ข้อควรคิดก่อนไปเที่ยววังน้ำเขียว

โดย withwit เมื่อ 23 January 2011 เวลา 9:37 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1669

ข้อควรคิดก่อนไปเที่ยววังน้ำเขียว

 

สวิตเซอแลนด์แดนอีสาน..เว่อเห่อฝรั่งกันไปโน่น ว่าแล้วรีสอร์ทต่างๆก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด นักการเมืองไปกว้านซื้อที่เอาไว้ “พักผ่อน” นายทุนก็กว้านซื้อเพื่อเก็งกำไร ngoก็ไปอยู่กันมาก ไม่เว้นแม้แต่พระและวัด  ส่วนประชากรไทยก็ไปเที่ยวกันสนุกสนาน ได้ความรู้สึกดีๆกลับมา หลายคนคิดว่าไปช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติด้วยซ้ำไป

 

แต่หารู้ไม่ว่าพื้นที่แห่งนี้คือคอขวดที่เป็นรอยเชื่อมต่อระหว่างป่าใหญ่สามป่า คือ เขาใหญ่ ทับลาน และปางสีดา  ถ้าทำคอขวดนี้ให้เป็นป่าขึ้นมาได้ เราจะได้ป่าผืนใหญ่มหาศาลที่ต่อเชื่อมกัน ที่จะช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศของเราให้ดีขึ้นอย่างมาก  แต่ถ้ายิ่งไปลงทุน ไปเที่ยวกันมากเท่าไร ก็ยิ่งไปช่วยทำลายระบบนิเวศอันเปราะบางนี้มากเท่านั้น

 

ความฝันผมคือ รัฐออกพรบ.พิเศษมาจัดการปัญหาวังน้ำเขียวด้วยการเวนคืนที่ดิน ซึ่งทำได้ไม่ยากนักหรอกเนื่องเพราะการถือครองยังมีประชากรน้อยมาก และส่วนใหญ่ถือแบบผิดกฎหมายอีกต่างหาก  สำหรับประชาชนในพื้นที่จริงๆ ที่ทำเกษตรมาแต่เดิมก่อนพศ. ๒๕๓๐ เชื่อว่ามีไม่มากเกิน 1 พันครัวเรือน รัฐสามารถจัดการได้ด้วยมาตรการชดเชยทางเศรษฐกิจ ทั้งแบบให้เงินและให้งานทดแทน  ส่วนปชช.ชั้นสูงที่เข้าไปภายหลังก็มีอีกมาตรการหนึ่งในการแก้ปัญหา

 

สำหรับถนนสาย 304 ที่ตัดพาดผ่านเชื่อมระหว่างปักธงชัยและกบินทร์บุรีนั้น ก็ให้ทำการยกระดับขึ้นเป็นถนนลอยฟ้า เป็นช่วงๆ โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านหุบเขา ส่วนช่วงผ่านภูเขาก็ทำรั้วกั้น ทั้งนี้เพื่อให้สัตว์ป่าเดินทางเชื่อมต่อระหว่างป่าทั้งสามได้ งานนี้อาจลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น

 

ผมเชื่อว่าป่าในเมืองไทยอีกจำนวนมากยังสามารถฟื้นฟูได้ด้วยมาตรการดังที่เสนอมานี้ เช่น ป่าสามร้อยยอด ซึ่งผมเห็นว่าเป็นวนอุทยานที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติมากที่สุดในประเทศ มีทั้งชายหาด ป่าชายเลน ป่าดิบแล้ง ป่าดิบภูเขา และป่าดิบชื้น แต่อนิจจาวันนี้มันถูกรุกล้ำเกือบหมดแล้ว ทั้งที่จำนวนครัวเรือนที่รุกล้ำน้อยมาก แต่รัฐก็ไม่มีน้ำยาทำอะไรได้ เนื่องเพราะขาดจิตสาธารณะและคิดไม่เป็น

 

ผมได้เสนอมานานนับสิบปีแล้วว่า ให้เสนอมาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น เอานิคมอุตสาหกรรม (ประมง อาหารกระป๋อง) ไปตั้งไว้ริมป่า  ให้สิทธิการจ้างงานเหนือคนอื่นทั่วไปถ้าอพยพออกไปทำงาน มีบ้านให้อยู่ราคาถูก  ถ้าไม่ออกก็กำหนดโทษแล้วรอลงอาญา ตัดน้ำ ตัดไฟ และให้มีสิทธิรอลงอาญาเฉพาะรุ่นนี้เท่านั้น ส่วนรุ่นลูกจะจัดการเด็ดขาด  ทำแบบนี้พวกลูกๆ ก็จะออกกันไปหางานทำกันหมด ส่วนพ่อแม่อย่างมาก 50 ปีก็ตายกันหมดแล้ว ประเทศก็ได้ป่าคืน เป็นการวินๆ ที่ไม่มีใครเดือดร้อน  (มากนัก)

 

…ทวิช จ. (๒๓ มกราคม ๒๕๕๔)

« « Prev : ภูมิปัญญาแมวที่น่าเลียนแบบ?

Next : ทำไมไทยไม่เจริญเท่าฝรั่ง (๑) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 January 2011 เวลา 4:36 pm

    เมื่อกลางเดือน ร.พ. มอบหน้าที่ให้คุมทีมไปดูงานที่พิจิตร และเลย ขากลับพรรคพวกวางเส้นทางให้ต้องผ่านทางวังน้ำเขียว จึงมีโอกาสแวะชมสวนไม้ดอกที่เอกชนและรัฐร่วมกันสร้างขึ้น 

    เห็นมุมดีของการจัดสวนที่นี่ก็เพียงแค่ มีไม้หน้าตาแปลกให้เด็กนักเรียนได้มาเรียนรู้กัน (ซึ่งก็มีส่วนน้อยมาก)  เป็นที่นำเสนอผลงานของเด็กๆที่ลงมือปลูกต้นไม้ให้สวย เพื่อนำมาโชว์ฝีมือ  เป็นที่ทำให้ชาวบ้านมีตลาดสำหรับขายสินค้าพื้นถิ่น (ชั่วคราว) เป็นรายได้ประจำวันบ้าง  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเหลือรายได้จริงเท่าไร เพราะสินค้าส่วนใหญ่ที่นำมาขายดูแล้วน่าจะมาจากนายทุนกลุ่มเดียวกัน และทำให้คนที่มีหัวได้ใช้ความคิดรังสรรค์ผลงานมาโชว์คน

    ความรู้สึกตอนที่ได้สัมผัสพื้นที่ซึ่งมีสีสันของดอกไม้ ไม่สนุก ไม่ตื่นเต้น เหมือนถูกพาไปเที่ยวงานวัดในรูปแบบใหม่ ยังไงยังงั้นเลย 

    ดูเผินๆแล้วรู้สึกว่าค่าลงทุนจะสูงตรงเรื่องน้ำและไฟ ไหนจะค่าต้นไม้อีก 

    ออกจากงานมาที่จอดรถ มองเห็นที่ว่างสุดลูกหูลูกตาแล้วใจหาย มันเป็นพื้นที่ภูเขาหัวโล้นดีๆนี่เอง  เสียดายต้นไม้ที่ถูกตัดไปแล้วนำพื้นที่มาใช้จอดรถแทนจัง 

    ถ้าคิดเรื่องพลังงานที่ใช้ไปกับการเดินทางจากที่ต่างๆมาที่นี่ด้วย  งบลงทุนในภาพรวมก็เยอะอยู่ 

    ตอนนั้นยังนึกในใจว่า ถ้าที่นี่ชวนคนมาปลูกต้นไม้กันแบบที่รณรงค์ปลุกป่าชายเลนน่าจะดีนัก  ที่ว่างให้ปลูกมีเยอะแยะไปหมด  แต่พอรู้ตัวก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าจัดงานในรูปแบบที่ใช้สีสันดึงดูดคนมาแบบนี้ละก็ ทุกครั้งไปจำเป็นต้องมีลานกว้างๆอย่างนี้ไว้ให้รถจอด คนที่มานั้นจะชุดใหญ่ชุดเล็ต้องนำรถมาทั้งนั้น มากันเยอะก็ต้องการที่จอดรถเยอะ

  • #2 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 23 January 2011 เวลา 6:44 pm

    เดี๋ยวนี้เห่อทำไร่องุ่น กินเสต็ก กาแฟชื่อแปลกๆสรรหากันมา เต็มไปหมด คงเพื่อให้เข้าบรรยากาศหนาวๆ สมัยยังไม่บูม ปี ๒๕๔๐ ผมก็บ้าไปกะเขาด้วย เกือบไปซื้อที่ภูเขาทั้งลูก  60 ไร่ ราคาหนึ่งล้านบาท รึ่มจะเอาอยู่แล้ว แต่พระยังคุ้มเราอยู่ มาให้สติว่า มรึงจะบ้าหรือ ซื้อไปแล้วก็มาเป็นภาระ ต้องไปเฝ้าดูแลกลัวคนเขารุกที่เพราะมันไม่มีหนังสือสำคัญอะไรเลยนอกจาก ภบท. 5 (ที่ผมคิดจะซื้อเพราะต้องการปล่อยให้เป็นป่าธรรมชาติน่ะครับ แล้วปลูกกระท่อมอยู่หลังคามุงจากอะไรเทือกนั้น..โรแมนติกซะไม่มีดี)

    นี่ถ้าผมใจแข็งสักหน่อยป่านนี้เป็นเศรษฐีไปแล้ว เพราะไอ้เขาลูกนั้นตอนนี้มันบ้านนักการเมืองมหาเศรษฐีจากกทม.ทั้งนั้นเลย  แทนที่จะอาย กลับติดป้ายชื่อบ้านกันสลอน

  • #3 Panda ให้ความคิดเห็นเมื่อ 24 January 2011 เวลา 9:59 pm

    ตอนคิดจะซื้อ อาจจะคิดแบบหนึ่ง แต่เมื่อซื้อแล้ว อาจจะคิดอีกแบบหนึ่ง…..5555 ใจไม่แข็งพอก็เลยอดเป็นเศรษฐี…..อิอิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.063724040985107 sec
Sidebar: 0.0083920955657959 sec