สึนามิสอนไว้….อย่างไร….นำมาใช้ดูหน่อยดีกว่า

โดย สาวตา เมื่อ 16 กรกฏาคม 2009 เวลา 19:17 (เย็น) ในหมวดหมู่ การจัดการ, ชีวิต สุขภาพ, ดูแลสุขภาพ, สิ่งแวดล้อม #
อ่าน: 2637

ก่อนที่จะมีเวทีคุยกันในวันนี้  มีเรื่องที่เกิดฉุกคิดว่าน่าจะมองและเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าเอาไว้ได้แล้วสำหรับกรณีของไข้หวัดใหญ่ระบาดที่คาดการณ์กันเอาไว้  ข้อฉุกคิดนั้นเกิดขึ้นมาจากประสบการณ์ที่พบในครั้งสึนามิที่เคยผ่านมาด้วยดี

สิ่งหนึ่งที่เริ่มเตรียมการแล้วสำหรับที่นี่และเริ่มมีการเตรียมการกันแล้วก็คือ การขนย้ายผู้คนทางอากาศให้สามารถช่วยคนให้รอดได้ทันเวลา ในกรณีที่มีอาการหนักเครื่องมือมีไม่พอใช้ในพื้นที่ หรือหมอในพื้นที่ไม่มีความสามารถพอที่จะจัดการปัญหาป่วยหนักนั้น จำต้องส่งต่อไปยังมือที่เชี่ยวชาญกว่า ดูเหมือนว่าตรงนี้ ศูนย์นเรนทรกระทรวงสาธารณสุขก็ตื่นตัวและคาดการณ์ไว้แล้ว จึงมีคนที่ถูกส่งลงมาประสานงานกับร.พ.กระบี่ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วในเรื่องของการเคลียร์พื้นที่ให้มีลานจอด ฮ.ในร.พ. และเมื่อลงไปดูพื้นที่ที่เป็นลานจอด ฮ.ที่เคยใช้ตอนสึนามิ ก็ถือว่าโชคดีที่ลานส่วนนี้ไม่ได้ถูกเปลี่ยนสภาพไปมากมายนัก ยังกู้คืนให้กลับมาเหมือนเดิมได้โดยไม่เปลืองงบประมาณไปสักเท่าไร

เรื่องต่อมาที่เตรียมการก็เป็นเรื่องของหน้ากากอนามัย ที่หันกลับไปใช้ภูมิปัญญาของผู้คนรุ่นก่อน นั่นคือ หน้ากากอนามัยแบบผ้าที่เคยใช้ๆกันมาแต่ก่อนแต่ไร และเย็บเอง ซึ่งถูกเลิกใช้ไปในยุคหลังๆนี้เอง อันเนื่องมาจากมีหน้ากากกระดาษมาให้ใช้แทนสบายๆ  เมื่อผู้รับผิดชอบลงมือทันทีในเรื่องนี้ ปัญหาการขาดแคลนเครื่องมือป้องกันสำคัญสำหรับผู้ป่วยและบุคลากรก็ลดถอยลงไปแล้ว ซื้อไม่ได้ทำเองได้ ไม่ง้อเลย

แต่ก็มีมุมฉุกคิดอีกนะแหละ ในตอนที่เกิดสึนามิ ขาดผ้าสำหรับห่อสิ่งของนึ่งฆ่าเชื้อ เพื่อนำกลับมาใช้กับคนป่วยให้เพียงพอ อีตอนนั้นเป็นเรื่องของห้องผ่าตัด แต่อีตอนนี้ก็เป็นเรื่องของคนป่วยทั่วไปที่ไม่เข้าห้องผ่าตัดละ แปลว่าต้องการใช้ผ้าจำนวนมากมายกว่าเดิมในการมีหมุนเวียนให้ใช้นะ สำหรับกรณีที่มีคนป่วยจำนวนมาก  เออ! ปัญหานี้ยังไม่มีใครพูดให้ฟังเลยนะ เตรียมการอย่างไร

แต่ที่แน่ๆมันมองเห็นแล้วว่า งานนี้ที่ยังต้องสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน คือ อุปกรณ์การซักล้างต่างๆ ไม่ว่า สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก จำเป็นที่จะต้องจัดระบบสำรองเอาไว้ใช้นะนี่ เพราะว่าใช้มันทุกวันๆ จำนวนไม่น้อยเชียวแหละ

ดูแล้วน่าจะสำรองระบบในเรื่องการผลิตสบู่ขึ้นใช้เองซะแล้วซิ  คราวนี้เทคโนโลยีชาวบ้านจะได้นำมาสู้ศึกโรคระบาดกันสักตั้งแล้วนะ  ใครที่ทำสบู่ยังไม่เป็น คงต้องช่วยทำให้ทำได้กันแล้วซิ

มองต่อก็มองเห็นว่า ปัญหาข้างหน้าจะมีอีกเรื่องคือเรื่องของการขาดแคลนผ้าใช้สอย อีแค่เรื่องของหน้ากากอนามัยที่ควรมีส่วนตัวคนละชิ้น สองชิ้นนี่ เพื่อให้ซักและหมุนเวียนใช้ได้ก็หนักใจแล้วว่า จะหาผ้ามาจากไหนกันนะ สำหรับหมุนเวียนใช้ ในยามที่ทุกๆที่ทั่วประเทศต้องการใช้มัน   อยากจะบอกผ่านไว้ที่นี่แหละว่าใครก็ตามที่ทำเรื่องผ้าอยู่ ช่วยกันคนละไม้คนละมือด้วยละกัน

ทำนายไว้ก่อนว่า(ในฐานะที่เคยเจอสึนามิ) ต่อไปในยามที่ขัดสนแม้กระทั่งเศษผ้าของผ้า 3-4 ชนิดนี้ก็มีความหมาย นั่นก็คือ ผ้าสาลู (ผ้าที่คนทั่วไปๆชอบนำมาเย็บผ้าอ้อมเด็ก)  ผ้าฝ้าย (ผ้านุ่ง ผ้าถุงอะไรนี่ใช้ได้หมด)  ผ้ายืด และผ้าที่คนรู้เรื่องผ้ารู้จักว่า ทอด้วยเส้นด้ายไม่ต่ำกว่า 22 เส้นต่อ 1 ตารางนิ้ว (ผ้าอะไรบ้างใครมีความรู้บอกกันหน่อย)

ตอนนี้หน้ากากกระดาษที่ทำไว้สวยงามนั่นนะ เริ่มขาดแคลนแล้ว ด้วยเหตุที่มีการใช้จำนวนมากตูมเดียว ผลิตให้ผู้ต้องการใช้ไม่ทัน เริ่มขาดตลาดแล้วซินะ และด้วยเหตุที่ทำนายไว้เรื่องผ้านี่แหละ ทำให้มองเห็นว่าหน้ากากกระดาษทำเองได้น่าจะเป็นตัวช่วยในยามขาดแคลนผ้ายิ่งนัก ข้อดีของกระดาษมีตรงที่ใช้แล้วทิ้งไม่ต้องใช้เครื่องซักล้าง  ใช้ทำหน้ากากได้ถ้าหากรูพรุนของกระดาษนั้นมีขนาดใหญ่ไม่เกิน 5 ไมครอน  แต่ว่าในตอนนี้มีความรู้ไม่พอเรื่องกระดาษนะซิ  ว่ากระดาษอะไรมีรูพรุนแค่ไหน ถ้ารู้ก็จะลองไปสำรวจดูว่า มีแหล่งอยู่ที่ไหนอย่างไร นึกถึงหน้ากากกระดาษทำขึ้นใช้ง่ายๆ เหมือนอีตอนหนังเรื่องอินทรีย์แดงกำลังฮิตขึ้นมาตะหงิดเลยเชียว

ว่าแต่นึกไปต่ออีกแล้ว ความคิดมันฟุ้งไปเรื่อยรึเปล่าก็ไม่รู้ คิดไว้ก่อนละกัน เผื่อเป็นทางออกฉุกเฉิน  ครั้งนี้น่าจะมีโอกาสทำให้ขยะกระดาษมาช่วยอะไรได้บ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ซิ  อีตอนสึนามินั้นนำมาใช้เช็ดซับเวลาทำความสะอาดจุดปนเปื้อนเชื้อที่ราดน้ำยาฆ่าเชื้อเอาไว้  อ้อ! รู้แล้วใช้ทำความสะอาดสถานที่แทนผ้าได้ ประหยัดผ้าไปทำอย่างอื่นได้อีก เออ! ดีแฮะ

เหตุการณ์คราวนี้มีต่างจากสึนามิตรงที่ ตัวใครตัวมันที่จะต้องพึ่งตัวเองในการดูแลผู้คนที่เจ็บป่วยมาหา น่าจะไม่มีหมอ-พยาบาลจากที่ไหนเดินทางมาช่วยได้ น่าจะไม่มีผู้คนเฮโลกันลงมาช่วยได้เหมือนคราวสึนามิ หรือเวลามีภัยธรรมชาติใหญ่ๆเกิดขึ้น  หากว่าดูแลตรงประเด็นข้างต้นนี้ให้ดี ช่วยได้เยอะเลยเรื่องขวัญกำลังใจของคนทำงาน

ว่าแล้วก็หันมามองดูกันต่อ หากศึกนี้มาแบบตูมเดียววันละห้าร้อยใน 6 ชั่วโมงเหมือนสึนามิจะทำยังไงดี  เริ่มมองเห็นเค้าแล้วว่า มีหวังๆได้เจอ หากไม่ป้องกันให้ดีๆไว้ก่อน ป้องกันให้เร็วไว้ก่อนดีกว่าเหอะ ว่าแล้วก็ปรับกันไปเรื่องของการป้องกันก่อนเกิดให้ได้ ใช้สาส์นเร็วอีตรงที่ว่า ไม่รอพิสูจน์เชื้อเพียงด้านเดียวจึงลงมือคุมโรค หากแต่ทำมันเลยสองทางนั่นก็คือ พบเชื้อก็ลงมือ ไม่พบเชื้อก็ลงมือในเรื่องคุมโรค

ไม่พบเชื้อลงไปคุมโรคเมื่อ เจอผู้มีอาการป่วยแล้ว 2 คนจากพื้นที่แออัด เช่น สถานเลี้ยงเด็ก เรือนจำ บ้านเรือนเดียวกัน โรงเรียนเดียวกัน ตกลงกันอย่างนี้แล้วหละทีนี้ ลงตัวกันในเรื่องนี้แล้วในพื้นที่อ.เมือง ว่าแล้วก็ลงมือทำงานกันเลย พบอะไรอย่างไรค่อยมาว่ากันต่อ

« « Prev : ไม่ทิ้งกันในยามยาก

Next : ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่่ที่ทำกันอยู่…ทำไปทำไมกัน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

8 ความคิดเห็น

  • #1 Lin Hui ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 กรกฏาคม 2009 เวลา 19:37 (เย็น)

    สติย่อมนำปัญญามาใช้อย่างเหมาะสมค่ะ ขอให้กำลังใจค่ะน้องสาวตา นางฟ้าของผู้เจ็บป่วยค่ะ

  • #2 จันทรรัตน์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 กรกฏาคม 2009 เวลา 20:07 (เย็น)

    พี่สาวตา….ใช่เลยแหล่ะ เมื่อก่อนใช้หน้ากากผ้า ซักเองด้วยซ้ำ ตอนหลังพวกใช้แล้วทิ้งเข้ามามาก เลยหันไปใช้แทน…หน้ากากผ้าราคา 5 บาทค่ะ ยกล็อตถูกกว่านี้เยอะ
    ตอนนี้ในเชียงใหม่หน้ากากกระดาษขาดตลาดแล้วค่ะ ร้ายขายยาไม่ยอมขายเป็นกล่องแล้ว…แต่คนใช้ยังจะต้องใช้กันไปอีกนานแน่ๆ

    ที่สำคัญตั้งจุดล้างมือไว้มากขึ้นอีกหน่อยค่ะ สบู่กับเจลล้างมือเตรียมไว้ตามจุดต่างๆ ประตูต่างๆ ใช้ระบบเอาตัวดันได้จะดี ห้องน้ำที่ใช้ลูกบิดต่างๆ ควรมีซิงค์น้ำไว้หน้าห้องด้วย กระดาษทิชชูตุนไว้ได้เลย

    แล้วร้านอาหารสำเร็จรูป ใส่ถุง ผลไม้ปอกเสร็จ …คนทำอาหารควรใส่หน้ากากด้วยเลย คนที่ซื้ออาหารรถเข็นระวังๆ ให้มากขึ้น เพราะการผลิตบางครั้งผลิตที่บ้านแล้วเข็นมาขาย…แจกแอลกอฮอร์ล้างมือให้พ่อค้าแม่ค้ารถเข็นไปเลยได้ไหมคะ…เทศบาลต่างๆน่าจะลงไปดูตามตลาดได้เลย….

    ศึกนี้ยังอีกนานค่ะพี่

    ที่ รพ. (ที่สร้อยพักอยู่แหล่ะ) คนไข้พุ่งขึ้นไปที่ OPD วันละ 3000-3500 คน…คัดกรองกันถึงเที่ยงคืน….สร้อยเพิ่งคุยกับพี่พยาบาลหัวหน้า OPD ไปว่า ถึงเวลาหรือยังที่พี่จะหาอาสาสมัคร…ถามไปว่าพี่จะระดมแพทย์พยาบาล ตามคนลาพักร้อน มาขึ้นเวรต่อเนื่องอย่างนี้ไปได้อีกนานเท่าไหน กลุ่มนักศึกษาสายวิทย์สุขภาพ ควรระดมกันมาช่วยรณรงค์คัดกรองตามสถานบริการสุขภาพต่างๆได้หรือยัง..ทิ้งประเด็นไว้ว่าการดูแลกันในระยะยาวได้อย่างไง…
    ยิ่งถ้าโรงเรียนปิดโรงเรียนไปเพราะเด็กป่วยแล้ว…แล้วเด็กที่เหลือจะอยู่บ้านเป็นสิบวัน…ขณะที่พ่อแม่ต้องทำงาน  พ่อแม่จำนวนหนึ่งจำใจพาลูกมาที่ทำงาน…แต่ก็เสี่ยงกับการรับเชื้อเข้าไปอีก…..มันมีอีกหลายเรื่องต้องจัดการแน่ๆ …

    อ่านบันทึกพี่ก็ดีใจว่า ทุกภาคส่วนเห็นปัญหา และหาทางช่วยกัน ปัญหานี้ไม่ไกลตัวใครเลย แม้แต่คนเดียว….สร้อยคิดอย่างนี้นะคะ

  • #3 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 กรกฏาคม 2009 เวลา 21:31 (เย็น)

    ใช่เลยค่ะพี่….งานนี้ต้องเรียก…. สติ…สติ….สติ….สติ…สติ….มาให้มาก เพื่อให้ทุกคนเกิดปัญญาและนำปัญญามาช่วยกัน

    ขอบคุณสำหรับข้อมูลนี้ค่ะ : ผ้าที่มีเส้นใยไม่ต่ำกว่า 22 เส้นต่อ 1 ตารางนิ้ว มี ผ้าลินิน ผ้ามัสลิน

  • #4 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 กรกฏาคม 2009 เวลา 21:40 (เย็น)

    ช่ายเลย..น้องสร้อยเอ๋ย…ศึกครั้งนี้ยังอีกยาวนาน….ซ้อมละลอกแรกคือ…ไข้หวัดนก….นี่ก็แค่ธรรมชาติมาแหย่ให้ซ้อมละลอกสอง….แค่เพียงละลอกสองก็มองเห็นอะไรๆที่จะตามมาของละลอกใหญ่แล้วน้องเอ๋ย…..

    ศึกครั้งนี้หากเหมือนตอนที่ H1N1 ระบาดครั้งแรก (สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น)  ยาวนานเป็นปีสองปีแน่เลยน้องเอ๋ย….ถ้าลงมือทำอย่างไม่ได้ถอดบทเรียนรู้จากอดีต

    ฉะนั้นสิ่งที่ควรลงมือทำ….ไม่ใช่ตั้งรับด้วยการค้นหาสายลับหรือจับตัวข้าศึกอย่างที่ร.พ.ของน้องทำอยู่เพียงด้านเดียวนะค่ะ….ควรชวนบรรดามวลมิตรทั้งหลายมาช่วยทำให้เกิดความรู้ที่เข้าใจให้เกิดขึ้นกับผู้คน ผู้คนจะได้นำไปปฏิบัติได้ตรงตามลำดับความสำคัญในพื้นที่เขาเมื่อเขาเข้าใจแล้ว ไม่เอาแต่จำ จำแล้วไม่เข้าใจก็ตระหนกและแตกตื่นกัน….เลยแห่กันมามากมายอย่างที่เกดขึ้นค่ะน้อง

    ควรที่จะรีบชิงลงมือก่อนโดยมองหาสายลับให้เจอแล้วจัดการเก็บซะ  เผด็จศึกพวกที่ให้สายลับพึ่งพาอาศัยอยู่ซะก่อน ตัดไฟเสียแต่ต้นลมให้ทัน พี่ว่าน่าจะช่วยให้ข้าศึกไม่สามารถรุกมามากกว่านี้แล้วตีเมืองแตกนะน้อง…… ขืนเอากำลังไปรักษาเมืองอย่างเดียว….บอกได้เลยว่าละลอกนี้แพ้ศึกแน่นอน

    สำหรับร.พ.พี่ ตอนนี้คอทั้งหลายและหัวต่างพากันแก้ที่การค้นหาข้าศึกและสายลับไปพร้อมๆกัน ยังเหลือแต่ทัพหน้าที่จะช่วยจับตัวสายลับและจัดการที่อยู่ไม่ให้สายลับได้พึ่งพาอาศัยนะแหละ ที่ยังคงต้องทำให้เขาตื่นตัวและสนองกว่านี้อีกมากๆ

  • #5 สุวรรณา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 กรกฏาคม 2009 เวลา 11:36 (เช้า)

    แงๆๆ ค่ะพี่สร้อย พี่หมอ  น้องคนหนึ่งละ ต้องเอาลูกมาทำงาน 2 วัน แล้วค่ะ  ให้ลูกอยู่แต่ในห้องพ่อ ออกจากห้องพ่อให้ใส่หน้ากาก ล้างมือกัน วันนี้ กับอีก 4 วัน โรงเรียนยังไม่เปิด เก็บตัวลูกจ้า ไม่พาไปที่แออัด  ระวังกันสุดๆๆ น้องที่ทำงานเป็นหอบหืดมีอาการักษาประจำอยู่ ยิ่งกลัวแล้วใหญ่ เนื่องจากมีนิสิตปี 4 มหาลัยหนึ่งเสียชีวิตจากหวัดนี้แล้วมีประวัติโรคหอบหืด  บรื้อๆๆๆ เรียกสติอย่างเดียวเลยค่ะพี่หมอ เพื่อดูแลจัดการด้วยวิธีการ ที่สุขุมค่ะ ไม่สติแตก การพิจารณาปิดโรงเรียนได้อธิบายให้ลูกสาวฟังว่าเหตุผลใดจึงต้องปิดถึง 1 สัปดาห์ด้วยค่ะ

  • #6 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 กรกฏาคม 2009 เวลา 12:29 (เย็น)

    ไม่ประมาทดีแล้ว ตัวเองไม่ประมาท ครอบครัวไม่ประมาท ชุมชนไม่ประมาท สังคมประเทศไม่ประมาท ดีแล้ว

  • #7 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 กรกฏาคม 2009 เวลา 13:05 (เย็น)

    #5 น้องนิดค่ะ ถือว่าเป็นเรื่องของการเรียนรู้ การบริหารความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบหนึ่งก็แล้วกันค่ะ

  • #8 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 กรกฏาคม 2009 เวลา 13:11 (เย็น)

    #6  กว่าที่ผลลัพธ์ของความไม่ประมาทจากผู้คน ชาวสาธารณสุขทั้งหลายก็หืดขึ้นคอค่ะพี่  ที่กระบี่นะเจอ 3 เด้งเลยค่ะพี่ 3 เด้งจากเชื้อไวรัส 3 ตัว หนึ่งคือไวรัสไข้เลือดออก สองคือไวรัสไข้ปวดข้อยุงลาย และสามคือเจ้าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี่แหละค่ะ

    มันเป็นเหตุการณ์ที่สอนงานให้มากๆเลย 3 เด้งมาผสมกัน พร้อมๆกันคราวนี้ มันเหมือนการจัดการเวลาเกิดสึนามิลูกย่อมๆผสมผสานกับเรื่องภัยเอดส์ค่ะพี่ 

    ศึกครั้งนี้มีเรื่องของสงครามทางใจของผู้คนหลายซับหลายซ้อน นี่คือเรื่องที่ยากจริงๆค่ะพี่


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.033339977264404 sec
Sidebar: 0.058845996856689 sec