๆๆ ค่า
พี่บู้ธครับ วันละตอนคงน่าจะพอนะครับ อิอิ
อุ้ย อย่าหัวเราะมากนะครับ เดี๋ยวกรามค้าง ฮ่าๆ
พี่นิด ใจเย็นๆน่า…อิอิ
All things cornsdeied, this is a first class post