เขาเชิญไปบรรยาย

โดย อัยการชาวเกาะ เมื่อ 17 สิงหาคม 2008 เวลา 15:26 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1643

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมถูกเชิญขึ้นเวทีอภิปรายเรื่อง “ความท้าทายในการพัฒนาเด็กและเยาวชนภูเก็ตทางกาย ใจและสังคมในยุคดิจิตอล” ปรากฏว่าพอไปถึงมีผู้ร่วมอภิปรายเป็นสื่อมวลชน (คุณพนิดา ปากบารา) วัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต(คุณทวิชาติ อินทรฤทธิ์),ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต (อ.ถนอมศรี รัฐบุตร) ดร.ประพรศรี นรินทร์รักษ์ หน.กลุ่มงานพัฒนายุทธศาสตร์ แต่ละท่านสุดยอด ข้อมูลเพียบจากประสบการณ์จริง มีแต่ผมที่ขึ้นเวทีแล้วงงว่าถูกเชิญมาให้ฐานะอะไร ในฐานะอัยการหรือในฐานะฝ่ายการศึกษา อิอิ

ดร.ประพรศรี มีสถิติตัวเลขที่ได้จากการเก็บข้อมูลว่าเด็กภูเก็ตใช้โทรศัพท์ ถ้าเป็นเด็กประถมก็ประมาณ ๔๕ นาที ต่อวัน มัธยมก็ประมาณ ๕๙ นาทีต่อวัน และอุดมศึกษาก็ประมาณ ๖๕.๙ นาทีต่อวัน (แต่นี่เป็นค่าเฉลี่ย อาจจะขัดสายตาบางคนนะครับ เพราะบางท่านอาจเห็นเด็กคุยเป็นชั่วโมง) ถ้าเล่นอินเทอร์เน็ต ประถม ๔๕ นาที มัธยม ๕๗ นาที อุดมฯ ๖๕.๙ นาทีต่อวัน แต่ในความเป็นจริง ร้านเน็ตบางแห่งขายครึ่งชั่วโมงก็มี เด็กบางคนก็ซื้อเล่นทีละ ๒ชั่วโมงก็มีเหมือนกัน แต่ถ้าเล่นเกมส์ เด็กเล็กประมาณ ๗๗.๙ %  เด็กโต ๖๖ % ส่วนอุดมศึกษา ๙๓ % ที่เล่นเกมส์ เด็กที่ไปคลอดบุตร อายุ ๑๐-๑๔ ในปี ๕๐ มี ๑๒ คน (งงไหมละครับ) อายุ ๑๕-๑๙ ปี มี ๗๘๕ คน เด็กเข้าเวบโป๊ แน่นอนชายมากกว่าหญิง แต่ที่น่าสนใจก็คือเด็กผู้หญิงก้เข้าไปดูมากขึ้น เด็กผู้หญิง ม.๒ เข้าไปดู ๑๙.๒ % ม.๕ เข้าไปดู ๓๐.๕% เด็กอาชีวะ ๒๘.๔ % มาเรื่องอ่านหนังสือโป๊ เด็กหญิง ม.๒ อ่าน ๒๕ % ม.๕ อ่าน ๕๘% อาชีวะ ๕๑ % (แปลกไหมครับทำไมอาชีวะน้อยกว่า ม.๕  อิอิ) แต่พอมาดูเรื่องการมีเพศสัมพันธ์มันจะได้คำตอบว่าเด็กหญิงม.๕ มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจาก ๙.๕ ในปี ๔๗ มาเป็น ๑๑.๓ ในปี ๕๐ ในขณะที่อาชีวะยังคงที่อยู่ที่ ๒๔ %ตั้งแต่ปี ๔๗ ถึง ๕๐ และที่น่าตกใจเด็กม.๒ มีคู่นอนมากกว่า๑ คนถึง ๓๓% ส่วนเด็กม.๕ กับอาชีวะ อยู่ที่ ๑๗ พอกัน และในทุกกลุ่มที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือสารเสพติดของมึนเมา เรื่องของสุรามาอันดับ ๑ ในทุกกลุ่ม หญิงชายม.๒ เท่ากันที่ประมาณ ๓๕ %,ม.๕กับอาชีวะ ชายอยู่ที่ ๖๕% หญิงอยู่ที่ ๔๙ %พอกัน

ทราบไหมครับว่าภูเก็ตได้รับการจัดให้เป็นจังหวัดที่มีการพัฒนาดีที่สุดทั้งทางด้านพัฒนาคน และคุณภาพชีวิตจากดัชนีความก้าวหน้าของคนหรือดัชนีการพัฒนามนุษย์ขององค์การสหประชาชาติ ในปี ๒๕๔๗,๒๕๔๙,๒๕๕๐ (มีทั้งหมด ๘ ด้านครับ ด้านสุขภาพ การศึกษา ชีวิตการงาน รายได้ ทีอยู่อาศัยและสภาพแวดล้อม ครอบครัวและชุมชน คมนาคมและการสื่อสาร การมีส่วนร่วม)

อ.ถนอมศรี บอกว่าเด็กขี่จักรยานยนต์จนสว่างก็มี ขับไปรอบเกาะ พ่อแม่เป็นตัวสำคัญตอนก่อนลูกเกิดทานอาหารอย่างดีประคบประหงม แต่พอหลังคลอดไม่ค่อยได้สนใจดูแลสักเท่าไหร่ เหมือนปลูกต้นไม้แต่ใส่ปุ๋ยตั้งแต่ยังเป้นเมล็ด พอมันแตกเป็นต้นแล้วก็ไม่ใส่ปุ๋ยอีกเลย   เด็กปัจจุบันแต่งกายไม่สุภาพแต่พ่อแม่ก็ไม่เอาใจใส่ ใส่กางเกงขาสั้นมาโรงเรียนหรือใส่ไปในตลาดขาสั้นจุ๊ดจู๋ แต่บางทีผู้ปกครองก็นุ่งกางเกงขาสั้นจู๋มาโรงเรียนเหมือนกัน เฮ้อ… และที่น่าแปลกในภูเก็ตเป็นเมืองติดทะเล แต่เด็กภูเก็ตไม่เก่งในกีฬาเรือใบ พายเรือ วินเสิร์ฟ ทำไมไม่พัฒนาเด็กให้เก่งไปทางกีฬาบ้าง

คุณทวิชาติ บอกว่ามีการเฝ้าระวังเตือนภัยทางสังคม เมื่อเดือน พฤษภาคม ๕๑ ได้มีการกำหนด ๙ ประเด็น คือ ยาเสพติด ติดเกมส์ มั่วสุม รถแข่ง มีเพศสัมพันธ์ คุณภาพการศึกษา ไม่เชื่อฟังบิดามารดา มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม มีพฤติกรรมเสี่ยงต่ออาชญากรรม และเน้นไปที่เด็กติดเกมส์ ไปตรวจร้านเกมส์ ในอ.เมืองมีร้านเกมส์เยอะมาก กะทู้ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาเล่นเป็นชาวต่างชาติ ที่อ.ถลางมีไม่มาก

คุณพนิดา ก็พูดถึงความรับผิดชอบของสื่อในการรับโฆษณา โฆษณาเกี่ยวกับสุราหรือเบียร์ไม่รับ หรือโฆษณาที่ทำเสียงเซ็กซี่ก็รับไม่ได้ สังคมเรามีเรื่องมากมายที่ต้องช่วยกันดูแล และการพัฒนาต้องให้เด็กได้รับรู้ในเรื่องความดีงาม

มาถึงผม ก็บอกว่าการพูดเป็นคนสุดท้ายนี่ดีไม่ต้องพูดมาก เพราะเขาพูดในเรื่องที่เราจะพูดหมดแล้ว ฮา…แต่ก็ได้บอกว่าทุกท่านที่มานั่งในห้องประชุมที่คิดจะทำแผนพัฒนาเด็กขอให้มองย้อนมาที่ตัวเองก่อน เช่น เราบอกว่าเราจะพัฒนาเด็กให้รักการเรียนรู้ ตัวท่านเองรักการเรียนรู้ไหม วันๆอ่านหนังสือหาความรู้บ้างไหม ผมเลยเสนอแนะว่า การวางแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนก็ต้องวางแผนพัฒนาครู พัฒนาผู้ปกครอง พ่อแม่ พัฒนาตัวผู้บริหารประเทศ ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้บริหารโรงเรียน พัฒนาชุมชน พัฒนาที่สังคมให้ลดความเป็นทุนนิยมลง ได้พูดให้ฟังว่าการศึกษาที่เน้นการแก่งแย่งชิงความเป็นเลิศ ก็มีส่วนสร้างความแตกแยกในสังคมเพราะเด็กจะรู้สึกการแย่งชิงมาตั้งแต่เป็นนักเรียนแล้ว  กับเล่าให้ฟังเรื่องชุมชนบ้านช้างเชื่อ เขาพัฒนาทั้งๆที่อยู่ในป่าขับรถกว่าจะไปถึง จากภูเก็ตร้อยกว่ากิโล หนังสือในห้องสมุดดีกว่าห้องสมุดบางแห่งในภูเก็ตเสียอีก อิอิ..และที่สำคัญก็คือการสร้างจิตสำนึกของผู้คนในสังคมไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน ผู้ประกอบธุรกิจ ให้คิดถึงสังคมเป็นหลักแทนที่จะคิดเฉพาะผลประโยชน์ของตัว เล่าให้ฟังว่า ร้านรับซื้อของเก่าที่รับซื้อเศษสายไฟ ฝาท่อปิดคูระบายน้ำ ผมสั่งดำเนินคดีเพราะขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะหากไม่ทำเช่นนี้การลักสายไฟ ลักฝาท่อก็ยังคงเป็นอยู่เช่นนี้  อ้อ..และผมยังเล่าให้ฟังว่าเรามีกฎหมายใหม่คือ พรบ.ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๐ บังคับใช้เมื่อ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๑ หลักการคือให้เด็กและเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วม และได้รับสิทธิเต็มที่ มีสิทธิไดรับการจดทะเบียนรับรองการเกิด การพัฒนา การยอมรับ และการคุ้มครอง มีสิทธิได้รับการสนับสนุนการทำกิจกรรมโดยองคืกรปกครองส่วนท้องถิ่น และเด็กและเยาวชนจำนวน ๒ คนมีสิทธิเข้าเป็นกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ด้วย

การอภิปรายครั้งนี้มี นพ.ภาสกร อัครเสวี ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือไทยสหรัฐด้านสาธารณสุข เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย เนื่องจากเราถูกล้ำเวลามา เราก็ล้ำเวลาต่อเที่ยงครึ่งก็ต้องรีบจบ คนอื่นได้สรุป แต่ของผมถูกข้าม สงสัยว่าบรรยายดีแล้ว เอิ้กๆๆ

Post to Twitter Post to Facebook

« « Prev : มาเล่านิทานเรื่องนกแก้วกันดีกว่า อิอิ

Next : ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

19 ความคิดเห็น

  • #1 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 สิงหาคม 2008 เวลา 17:34

    ตีแสกหน้าเลยครับ  ต้องพัฒนาครู  ผู้ปกครอง  พ่อแม่  ผู้บริหารประเทศ  ผู้บริหารท้องถิ่น  ผู้บริหารโรงเรียนก่อน  อิอิอิอิ

    เว่าแต่บ่เฮ็ด ………..  ก็ไม่มีประโยชน์  55555555

     

  • #2 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 สิงหาคม 2008 เวลา 17:47

    ในเวทีนี้ ไม่ได้เล่าเรื่องนกแก้วเวอร์ชั่นแรกใช่ไหมครับ

  • #3 ครูสุ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 สิงหาคม 2008 เวลา 21:27

    โดนจริงๆ ขออนุญาตปริ้นท์บทความนี้ ไปให้ผู้บริหารและครูที่โรงเรียนอ่านหน่อยเถอะ
    แล้วจะเน้นข้อความตรงที่

    ………..แผนพัฒนาเด็กขอให้มองย้อนมาที่ตัวเองก่อน เช่น เราบอกว่าเราจะพัฒนาเด็กให้รักการเรียนรู้
    ตัวท่านเองรักการเรียนรู้ไหม วันๆอ่านหนังสือหาความรู้บ้างไหม  

    อิ อิ

  • #4 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 สิงหาคม 2008 เวลา 23:05

    พี่สงสัยว่า คนที่เขาสรุป เขาตั้งธงในใจอะไรไว้มั๊งในการจะสรุปเรื่องอ่ะค่ะ เรื่องที่น้องชายพูด เขาจึงไม่สรุปประเด็น ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่สำคัญนะพี่ว่า สงสัยคนจัดเขาจะกลัว กลัวว่าถ้าแตะครูไปแล้ว จะเดินมาขอจัดใหม่ที่ภูเก็ตอีกไม่ได้ละมั๊ง มันเลยเหมือนพูดไปก็ไลฟ์บอยค่ะ

  • #5 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 สิงหาคม 2008 เวลา 7:37

    ฮ่าๆคนชอบป่วน ง้างขากรรไกรมานานแล้วจะพูดเรื่องนี้ เมื่อเขาเชิญก็รับปากไม่ต้องคิด ขอให้ได้พูดเรื่องนี้สักนิดก็ยังดี กระทรวงวัฒนธรรมก็อีกที่ยังไม่ได้พูดก็คือออกกฎระเบียบที่ฝืนความจริงแล้วก็โยนความผิดไปให้ร้านเกมส์ เช่น ห้ามนักเรียนในเครื่องแบบเข้าร้านเกมส์ ร้านเกมส์มันมีแต่สิ่งเลวร้ายหรือครับ หลังโรงเรียนเลิกก็ไม่ได้หรือครับ แล้วเด็กที่กำลังรอรถกลับบ้านหลังเลิกเรียน เข้าก็ไม่มีสิทธิเข้าไปเล่นเกมส์หรือทำการบ้าน(ค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต)เลยใช่ไหม เพราะคิดกันอย่างนี้ครับ สังคมจึงมีแต่คนหลีกเลี่ยงกฎระเบียบ มองในแง่ร้ายก่อนจึงออกกฎระเบียบ เฮ้อ..

  • #6 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 สิงหาคม 2008 เวลา 7:38

    คุณ logos ตอนแรกว่าจะเอานกแก้วไปบินแล้ว แต่เวลามันไม่พอ ไม่งั้นให้นกแก้วบินไปสอนคนทำแผน อิอิ

  • #7 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 สิงหาคม 2008 เวลา 7:42

    ยินดีครับครูสุ
    ไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ บางทีครูก็ลืมไปว่ากำลังสอนอยู่ในโรงเรียน นึกว่าอยู่ในโรงสอน สอนอยู่นั่นแหละไม่ได้เรียนรู้เพิ่มเติม สอนจนจำได้ว่าเปิดหน้านั้นบรรทัดนั้น แต่ความรู้ใหม่ไม่มีเพิ่มแล้วจะให้เด็กของเราเก่งยังไง ทำไมไม่เรียนร่วมกันกับลูกศิษย์เพราะเราอยู่ในโรงเรียนไม่ใช่โรงสอน อิอิ ไม่ได้ว่าใครแต่สะกิดครูให้คิดครับ

  • #8 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 สิงหาคม 2008 เวลา 7:45

    หวัดดีครับพี่หมอเจ๊
    เขาคงไม่ได้เจตนาหรอกครับ เพราะผมพูดเป็นคนสุดท้าย แล้ววนกลับไปคนแรกอีกที พอจะถึงผมเขาคงนับว่าผมพูดไปแล้ว อิอิ ว่าไปแล้วหลังจากพูดเสร็จคนในแวดวงครูเขามาบอกว่าท่านพูดดีเหลือเกิน ต้องอย่างนี้แหละถึงจะเข้าใจ อิอิ ส่วนตัวแทนเยาวชนชื่อน้องบอยเขานั่งฟังยกหัวแม่มือ อ่านปากเขาว่า นี่..ต้องอย่างนี้ อิอิ

  • #9 KL ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 สิงหาคม 2008 เวลา 9:07

    อ่านสถิติแล้วอึ้งไปเลยค่ะ
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลและแนวความคิดนะคะ
    ขอบคุณมากค่ะ

  • #10 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 สิงหาคม 2008 เวลา 13:31

    สวัสดีครับคุณ KL
    สถิตินี้เป็นของภูเก็ตครับไม่ใช่ของทั้งประเทศ
    เอามาเปิดเผยยังงี้อาจจะมีคนภูเก็ตไม่สบายใจ แต่ผมขอบอกว่าหากเราจะแก้ปัญหาอะไรแล้วเราปกปิดข้อมูลความจริง แก้ให้ตายก็แก้ไม่ได้ครับ เราต้องเผชิญหน้ากับความจริง เหมือนสมัยหนึ่งในโรงเรียนสตรีภูเก็ตผู้บริหารพูดว่าดีที่โรงเรียนเราไม่มียาเสพติด ก็มันมีกันทั่วทั้งจังหวัดภูเก็ตมันจะเว้นโรงเรียนเราโรงเรียนเดียวเป็นไปไม่ได้ ผมก็เลยพูดในที่ประชุมว่าหากเรายังปกปิดกันอย่างนี้ เราอะไรกลบไว้อย่างนี้มันมีแต่จะลุกลามต่อไปเรื่อยๆ เราต้องยอมรับว่ามีและเราจะแก้ไขอย่างไรต่างหากคือสิ่งที่ควรกระทำ แล้วเราก็วางแผนทำงานกันจนวางใจได้ในระดับหนึ่งว่าโรงเรียนเราควบคุมได้
    ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ

  • #11 สิทธิรักษ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 20 สิงหาคม 2008 เวลา 12:00

    ท่านอัยการ ชอบครับ โรงเรียนไม่ใช่โรงสอน

  • #12 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 สิงหาคม 2008 เวลา 22:09

    สวัสดีครับพี่เหลียง
    ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆครับ เพราะหากครูไม่เรียนรู้ร่วมกับเด็กก็คุยกับเด็กไม่รู้เรื่อง จะทำให้เด็กรู้สึกอยากคุยอยากปรึกษาได้อย่างไรหากเขาคุยเรื่องหนึ่งแต่ครูคุยอีกเรื่องหนึ่ง ผมเห็นว่ามันสำคัญนะครับ
    ขอบคุณที่แวะมาครับ ผมเพิ่มบันทึกทุกวันจนผู้อ่านไม่รู้จะแสดงความคิดเห็นอย่างไรแล้ว อิอิ แต่กำลังสนุกกับการเรียนรู้ครับ เลยมีลูกฮึดเยอะ..อิอิ

  • #13 kajonsaks ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 สิงหาคม 2008 เวลา 0:11

    อยากดังแบบนี้บ้างจัง แต่ขึ้นเวทีทีไร ใจสั่นทุกที มีทางแก้ไม๊ครับ

  • #14 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 สิงหาคม 2008 เวลา 8:38

    สวัสดีครับคุณขจรศักดิ์
    อยู่แบบเรียบง่ายดีกว่าครับสบายดี เดี๋ยวนี้ผมแอบไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยว กินข้าวร้านเพิงเล็ก ทำตัวง่ายๆ บางทีก็เบื่อเหมือนกัน เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งผมเบื่อการเป็นคนดังมาก กลับจากที่ทำงานก็อยู่บ้านไม่ออกไปไหน เสาร์อาทิตย์ก็อยู่บ้าน ไปสวนดูนกดูไม้ไปตามเรื่อง ไปรู้จักกับลูกจ้างของ รพ. พูดคุยกับเขาสนิทสนมกัน มีอยู่วันหนึ่งแม่เขาเสียชีวิต ผมเอาหรีดไปวาง พี่ชายเขาเป็นรอง ผอ.ที่ภูเก็ต ถามน้องชายว่า “มึงไปรู้จักกับท่านตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ไหมท่านเป็นคนดังของภูเก็ต กูยังไม่กล้าบอกท่านเลย..” ว่าไปโน่น…

    ผมมีหลักง่ายๆในการเป็นวิทยากร คือรับเชิญพูดในหัวข้อที่รู้จริง เพราะพูดไม่ต้องดูบทได้เพราะมันอยู่ในหัวใจ ถ้าเรารู้จริงเราก็ไม่ประหม่า กับสองบางทีรู้จริงแต่ตื่นคน ก็มองหัวคนที่อยู่ไกลๆจะเห็นแต่หัวดำๆ ถ้ามองตาคนเราก็จะรู้ว่าทุกสายตาจ้องมองที่เรา เราจะประหม่า แต่มองหัวจะไม่ประหม่า ครับ เทคนิคง่ายๆของผมก็แค่นี้แหละ กับตอนพูดก็นึกหัวข้อ ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร จบ แต่จะเป็นคนดังจริง มันก็อยูที่ว่าดังในทางดีหรือดังในทางร้าย ถ้าดังในทางดี ก็ให้เอาหัวใจใส่ลงไปในงานในหน้าที่ ผมสวมหมวกหลายใบ แต่สวมหมวกแล้วก็ใส่ใจในงานทุกรับมา คนเขาก็รู้เองครับ และเมื่อนั้นเขาก็จะนับถือเราด้วยความจริงใจ กลายเป็นคนดังไปไหนคนก็รู้จัก แต่คุณจะเสียความเป็นส่วนตัว
    อ้อ..สำหรับผมมีเหตุผลที่เป็นคนดังโดยการไปสอนหนังสือเพื่อให้เราเป็นครูบาอาจารย์ เด็กและผู้ปกครองเขารู้จัก ไปไหนมาไหนมีคนทัก จะได้ระมัดระวังตัวเองไม่ไหลลงสู่ที่ต่ำเพราะมีลูกศิษย์คอยมองอยู่ ครอบครัวก็จะมีความสุขครับ

  • #15 Clement ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 เมษายน 2014 เวลา 9:22

    I found just what I was needed, and it was ennnitaiertg!

  • #16 batmanapollo.ru ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2024 เวลา 3:18

    batmanapollo.ru

  • #17 Психолог 2026 ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 พฤษภาคม 2024 เวลา 22:04

    Психолог 2026

  • #18 симферополь ялта интурист ให้ความคิดเห็นเมื่อ 19 มิถุนายน 2024 เวลา 7:37

    Здесь вы найдете разнообразный видео контент симферополь ялта интурист

  • #19 величковский б м когнитивная наука основы психологии познания ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 มิถุนายน 2024 เวลา 19:09

    Please let me know if you’re looking for a author for your blog.
    You have some really good articles and I believe I would
    be a good asset. If you ever want to take some of the load off, I’d love to write some material for your blog
    in exchange for a link back to mine. Please shoot me an e-mail if interested.
    Regards!


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.72261714935303 sec
Sidebar: 0.72699189186096 sec