ข้อควรคิดก่อนไปเที่ยววังน้ำเขียว
ข้อควรคิดก่อนไปเที่ยววังน้ำเขียว
สวิตเซอแลนด์แดนอีสาน..เว่อเห่อฝรั่งกันไปโน่น ว่าแล้วรีสอร์ทต่างๆก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด นักการเมืองไปกว้านซื้อที่เอาไว้ “พักผ่อน” นายทุนก็กว้านซื้อเพื่อเก็งกำไร ngoก็ไปอยู่กันมาก ไม่เว้นแม้แต่พระและวัด ส่วนประชากรไทยก็ไปเที่ยวกันสนุกสนาน ได้ความรู้สึกดีๆกลับมา หลายคนคิดว่าไปช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติด้วยซ้ำไป
แต่หารู้ไม่ว่าพื้นที่แห่งนี้คือคอขวดที่เป็นรอยเชื่อมต่อระหว่างป่าใหญ่สามป่า คือ เขาใหญ่ ทับลาน และปางสีดา ถ้าทำคอขวดนี้ให้เป็นป่าขึ้นมาได้ เราจะได้ป่าผืนใหญ่มหาศาลที่ต่อเชื่อมกัน ที่จะช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศของเราให้ดีขึ้นอย่างมาก แต่ถ้ายิ่งไปลงทุน ไปเที่ยวกันมากเท่าไร ก็ยิ่งไปช่วยทำลายระบบนิเวศอันเปราะบางนี้มากเท่านั้น
ความฝันผมคือ รัฐออกพรบ.พิเศษมาจัดการปัญหาวังน้ำเขียวด้วยการเวนคืนที่ดิน ซึ่งทำได้ไม่ยากนักหรอกเนื่องเพราะการถือครองยังมีประชากรน้อยมาก และส่วนใหญ่ถือแบบผิดกฎหมายอีกต่างหาก สำหรับประชาชนในพื้นที่จริงๆ ที่ทำเกษตรมาแต่เดิมก่อนพศ. ๒๕๓๐ เชื่อว่ามีไม่มากเกิน 1 พันครัวเรือน รัฐสามารถจัดการได้ด้วยมาตรการชดเชยทางเศรษฐกิจ ทั้งแบบให้เงินและให้งานทดแทน ส่วนปชช.ชั้นสูงที่เข้าไปภายหลังก็มีอีกมาตรการหนึ่งในการแก้ปัญหา
สำหรับถนนสาย 304 ที่ตัดพาดผ่านเชื่อมระหว่างปักธงชัยและกบินทร์บุรีนั้น ก็ให้ทำการยกระดับขึ้นเป็นถนนลอยฟ้า เป็นช่วงๆ โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านหุบเขา ส่วนช่วงผ่านภูเขาก็ทำรั้วกั้น ทั้งนี้เพื่อให้สัตว์ป่าเดินทางเชื่อมต่อระหว่างป่าทั้งสามได้ งานนี้อาจลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น
ผมเชื่อว่าป่าในเมืองไทยอีกจำนวนมากยังสามารถฟื้นฟูได้ด้วยมาตรการดังที่เสนอมานี้ เช่น ป่าสามร้อยยอด ซึ่งผมเห็นว่าเป็นวนอุทยานที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติมากที่สุดในประเทศ มีทั้งชายหาด ป่าชายเลน ป่าดิบแล้ง ป่าดิบภูเขา และป่าดิบชื้น แต่อนิจจาวันนี้มันถูกรุกล้ำเกือบหมดแล้ว ทั้งที่จำนวนครัวเรือนที่รุกล้ำน้อยมาก แต่รัฐก็ไม่มีน้ำยาทำอะไรได้ เนื่องเพราะขาดจิตสาธารณะและคิดไม่เป็น
ผมได้เสนอมานานนับสิบปีแล้วว่า ให้เสนอมาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น เอานิคมอุตสาหกรรม (ประมง อาหารกระป๋อง) ไปตั้งไว้ริมป่า ให้สิทธิการจ้างงานเหนือคนอื่นทั่วไปถ้าอพยพออกไปทำงาน มีบ้านให้อยู่ราคาถูก ถ้าไม่ออกก็กำหนดโทษแล้วรอลงอาญา ตัดน้ำ ตัดไฟ และให้มีสิทธิรอลงอาญาเฉพาะรุ่นนี้เท่านั้น ส่วนรุ่นลูกจะจัดการเด็ดขาด ทำแบบนี้พวกลูกๆ ก็จะออกกันไปหางานทำกันหมด ส่วนพ่อแม่อย่างมาก 50 ปีก็ตายกันหมดแล้ว ประเทศก็ได้ป่าคืน เป็นการวินๆ ที่ไม่มีใครเดือดร้อน (มากนัก)
…ทวิช จ. (๒๓ มกราคม ๒๕๕๔)
« « Prev : ภูมิปัญญาแมวที่น่าเลียนแบบ?
Next : ทำไมไทยไม่เจริญเท่าฝรั่ง (๑) » »
3 ความคิดเห็น
เมื่อกลางเดือน ร.พ. มอบหน้าที่ให้คุมทีมไปดูงานที่พิจิตร และเลย ขากลับพรรคพวกวางเส้นทางให้ต้องผ่านทางวังน้ำเขียว จึงมีโอกาสแวะชมสวนไม้ดอกที่เอกชนและรัฐร่วมกันสร้างขึ้น
เห็นมุมดีของการจัดสวนที่นี่ก็เพียงแค่ มีไม้หน้าตาแปลกให้เด็กนักเรียนได้มาเรียนรู้กัน (ซึ่งก็มีส่วนน้อยมาก) เป็นที่นำเสนอผลงานของเด็กๆที่ลงมือปลูกต้นไม้ให้สวย เพื่อนำมาโชว์ฝีมือ เป็นที่ทำให้ชาวบ้านมีตลาดสำหรับขายสินค้าพื้นถิ่น (ชั่วคราว) เป็นรายได้ประจำวันบ้าง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเหลือรายได้จริงเท่าไร เพราะสินค้าส่วนใหญ่ที่นำมาขายดูแล้วน่าจะมาจากนายทุนกลุ่มเดียวกัน และทำให้คนที่มีหัวได้ใช้ความคิดรังสรรค์ผลงานมาโชว์คน
ความรู้สึกตอนที่ได้สัมผัสพื้นที่ซึ่งมีสีสันของดอกไม้ ไม่สนุก ไม่ตื่นเต้น เหมือนถูกพาไปเที่ยวงานวัดในรูปแบบใหม่ ยังไงยังงั้นเลย
ดูเผินๆแล้วรู้สึกว่าค่าลงทุนจะสูงตรงเรื่องน้ำและไฟ ไหนจะค่าต้นไม้อีก
ออกจากงานมาที่จอดรถ มองเห็นที่ว่างสุดลูกหูลูกตาแล้วใจหาย มันเป็นพื้นที่ภูเขาหัวโล้นดีๆนี่เอง เสียดายต้นไม้ที่ถูกตัดไปแล้วนำพื้นที่มาใช้จอดรถแทนจัง
ถ้าคิดเรื่องพลังงานที่ใช้ไปกับการเดินทางจากที่ต่างๆมาที่นี่ด้วย งบลงทุนในภาพรวมก็เยอะอยู่
ตอนนั้นยังนึกในใจว่า ถ้าที่นี่ชวนคนมาปลูกต้นไม้กันแบบที่รณรงค์ปลุกป่าชายเลนน่าจะดีนัก ที่ว่างให้ปลูกมีเยอะแยะไปหมด แต่พอรู้ตัวก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าจัดงานในรูปแบบที่ใช้สีสันดึงดูดคนมาแบบนี้ละก็ ทุกครั้งไปจำเป็นต้องมีลานกว้างๆอย่างนี้ไว้ให้รถจอด คนที่มานั้นจะชุดใหญ่ชุดเล็ต้องนำรถมาทั้งนั้น มากันเยอะก็ต้องการที่จอดรถเยอะ
เดี๋ยวนี้เห่อทำไร่องุ่น กินเสต็ก กาแฟชื่อแปลกๆสรรหากันมา เต็มไปหมด คงเพื่อให้เข้าบรรยากาศหนาวๆ สมัยยังไม่บูม ปี ๒๕๔๐ ผมก็บ้าไปกะเขาด้วย เกือบไปซื้อที่ภูเขาทั้งลูก 60 ไร่ ราคาหนึ่งล้านบาท รึ่มจะเอาอยู่แล้ว แต่พระยังคุ้มเราอยู่ มาให้สติว่า มรึงจะบ้าหรือ ซื้อไปแล้วก็มาเป็นภาระ ต้องไปเฝ้าดูแลกลัวคนเขารุกที่เพราะมันไม่มีหนังสือสำคัญอะไรเลยนอกจาก ภบท. 5 (ที่ผมคิดจะซื้อเพราะต้องการปล่อยให้เป็นป่าธรรมชาติน่ะครับ แล้วปลูกกระท่อมอยู่หลังคามุงจากอะไรเทือกนั้น..โรแมนติกซะไม่มีดี)
นี่ถ้าผมใจแข็งสักหน่อยป่านนี้เป็นเศรษฐีไปแล้ว เพราะไอ้เขาลูกนั้นตอนนี้มันบ้านนักการเมืองมหาเศรษฐีจากกทม.ทั้งนั้นเลย แทนที่จะอาย กลับติดป้ายชื่อบ้านกันสลอน
ตอนคิดจะซื้อ อาจจะคิดแบบหนึ่ง แต่เมื่อซื้อแล้ว อาจจะคิดอีกแบบหนึ่ง…..5555 ใจไม่แข็งพอก็เลยอดเป็นเศรษฐี…..อิอิ