มาต่ออีกหน่อยเรื่อง เปรี้ยว หวาน เค็ม
บันทึกที่แล้วเขียนเรื่อง รสกลมกล่อมที่ชอบ อันมีทั้งเปรี้ยว หวาน เค็ม เพื่อจะให้รู้จักไฟเตือนการลงมือกินว่า เมื่อลงมือกินไปแล้วจะโดนใบสั่งฐานฝ่าไฟแดงโดยไม่ตั้งใจหรือว่าวิ่งผ่านไฟเขียวแล้วก็ยังต้องแตะเบรคกันการชนปังตอกันมั๊ยไปบ้างแล้วนะค่ะ
ในบันทึกนี้จะเขียนต่ออีกหน่อยเรื่อง เปรี้ยว หวาน เค็มค่ะ เคล็ดลับวันนี้ก็คือ แม้แต่รสเปรี้ยวจี๊ด ก็ใช่ว่าจะปลอดเรื่องรสเค็ม หวานนะค่ะ ไฟเตือนอีกเรื่องหนึ่งที่พึงระวังเรื่อง หวานเค็ม คือ อาหารที่อยู่ในรูปแบบอย่างนี้ค่ะ
ใช่แล้วค่ะ เครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อว่า เครื่องดื่มสมุนไพรทั้งหลายนะแหละ ถ้าเห็นต้องนึกถึงว่าเป็นไฟเตือนละค่ะ เพื่อเวลาเปลี่ยนไฟต่อไปจะ ได้กดปุ่มถูกว่า จะกดไฟแดงหรือไฟเขียว และถ้ากดไฟเขียวอย่าลืมแตะเบรคไว้ด้วยนะค่ะ
หลายท่านอ่านมาถึงตรงนี้ก็อาจจะอุทานว่า อ้าว ฉันสับสนมั๊ยนี่ ก็ไหนว่าจะให้เพิ่มผลไม้ เพื่อกันเรื่องเกลือเกิน แล้วนี่ก็คือ รูปหนึ่งของผลไม้ ทำไมจึงมาบอกให้ระวังเวลากินอีกนี่ มีเหตุผลค่ะที่แนะนำให้ใช้ไฟเตือน ครือว่า ในแง่มุมของผลไม้นั้น ประโยชน์ที่มันให้มีหลายอย่างนักค่ะ ในแง่มุมของเกลือที่มันมีประโยชน์ คือ มันให้เกลืออีกตัวที่เรียกว่า “โปตัสเซียม” ไอ้เจ้าเกลือตัวนี้ มันเป็นเกลอกันค่ะ มันช่วยกันดูแลห้องนอนแต่ละห้องให้อวัยวะได้นอนหลับฝันดี ทำงานได้ปกติค่ะ
ห้องที่ฉันกำลังเอ่ยถึงนี้ ก็คือ เซลล์ของร่างกายค่ะ โดยปกติร่างกายให้ที่ให้เกลือ 2 ตัวนี้ไปอยู่ จะให้ตัวหนึ่งอยู่ภายในห้อง ตัวหนึ่งอยู่ภายนอกห้อง เพื่อให้ห้องนอนสบายค่ะ เมื่อไรที่มีการเสียสมดุลของการครองพื้นที่ของเจ้าเกลือ 2 ตัวนี้ เมื่อนั้นห้องนั้นก็จะใช้ไม่ดี ไม่ชวนสบายและทำให้อวัยวะนอนไม่หลับหรือนอนไม่สบายทันทีด้วยค่ะ การที่ฉันบอกเคล็ดว่า เมื่อมีทีเผลอกินเกลือเกิน ให้เพิ่มการกินผลไม้ก็เพื่อให้ท่านเติมเกลือโปตัสเซียมเข้าไปคานสมดุลของโซเดียมในการครองพื้นที่แหละค่ะ ไม่ลงลึกต่อไปแล้วนะค่ะ ขอเล่าพอหอมปากหอมคอแค่นี้ค่ะ
เอาละค่ะทีนี้ มาที่ไฟเตือนเรื่องน้ำตาลกันได้แล้วหละ ธงบอกกันแล้วว่า กินน้ำตาลให้น้อยๆที่สุด โดยคำว่าน้อยที่สุด มีขอบเขตที่ไม่ควรเกินวันละ 4 ช้อนชา เห็นมั๊ยค่ะว่า พอเอาตัวเลขมาบอก กินน้ำผลไม้เกินกว่า 1 แก้วมีโอกาสที่น้ำตาลจะเกินมั๊ยค่ะ ไหนจะมีในรูปชา กาแฟอีกเล่า โอกาสกินน้ำตาลเกินในชีวิตสมัยใหม่มันจึงเหมือนทีเผลอของการกินเกลือเกินใช่ม๊ะ ใช่ม๊ะ แล้วยังมีอีกมีอาหารว่าง อาหารคาวอะไรเล่าที่ไม่ใส่น้ำตาลลงไปปรุงรสด้วย ฉันกล้าพนันไม่มีที่ไหนทำหรอก ขืนมีใครทำมีแต่เจ๊งและเจ๊งลูกเดียว ใครกั๊นใครกันจะไปอุดหนุน กรณีที่ไม่ได้ปรุงอาหารเองจึงได้น้ำตาลเกินมาอยู่แล้วหละค่ะ ยิ่งกินหลายมื้อหนักๆยิ่งได้แถมน้ำตาลมาอยู่แล้วค่ะ
นี่แหละคือเหตุผลว่า ทำไมจึงต้องใช้ไฟเตือนเวลากินผลไม้ในรูปแบบใดก็ตามเอาไว้ด้วย
ความจริงที่ธงนำมาเขียนย้ำแยกไว้เรื่อง น้ำตาลน้อยๆนั้น ใช่ว่าจะไม่รู้ว่า น้ำตาลซ่อนอยู่ที่โน่นที่นี่อีกหลายแห่งหลายรูปแบบ แต่ที่เอามาเขียนเพราะต้องการเน้นว่า อย่าเติมน้ำตาลให้ตัวเองด้วยอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่อยู่ในหมวดอาหารที่ธงกำหนดค่ะ
รูปแบบของน้ำตาลที่อยากจะบอกเป็นไฟเตือนอีกในวันนี้ คือ รูปแบบของขบกินเล่นๆที่มักจะเจอในร้านสะดวกซื้อ และในร้านอาหารจานด่วนทั้งหลายที่แค่เอาน้ำตาลมาหลอกขายให้จ่ายเงินซื้อกิน แล้วคนขายก็รวย รวบ ร๊วย รวยตายหอสระอาไม้เอกเลยอ่ะ ไอ้น้ำตาลที่มาหลอกขายนี่อ่ะเป็นน้ำสีดำ แดง เขียว เหลือง ส้ม เยอะแยะไปหมด แถมยังมีมาในรูปที่ชวนให้กินเพื่อให้ได้กลิ่นดีๆในปากหรือแก้ปากว่างซะอีก รูปแบบของน้ำตาลที่ว่า อยู่ในรูปอย่างนี้ไง
ใครอยากรู้ว่ามันมีน้ำตาลเท่าไร ตามไปอ่านดูต่อที่นี่ และ ที่นี่ ค่ะ
เออ เอ่อ เอ้อ เอ๊อ เอ๋อ ลืมไปค่ะ เอาอะไรแก้เครียดมาให้อ่านกันหน่อย ไหนๆก็เสนอให้เป็นหมอดูแกะลายแทงตัวเองแล้ว เลยเอาเรื่องการทำนายด้วยวิธีอื่นๆมาให้เล่นด้วยค่ะ ไปที่นี่นะค่ะ ฉันไปลองทายตัวเองมาแล้วค่ะ เข้าท่าดีค่ะ
« « Prev : เปรี้ยวหวาน รสกลมกล่อม
Next : ทำ…มา…หา..กิน..เพื่ออะไรกัน » »
ความคิดเห็นสำหรับ "มาต่ออีกหน่อยเรื่อง เปรี้ยว หวาน เค็ม"