รัฐบาลปล้นประชาชนแบบเงียบเชียบ?
ผมพอเข้าใจได้ว่า ทำไมพลันที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามาทำงาน สิ่งแรกที่ทำคือ ลดภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 30 ให้เหลือร้อยละ 23 ในปี 2555 และลดลงร้อยละ 20 ในปี 2556 โดยอ้างง่ายๆว่า เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ
ที่ว่า “พอเข้าใจได้” ก็คือว่า มันเป็นประโยชน์ต่อกิจการค้าของวงศาคณาญาติของคนในรัฐบาล เท่ากับว่าแต่ละปีบางบริษัทอาจ “ได้กำไร” ภาษีขึ้นมาปีละหลายพันล้านทีเดียว
ที่ผมงงมากๆคือ สื่อสารมวลชนมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้น้อยมาก แต่ที่งงมากที่สุดคือพรรคฝ่ายค้านเองก็ค้านน้อยมาก
วันนี้ผมเริ่มจะหายงง อ๋อ..ไอ้พวกสื่อสารมวลชนมันก็ทำการค้า มันก็ได้ประโยชน์จากการนี้ด้วย ส่วนพรรคฝ่ายค้านนั่นเล่า อ๋อ..ก็พวกพ่อค้าเสียมาก อีกทั้งพรรคฝ่ายค้านเองก็ได้รับเงินบริจาคจากพ่อค้ามากหลาย ถ้าไปค้านพรบ.ลดภาษีนี้เข้า พ่อค้าที่บริจาคเงินก้อนเล็กและก้อนโตเขาคงโกรธแน่
งานนี้เท่ากับรัฐบาลปล้นเงินชาติ โดยการสมรู้ร่วมคิดของทุกฝ่าย คือ สื่อ และพรรคฝ่ายค้าน ได้ไหม ถ้าได้แบบนี้ฟ้องศาลปกครองได้ไหม ขอให้พรบ.นี้เป็นโมฆะ เพราะมันเข้าข่ายประโยชน์ซ้อนทับอย่างรุนแรง
ถามว่าชาติเสียหายเท่าไร ผมไปค้นข้อมูลมาทราบว่าขณะนี้ (พศ. ๒๕๕๔) รัฐเก็บภาษีจากนิติบุคคลได้ประมาณปีละ 3.9 แสนล้านบาท ถ้าลดจากปัจจุบันในอัตรา 30 ไปเหลือ 20 รัฐจะสูญเสียรายได้ภาษีส่วนนี้ไปประมาณ 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเงินไม่น้อย เกือบ 10% ของรายได้รัฐบาลนั่นเทียว แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาทำงบประมาณที่ก็ไม่พอใช้อยู่แล้ว
ประเทศไทยมีรายได้ประชาชาติประมาณ 10 ล้านล้านบาท ดังนั้นเท่ากับว่าเรามีรายได้จากภาษี นิติฯ 3.9% ถือว่ามีรายได้ดีทีเดียวเมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานโลก ที่จะมีค่าประมาณ 3.5% (ผมไปค้นมาอีก) ผมเข้าใจว่าภาษีนี้มาจากบริษัทต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ เพราะบริษัทพวกนี้มีรายได้ถึง 70% ของรายได้ประชาชาติทั้งหมด (คือ 7 ล้านล้านนั่นเอง)
แม้ต่างชาติจะต้องเสียภาษีในส่วนนี้ค่อนข้างสูงแต่พวกเขาก็ไม่บ่นสักกะหน่อย เห็นยังทะลักเข้ามาลงทุนกันจนประเทศไทยจะถล่มอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้าจะลดภาษีจริงๆ ทำไมไม่ลดเฉพาะบริษัทของคนไทยเท่านั้น ส่วนต่างชาติเก็บเท่าเดิม ..หรือนี่แสดงว่าทีมงานเศรษฐกิจชุดนี้ของเรามันทึ่ม จนทำให้ชาติเสียหายหลายแสนล้าน
อีกทั้งข้ออ้างที่ว่าต้องการให้บริษัทไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก แล้วผมถามว่าสัดส่วนของรายได้ของบริษัทไทย(ไม่นับต่างชาติ)ที่ขายในประเทศกับขายต่างประเทศเป็นเท่าใด ตัวเลขนี้ผมยังไม่ทราบ แต่เดาว่าขายในสัก 80 ส่งนอกสัก 20 โดยเฉพาะพวกอสังหาริมทรัพย์นั้นมันขายในประเทศล้วนๆ ไม่มีส่งออก ดังนั้นถ้าอ้างการแข่งขันกับต่างชาติก็ควรลดให้เฉพาะบริษัทไทยที่ทำการส่งออกเท่านั้นสิ ส่วนบริษัทไทยที่ขายในไทยก็ไม่ต้องลดเพราะแข่งขันกันเองด้วยกติกาที่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว
แต่เอ๊ะ..ถ้าทำแบบที่ผมว่ามา บริษัทไทยที่เป็นวงศาคณาญาติของคนในรัฐบาลก็ไม่ได้รับส่วนลดสิ
ผมอยากฝากให้นักเศรษฐศาสตร์ไปทำการวิจัยกันดูหน่อยว่า หลังจากรัฐประกาศลดภาษีนิติฯลงมา สินค้ามีราคาลดลงบ้างไหม (ตามหลักการค้าเสรีมันควรลดลง เพราะเสียภาษีน้อยลง กำไรมากขึ้น ก็เอาส่วนนี้มาตัดราคาลงเพื่อการชนะในการแข่งขัน) แต่ผมดูจากก๋วยเตี๋ยวมันน่าตกใจว่ามันขึ้นพรวดเอาพรวดเอา ช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ก๋วยเตี๋ยวขึ้นจาก 20 บาท เป็น 35 แล้ว คิดเป็น 75% …มันน่าตกใจมากๆ
ส่วนบ้านจัดสรร รถยนต์นั้นไม่ทราบ แต่พวกผู้เล่นรายใหญ่ๆแบบนี้เขามักมีสมาคม (ฮั้ว) ผมเดาว่ายากส์ที่ราคาจะลด นอกเสียจากมีกลไปแทรกซ้อนอื่น เช่น น้ำท่วม ทำให้ดีมานด์ลดลง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นเงินกำไรภาษีที่ลดลงนั้นก็ “หวานหมู” ของกลุ่มคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีคู่แข่งที่แข็งแรง เช่น พวกได้รับสัมปทาน
…คนถางทาง (๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕)
« « Prev : เหลื่อมล้ำอย่างเท่าเทียม
Next : แก้มลิง..วิจารณ์นโยบายแก้น้ำท่วมรัฐบาล ๓ » »
ความคิดเห็นสำหรับ "รัฐบาลปล้นประชาชนแบบเงียบเชียบ?"