ธุดงค์ (๔)

โดย withwit เมื่อ 1 May 2011 เวลา 3:57 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3208

หลวงพ่อคำ(นามสมมุติ พี่ชายหลวงพ่อแคน)เล่าให้ฟังว่าสมัยท่านเดินธุดงค์เพื่อตามหาพระอรหันต์อยู่สามปี เมื่อราวพศ. ๒๔๙๕) จนจีวรขาดวิ่นไปหมด ต้องปะแล้วปะอีกจนเต็มไปด้วยรอยปะดูหยักรั้งน่าทุเรศมาก

วันหนึ่งเดินไปบิณฑบาตรในหมู่บ้านก็โดนหมาดุไล่เห่าเพราะมันคงเห็นจีวรที่น่าเกลียด ท่านประหม่าจนทำฝาบาตรหล่น ชาวบ้านเขาถือเคล็ดไม่ยอมให้ท่านจากไป เพราะเขาว่าถ้าพระทำฝาบาตรหล่นพวกตนจะต้องถึงแก่ความฉิบหายวายวอด นอกเสียจากว่าพระจะต้องแก้เคล็ดด้วยการสวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตร108 จบ (จบหนึ่งก็กินเวลาอย่างน้อยสิบนาทีถ้าสวดเร็วๆ)

หลวงพ่อท่านตอนนั้นก็เพิ่งบวชใหม่ธรรมจักรฯก็ยังสวดไม่เป็นและไม่รู้ว่าคืออะไร เขาต้องการให้สวดก็ยืนสวดอยู่ตรงนั้นโดยออกเสียงว่า “ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร” ทำอยู่อย่างนั้น108 ครั้งจึงรอดไปได้

สงสัยตงิดว่าหมามันคงจะไม่ค่อยชอบสีเหลืองพระ มันคงบาดตากระมังถึงได้รุมเห่ากันแบบนี้ ควายก็เป็นสัตว์อีกประเภท เห็นคนห่มเหลืองเป็นไม่ได้ มักจะวิ่งเข้ามาเพื่อไล่ขวิด เผอิญธุดงค์ครั้งนี้ไม่ได้เผชิญประสบการณ์นี้เลย เสียดาย

เผชิญงูร้าย
สิ่งที่คนเดินป่าไม่ว่าจะเป็นพราน เป็นโจร หรือเป็นพระธุดงค์กลัวกันมากเป็นพิเศษก็คือ ง งูใจกล้า นั่นเอง เพราะการถูกงูพิษกัดอยู่กลางป่า น่าจะเป็นการตายที่น่าหวาดเสียวและทรมานไม่แพ้การตายด้วยมลพิษในกรุงเทพเลย

พวกนักเลงเดินป่าบ้านนอกก็เลยมีกลวิธีกันและแก้งูกัดกันมากมายหลายขนาน มีตั้งแต่มนตราต่างๆที่ว่าเมื่อท่องแล้วจะแคล้วคลาด ส่วนใหญ่เวลาต้องลุยกันจริงๆ เช่น ลุยพงหญ้าที่มองไม่เห็นพื้นดิน ผู้เขียนก็จะว่าตำราเดิม คือ แผ่เมตตา เช่นว่า…โอม ท่านปวงสัตว์ทั้งหลาย..เราเป็นผู้ทรงศีลที่กำลังแสวงหาพระธรรมเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ ขอท่านสัตว์ร้ายทั้งหลายจงอย่าได้ทำบาปกรรมตัดตอนการแสวงหาอันประเสริฐของเราเลย จงมาร่วมกันสร้างบุญบารมีกับเราเถิด เกิดชาติหน้าขอให้ท่านได้เกิดเป็นคน ได้พบพระพุทธศาสนาเทอญ ขอท่านพญางูและสัตว์อันมีเขี้ยวแหลมคมและพิษร้ายทั้งหลายจงมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขเถิด อย่าเบียดเบียนเราผู้แสงธรรมแห่งองค์พระสัมมาฯเลย….

เมื่อได้สวดท่องทำนองนี้แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยได้ในด้านจิตใจ หลวงพ่อท่านก็เป็นนักสถิติตัวยงมักจะบอกเสมอว่า โอกาสที่จะถูกงูกัดน่ะมันมีน้อยยิ่งกว่าการได้ตรัสรู้ในขณะที่กำลังอร่อยอยู่กับอาหารคำแรกของบิณฑบาตรเสียอีก ต้องเดินซุ่มซ่ามไปเหยียบมันเข้าน่ะแหละมันถึงจะง่ำเอา

บ้างก็ให้พกเครื่องลางต่างๆ เช่น เครื่องลางสมุนไพร ประเภทหัวกลิ้งกลางดง ซึ่งมีขนาดสักเท่าหัวแม่มือและมีลักษณะเป็นปุ่มๆที่ผิว เล่าขานกันว่าชะงัดนักแล งู หมู หมา แม้แต่หมี ก็ขบกัดไม่เข้า

….กาฝากมะนาวก็ว่ากันว่าดีนัก ตัวนี้นอกจากจะแคล้วคลาดแล้วหากโดนกัดเข้าจริงๆยังสามารถเอาฝนกับน้ำมะนาว(ที่เก็บจากต้นโดยไม่ได้ดม)ดื่มกินถอนพิษงูได้ดีนัก

และก็ยังมีรากมะนาวป่า ที่ว่ากันว่าแม้กระทั่งสิ้นลมแล้ว แต่หากถอนรากผมดูรากผมยังมีสีขาวอยู่ก็ยังสามารถทำให้ฟื้นคืนชีพได้ ส่วนพวกที่ได้ยินกันมากก็คือ เสลดพังพอนฝนกับเหล้า ทั้งกินทั้งทาหายดี

โอ๊ย ยังมีอีกหลายขนานที่ได้ยินชาวป่าเขาเล่าลือกล่าวขานกันไว้ น่าจะได้มีการศึกษากันอย่างจริงจังตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าตัวยาเหล่านี้มีสรรพคุณจริงดังคำล่ำลือหรือเปล่า (แต่หากไม่มีจริงก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปนะว่า มันไม่จริง เพราะบริบทมันต่างกัน วิทยาศาสตร์มันงมงายอยู่ในเหตุผลเสมอ…แต่ไสยศาสตร์มันหลับอยู่ในความเชื่อ ทั้งสองอย่างผิดและถูกพอกันแหละ พุทธศาสตร์นั้นสายกลาง เชื่อและไม่เชื่อทั้งสองอย่างพอกัน แต่ทุกวันนี้คนไทยเราก็บ้าและเห่อวิทยาศาสตร์แบบฝรั่งจนเกินพอดี)

ผู้เขียนได้สังเกตมาอย่างหนึ่งว่าตัวยาส่วนใหญ่จะฝนกับเหล้าขาวแทบทั้งนั้น จนกระทั่งว่าหมองูคนหนึ่งที่ผู้เขียนเคยไปดูเขารักษาเพื่อนที่ถูกงูสามเหลี่ยมกัดในขณะส่องกบ ใช้เหล้าขาวเพียวๆอมเข้าปากแล้วก็เป่าพรวดๆลงไปบริเวณปากแผล พร้อมกับท่องมนต์สำทับ (เป็นภาษาเขมร) ก็เล่าลือกันว่าหมอคนนี้รักษาคนมา 20 กว่าปีแล้ว รอดตายมาได้หลายร้อยคน ไม่มีตายสักราย สัมภาษณ์หมอได้ความว่าเคยแก้มาทุกงูยกเว้นจงอาง

ผู้เขียนมาฉุกคิดว่า เหล้าขาว น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่แก้พิษงูได้แม้แต่เพียงการทาที่ผิวหนัง เพราะเหล้าขาวนั้นเป็นแอลกอฮอที่ระเหยได้ง่าย เมื่อเกิดการระเหยที่ผิวหนังการระเหยก็อาจระเหยพาเอาพิษงูติดออกไปด้วยก็เป็นได้ น่าจะได้มีการทำวิจัยเรื่องนี้ดูที ถ้าจะใช้หลักวิทยาศาสตร์ก็พอฟังได้อยู่เพราะเคยได้อ่านพบมาในตำราฝรั่งว่าพิษงูนั้นจะเคลื่อนเข้าสู่ร่างกายผ่านท่อลำเลียงน้ำเหลือง(ไม่ใช่เส้นเลือดอย่างที่เรามักเข้าใจกัน) ซึ่งท่อเหล่านี้ฝังตัวอยู่ชิดผิวหนังมาก ดังนั้นท่านจึงบอกว่าการใช้เชือกรัดแขนขาเมื่อถูกงูกัดนั้นให้รัดแต่เพียงเบาๆ เพื่อให้เลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ แต่พิษงูที่ปนไปกับน้ำเหลืองไหลไปไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงก็พออนุมานได้ว่าการทาด้วยแอลกอฮอจะทำให้เกิดการระเหยอย่างรวดเร็วที่ผิวหนัง และการระเหยนี้อาจช่วยดูดซับพิษงูที่กำลังไหลผ่านเยื่อใต้ผิวหนังให้ระเหยตามไปด้วย

จึงอยากเสนอแนะเป็นสูตรของหลวงเฮียว่าหากเข้าป่าแล้วถูกงูกัด หาอะไรไม่ได้จริงๆ ก็ให้ใช้น้ำธรรมดาลูบทาบริเวณแผลพอหมาดๆแล้วพัดให้แห้ง ทำเช่นนี่อยู่เรื่อยๆโดยตลอดจนกว่าจะถึงมือหมอ คิดว่าไม่น่ามีผลเสียเกินไปกว่าการไม่ทำอะไรเลย

หากหาน้ำไม่ได้ก็ใช้น้ำลายหรือปัสสาวะก็ได้ สูตรยาของพระพุทธเจ้าในการแก้พิษงูตามที่ได้มีกล่าวกันไว้คือ การให้ดื่มน้ำปัสสาวะ หรือ แม้กระทั่งอุจจาระ (มูตรและคูถ)

ตรงนี้ผู้รู้บางท่านบอกว่าแท้จริงแล้วเป็นอุบายเพื่อทำให้สะอิดสะเอียนจนอาเจียร ซึ่งการอาเจียรจะทำให้อาการทุเลาลงเพราะพิษงูจะออกมาด้วยในบางส่วน

« « Prev : กลับตาลปัตร (๖)

Next : ธุดงค์ (๖) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 May 2011 เวลา 4:39 pm

    จ๊าก… ท่านพญาด๊อกกี้เมื่อสักครู่ก็ว่าหวาดเจี๋ยวแล้วนะคะ นี่มีทั้งควาย ทั้งงูเลยเหรอคะ
    เรื่องนี้น่าจะตั้งชื่อว่า “วิบากของการห่มเหลือง” นะคะ ^^

  • #2 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 May 2011 เวลา 9:36 pm

    เคยแต่ถูกตะขาบกัด เข็ดหลาบมาเท่าทุกวันนี้


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.067065000534058 sec
Sidebar: 0.01808500289917 sec