(ไม่มีอดีตก็ไม่มีอนาคต)
ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๒๒)
คนไทยเราสนใจแต่อนาคต จน นายกฯทุกคน ต่างก็ไม่วายเว้นให้คำขวัญวันเด็กเหมือนๆกัน ทำนองว่า “เด็กคืออนาคตของชาติ” ซึ่งผมว่าผิดถนัด แท้จริงแล้วผมว่า คนแก่ต่างหากเล่าที่คืออนาคตของชาติ
แต่ฝรั่งเขาให้ความสำคัญกับคนแก่ (อดีต) มากกว่าคนหนุ่มสาว และเด็ก (อนาคต)
…ดารา นักร้อง นักข่าว ไทยเรา มักคัดเอาแต่เด็กๆ หน้าตาสวย หล่อ เป็นหลัก พูดจา ท่าทางก็แสนหน่อมเน้ม งี่เง่า…………..ส่วนฝรั่งเอาความสามารถเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เรื่องพวกนี้มักมาตกที่คนแก่
ดาราฝรั่งจะพีค (peak) …แปลว่าได้ค่าตัวสูงสุดเมื่อ…ถ้าเป็นหญิงประมาณอายุ 40 ถ้าเป็นชายประมาณอายุ 50 ส่วนดาราไทย ก็ 20 ถึง 25 ตามลำดับ ถ้าเกินกว่านี้ก็ถดถอยแล้ว ต้องไปเล่นเป็น น้า อา แม่ ลุง ป้า ปู่ ย่า ตามลำดับ
นี่ว่าเฉพาะดารา ที่ยังพอฟังขึ้น ส่วนนักข่าวหน้าจอนี่ ไม่เข้าใจจริงๆ เพราะเป็นอาชีพที่ต้องการสมองมากกว่ารูปร่าง แต่ของไทยเราก็เห็นมีแต่นักข่าวสาว ใส่เสื้อคอลึกกระโปรงสั้นโชนมและขาอ่อนเป็นหลัก ขนาดออกเสียงให้ถูกต้องยังทำไม่เป็น อ่านตามสคริปต์ก็ยังตกหล่น แล้วมันมาเป็นนักข่าวได้อย่างไร น่าไปเป็นไก่ริมถนนเสียมากกว่า ในขณะที่นักข่าวฝรั่งส่วนใหญ่แก่ประมาณ 45 ขึ้นทั้งนั้น จน 70 ก็ยังมี
นี่แสดงให้เห็นชัดว่าฝรั่งเน้นกันที่เนื้อหา ส่วนไทยเน้นกันที่รูปแบบ
ฝรั่งเขานิยมของแก่ ของเก่า (ยกเว้นพวกหัวงูฝรั่ง ก็ชอบเด็กสาวเหมือนหัวงูไทย ) จึงนิยมไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กันมาก เมืองฮัมบูร์ก (เยอรมันนี) เมืองเดียว พลเมืองประมาณ 1 ล้าน มีพิพิธภัณฑ์ 200 แห่ง ในขณะที่กทม. มี 10 ล้านคน กลับมีไม่ถึง 10 แห่งกระมัง คนดูหรอมแหรมอีกต่างหาก พภ.แห่งชาติมีแต่ฝรั่งเข้าชมเป็นส่วนใหญ่ และก็มีเด็กนักเรียนที่ครู (บังคับ) พามาชม ส่วนประชาชนไทยทั่วไปแทบหาไม่เจอ
การขุดค้นทางโบราณคดีไทยเรา ต้องให้ฝรั่งมาขุด และมาสอนเราว่าเราเป็นใครมาจากไหน การอ่านหลักศิลาจารึก ก็ต้องให้ฝรั่งอ่าน ภาษาเราเองแท้ๆ มันหน้าเศร้ามากจริงๆ
ถ้าคนไทยเราศึกษาประวัติศาสตร์ให้ดีจะเกิดความภูมิใจและมั่นใจในตนมากกว่านี้ เพราะในอดีตแม้เพียง 300 ปีที่ผ่านมานี้ชาติไทยเราไม่ได้ด้อยไปกว่าฝรั่งเลย เช่น สมัยสมเด็จพระนารายณ์เรามีปืนใหญ่ไฟใช้แล้ว จนญี่ปุ่นต้องมาขอพึ่งเทคโนโลยีด้วยการส่งเทคโนโลยีการรบบนหลังม้าของซามูไรมาแลกเปลี่ยนหนึ่งกองร้อย (จนทำรายได้ทางอ้อมให้ไทยมาจนวันนี้เพราะดึงดูดนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นให้มาชมหมู่บ้านซามูไรในไทย) และเราสร้างเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่สามารถบรรทุกช้างได้ 50 เชือก (จะลำโตขนาดไหน) เป็นต้น ก็ในสมัยนั้นยุคเรือปืน ใครมีสองอย่างนี้ก็ครองโลกได้ เช่น ปอร์ตุเกส ฮอร์ลันดา และเสปน ส่วนอังกฤษ เมกา เยอรมันยังเพิ่งตั้งไข่
ยิ่ง 3000 ปีก่อนยิ่งแล้วใหญ่ เราเจริญกว่าฝรั่งมากด้วยซ้ำไป มีหลักฐาน เหตุผล ที่น่าเชื่อได้ว่า ดินแดนขวานทองนี้เป็นต้นกำเนิดของยุคสำคัญของโลก เช่น ยุคเทคโนโลยีสำริด ยุคเหล็ก และยุคจรวด แต่พอถึงยุคอุตสาหกรรมเรากลับตกชั้นอย่างหลุดลุ่ย ต้องถามว่าทำไมเราถูกแซงฉลุยจนถึงทุกวันนี้ ….อาจเป็นเพราะเราไม่ศึกษาอดีต และไม่สืบต่ออารยธรรมดั้งเดิมนั่นเอง
การขุดค้นพบสำริดครั้งแรกที่บ้านเชียงนั้นได้รับการตรวจสอบอายุจาก ม.เพ็นซิลวาเนีย (ไอวีลีคส์ สรอ. ) และม. โอตาโก้ (ม.ชั้นนำสุดของนิวซีแลนด์) ได้ผลตรงกันว่าอายุประมาณหกพันปี ทำให้โลกตะลึงกันไปทั่วว่านี่คือจุดอารยธรรมสำริดเก่าแก่ที่สุดในโลก เก่ากว่าที่เมโสโปเตเมียที่ฝรั่งถือว่าเป็นต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมฝรั่ง (และโลก) ถึงหนึ่งพันปี
ต่อมาอายุสำริดบ้านเชียงถูกลดระดับลงเหลือเพียง 4000 ปี เท่านั้น จนอ่อนกว่าที่เมโสฯ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นการทุจริตทางวิชาการของฝรั่ง เพื่อทำให้ฝรั่งยังคงเป็นแชมป์นั่นเอง โดยนักวิชาการไทยเราก็ไม่มีอำนาจต่อรอง (เพราะไม่มีความรู้เรื่องการวัดอายุวัตถุโบราณ …ทั้งที่ก็มีนักฟิสิกส์เก่งๆที่ส่งไปเรียนนอกกลับมากันเต็มเมือง)
ไทยเราน่าจะเป็นชาติแรกในโลกที่คิดค้นจรวด (หลักฐานคือ บั้งไฟ และ ตะไล) แต่พอพูดถึงบั้งไฟคนไทยส่วนใหญ่ก็นึกแต่ดูถูก หาว่าเป็นเรื่องของลาวอีสานที่งี่เง่า ยากจน โดยสูน่ะแหละที่งั่งจนหารู้ไม่ว่านี่แหละคือเทคโนสูงสุดของโลก ไม่เช่นนั้นพวกฝรั่งเขาไม่มีวลีติดปากหรอกว่า “smart like a rocket scientist” (ฉลาดยังกะนักสร้างบั้งไฟ) ส่วนไทยเราไปยกความฉลาดสูงสุดให้เป็นพวกหัวหมอ หัวเสธ ไปโน่น
ยิ่งตะไลยิ่งแล้วใหญ่ เป็นจรวดที่มีทรงคล้ายขนมกง หรือ โดนัท พุ่งทะยานสู่ฟ้าแบบควงสว่าน ที่ภัณฑรักษ์ (curator) แห่ง Smithsonian Aerospace Institute ได้บินลัดฟ้ามาหาผมเพื่อขอดู แล้วสรุปว่าไม่มีที่ไหนในโลก เป็นของไทยอย่างแน่นอน ซึ่งนี่มันเป็นพ่อของ rocket scientist อีกต่อ ที่ผมขอท้าว่าถ้าให้ ดร. ฝรั่งจบป.เอกด้าน aerospace engineering มาทำให้ขึ้น โดยให้เวลาสัก 5 ปี (และห้ามถามหาขอความรู้จากใคร) ผมพนันว่าทำไม่ขึ้นหรอกครับ แต่คนไทยโบราณทำขึ้นมาแล้ว และกำลังจะสูญหาย ไม่มีใครทำเป็นอีกแล้ว
ว่าถึงปีกเครื่องบิน ผมได้ศึกษาค้นคว้าแล้ว สรุปว่า คนไทยเป็นชาติแรกที่คิดค้นปีกเครื่องบิน หลักฐานมีอยู่ในกังหันลมไทยโบราณ (มีจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีไทยโบราณ มทส.) ปีกนี้ใช้หลักการทางอากาศพลศาสตร์ (aerodynamic) ทำให้เกิดแรงยกแบบปีกเครื่องบินเด๊ะเลย โดยเราทำจากไม้กระดาน เอามาเหลาให้อีกด้านหนึ่งโค้งมน ส่วนอีกด้านแบน ทำให้ได้แรงยกเมื่อหมุนไป เพียงแต่ว่าเราเอาแรงยกนี้มาแตกแรง (แน่ะ..รู้จักการแตกแรงอีกด้วย) เพื่อนำแรงมาหมุนใบกังหัน แล้วต่ออาการไปวิดน้ำเข้านา …กังหันนี้มีมาแต่อย่างน้อยสมัยร.๕ ดังที่บันทึกไว้โดยหมอบรัดเลย์ (Bradley?) แต่ฝรั่งเพิ่งรู้จักหลักการนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี คศ. ๑๙๐๓ นี่เอง ที่สองพี่น้องตระกูลไรท์ได้ทดลองการบิน ..ส่วนกังหันของพวกวิลันดาที่เรายกย่องให้เป็นแดนกังหันลมนั้น ใช้หลักการแรงฉุด (drag) ที่ไม่ได้สูงส่งอะไรเลย (ดอกทิวลิปที่คลั่งไคล้กันนั้นก็ไม่ได้วิเศษไปว่าดอกกระเจียวเลย ของเรามีหลายชั้นซับซ้อนกว่าด้วยซ้ำแต่กลับไม่คลั่งไคล้กัน เออ..จิ้มแจ่วกินกันตายก็ได้อีกด้วย)
ยังมีอีกมาก เช่น กลไกการเปลี่ยนอาการโยกเป็นอาการหมุน ที่โลกยกย่องให้เป็นการคิดค้นของ james watts เจ้าพ่อเครื่องจักรไอน้ำที่เป็นต้นธารแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม เมื่อประมาณ 250 ปีมาแล้ว ..แต่เครื่องสีข้าวมือโยกไทยเรามีมานานก่อนหน้านั้นแล้ว แล้วเราก็ได้ทำเครื่อง “ตะบันไฟ” ที่น่าจะทำให้เราต่อยอดเป็นเครื่องยนต์ดีเซลได้ก่อนฝรั่งเสียอีก แต่ทุกวันนี้หาตะบันไฟเข้าพิพิธภัณฑ์ยังแสนยาก ผมขับรถตระเวนหามาห้ารอบประเทศได้มาสองอันเท่านั้นเอง
ฟันเฟืองเป็นการคิดค้นที่สำคัญ จนเป็นสัญลักษณ์ของวิศวกรรมศาสตร์ แต่เฟืองขบแบบฟันปลาพลิกกลับ (double helical gear) เพื่อทดรอบการหมุน ที่วิศวกรฝรั่งคิดค้นกันเร็วๆนี้ ก็มีหลักฐานให้เห็นอยู่ในเครื่องหีบอ้อยไทยโบราณ และ เครื่องคัดเมล็ดฝ้ายโบราณที่เราเรียกกันว่า “อิ้ว” ฯลฯ
คนไทยโบราณเราฉลาดล้ำเลิศปานนั้น แต่ถามว่าทำไมชาติไทยเราวันนี้กลับงี่เง่า คิดและทำอะไรเองไม่เป็น ดีแต่ลอกเขามาใช้ไปวันๆ พัฒนาประเทศก็ต้องไปยืมทุนและสมองเขามาก การศึกษาก็ต้องส่งไปเรียนนอก การเมือง การดนตรี แต่งกาย แม้แต่ส้วมขี้ ก็ไปลอกเขามาหมด
Those who don’t study the history are condemned to repeat it. นั่นคือภาษิตดังอันหนึ่งของฝรั่งเขา แปลว่า “พวกที่ไม่ศึกษาประวัติศาสตร์จะถูกสาปแช่งให้เดินซ้ำรอยเดิม”
…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๒ พย. ๕๓)
« « Prev : ขุมปัญญาของโลกทั้งใบเอามาช่วยไทยให้ครองโลก (แบบเขียวๆ)
Next : ไก่ปิ้งก่อโรคมะเร็ง » »
4 ความคิดเห็น
ผมเคยทำตะไลยักษ์นะครับ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.25 เมตร
ต้อนที่มันทะยานขึ้น โห มันพลึกอลังการณ์มากเลยละครับ
อ้า…ผมได้คนที่จะไปเรียนด้วยอีกแล้ว
เปิดวิชาสอนที่ IGTech ไปเลยไหมครับ
ผมคิดที่จะทำเป็นตะไลสามสี คือแดงน้ำเงินขาว (สีธงชาติ) เอาไว้ยิงวันชาติ และวันรักชาติอื่นๆ รับรองว่าขายดีแน่ และเป็นสัญลักษณ์ทางปัญญาแห่งชาติไทยกระจายไปทั่วโลก
ตอนแรกอยากให้เด็กนศ.เอาไปทำ แต่กลัวมันระเบิดแล้วเด็กบาดเจ็บก็เลยระงับไป
ผมไปเยี่ยมหมอตะไลมาหลายคน บางคนหน้าตาบ ตัวลายไปหมด จากพิษตะไลระเบิด
ผมจัดแข่งตะไล มีฝรั่งมาดูเต็มลาน ปรากฎว่าตะไลมันวิ่งไล่เลี่ยฝรั่ง หมอบหนีกันตัวงอไปหมด
ตะไลหนที่วิ่งตามเส้นลวดก็วิ่งส่งเสียงดังตื่นเต้นเอาการ ถ้าเราผูกลวดโยงไปมาก็ยิ่งจะเห็นจรวดน้อยพุ่งพร้อมควันออกท้าย
ส่วนเรื่องตะไลยักษ์นั้นผมทำมานานแล้วครับ (40 ปี ) ในงานแข่งบ้องไฟ ถ้าจะฟื้นฟูคงต้องตามหาอาจารย์ตะไล-บ้องไฟในพื้นถิ่นฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
ตะไลล้าน ที่อ.กุฉินารายณ์ กาฬสินธ์ ก็ยังแข่งกันทุกปีครับบาท่าน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 เมตร ขึ้นแต่ละทียังกะ space shuttle ควันมันฟุ้งเต็มไปหมด พวกคนดูต้องแอบอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ เผื่อนมันขึ้นแบบแถลๆ เอียงๆมาทางเรา