เพิ่มเติมเรื่องไข้หวัดใหญ่
ที่ลานซักล้างรวบรวมเรื่องราวของไข้หวัดใหญ่ 2009 ไว้ให้อ่านเป็นข้อมูลสำหรับเรียนรู้้แล้ว ยังมีบางส่วนในเรื่องพื้นฐานที่ขอนำมาเล่าเพิ่มเติมไว้เพื่อทำความรู้จักกับมันค่ะ
ธรรมชาติของเชื้อเท่าที่รู้จักมันแล้ว
1. เชื้อไข้หวัดใหญ่ในธรรมชาติ เป็นไข้หวัดใหญ่สัตว์ทั้งสิ้น ไข้หวัดใหญ่คนไม่มี
2. เชื้อหวัดใหญ่เป็นเชื้อไวรัสที่มีเสื้อหุ้ม(envelop) เสื้อนี้ถักทอขึ้นจากไขมัน (phospholipid)
3. คนรับเชื้อไข้หวัดใหญ่จากสัตว์เข้ามาในตัว แล้วไวรัสที่เข้ามาในตัวคนทำให้เกิดโรคขึ้นมาจากการเปลี่ยนตัวของมันหรือกลายพันธุ์เมื่อเข้ามาอยู่ในตัวคน ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ไข้หวัดนกที่เพิ่งพบ ไข้หวัดหมูที่เคยพบ ล้วนมีที่มาจากจุดเริ่มต้นคือคนติดจากสัตว์
4. ที่เวลานี้อธิบายไม่ได้ว่า เจ้าตัวเชื้อที่มีลักษณะเหมือนไข้หวัดหมูผสมไข้หวัดนกผสมไข้หวัดใหญ่ธรรมดามันมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ก็เพราะไม่ได้คาดกันว่าเชื้อมันจะเปลี่ยนตัวเร็วหรือกลายพันธุ์เร็วอย่างนี้ เมื่อพบเจ๋งๆก็พบว่ามันมาอยู่ด้วยกันแล้วในคน
5. ไม่มีวิธีทางห้องปฏิบัติการแบบไหนที่สามารถบอกได้ว่าเชื้อเข้ามาอยู่ในคนหรือยัง จนกว่าคนแสดงอาการป่วยให้สงสัย แล้วคนสงสัยทะลึ่งไปตรวจเลือดหาเชื้อจึงได้เจอ
6. เวลาเขาเรียกชื่อเชื้อไข้หวัดใหญ่กันในวงการจริงๆ เขาจะเรียกตามชนิดของภูมิต้าน (H) +เอ็นไซม์ของไวรัส (N)
ชื่อเสียงเรียงนามที่ใช้ขึ้นทะเบียน
7. ไข้หวัดใหญ่ที่พบว่าคนติดจากสัตว์แล้วคนป่วย เรียกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของเชื้อที่พบ เชื้อเหล่านี้ติดแล้วระบาดแพร่ไปวงกว้างมาก่อนแล้ว การแพร่ระบาดที่ผ่านมาหยุดลงเองตามธรรมชาติี ที่มีระบาดใหญ่ก็มีในช่วงเวลาเหล่านี้
ไข้หวัดใหญ่รัสเซีย (H2N2) ตาย 1 ล้านคน ( ปี 1889-1890)
ไข้หวัดใหญ่เสปน (H1N1) ตาย 20-100 ล้านคน (ปี 1918-1920)
ไข้หวัดไก่ (H2N2) ตาย 1-1.5 ล้านคน (ปี 1957-1958)
ไข้หวัดฮ่องกง (H3N2) ตาย 0.75-1 ล้านคน ( ปี 1968-1969)
พบมาแล้วอย่างนี้จึงได้ยอมรับที่จะเรียกว่าไข้หวัดใหญ่คน ซึ่งยอมได้เฉพาะที่มีลักษณะภูมิต้าน 3 ตัวนี้เท่านั้น คือ H1 H2 H3
การพบภูมิต้านตัวอื่นแหลมมาแปลว่าเป็นตัวใหม่ทั้งหมด
6. ชื่อเต็มๆของไข้หวัดใหญ่ 2009 เขียนอย่างนี้ A/Califonia/04/2009 H1N1
A = ก๊กของเชื้อ ( Type)
California = สถานที่ตามภูมิศาสตร์ที่รายงานว่าตรวจพบเชื้อครั้งแรก
04 = ชุดของเชื้อที่ส่งตรวจ (strain No.) ( แปลว่าส่งตรวจมาแล้วก่อนหน้านี้ 3 ชุดเพิ่งเจอจากชุดที่ 4)
2009 = ปีที่เจอเชื้อเป็นครั้งแรก ( year of isolation)
H1N1 = เป็นแก๊งของเชื้อ (subtype)
รู้ที่มาของการตั้งชื่อแล้วลองแปลเอาเองนะค่ะ
ที่จริงชื่อนี้ก็ยังเพี้ยน เพราะว่า สถานที่ที่มีคนป่วยแห่งแรกคือเม็กซิโก แต่เพราะว่าเม็กซิโกไม่มีผลด้านห้องปฏิบัติการยืนยัน มีแต่ที่อเมริกายืนยัน (ซึ่งเป็นเชื้อชุดที่ 4 แล้ว) งานนี้อเมริกาได้จารึกชื่อไว้
(นำเรื่องชื่อมาเล่าไว้เพื่อทำความเข้าใจเรื่องการใช้วัคซีน )
หลักการของวัคซีน
7. พื้นถิ่นไหนจะเลือกใช้วัคซีนไหน ใช่ว่าจะเลือกเอาได้ตามอำเภอใจ เขาใช้ข้อมูลความชุกของเชื้อมาพิจารณา และเขาคนที่กำลังเอ่ยถึงนี้คือ องค์การอนามัยโลก (WHO)
เชื้อไข้หวัดใหญ่แบ่งเป็นก๊กใหญ่ๆได้ 2 ก๊ก คือ A และ B
A มีอยู่ 2 มุ้งย่อย คือ มุ้งขั้วโลกเหนือ กับ มุ้งขั้วโลกใต้ B มีอยู่มุ้งเดียว
จากการถอดบทเรียนจากความรู้เดิมที่มีไข้หวัดใหญ่ที่เล่าข้างบนไว้ระบาดมาแล้ว เขาพบว่าเมื่อโรคระบาด กว่าที่มันจะสงบลงใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี ดำริห์ของการใช้วัคซีนจึงเกิดขึ้น แล้วเจ้าวัคซีนนี้ ใช่ว่าจะผลิตได้เลย มันต้องรอให้รู้ว่าปีนี้เชื้อที่ชุก ( ชุก หมายถึง พบเยอะ) มีโหงวเฮ้งอย่างไร แล้วจึงไปผลิตวัคซีนตามโหงวเฮ้งนั้นมาใช้จึงจะป้องกันการระบาดได้
คนที่เฉลยว่า เชื้อตัวไหนชุก คือ องค์การอนามัยโลก ไทยอยู่ในเขตศูนย์สูตร จึงใช้ข้อมูลชี้ขององค์การอนามัยโลกมาผลิตวัคซีน
อยากจะป้องกันแล้วไปสั่งจากต่างประเทศมาฉีดเองใช้ไม่ได้ เชื้อที่ชุกในต่างประเทศไม่ใช่ตัวเดียวกับที่ชุกในไทย
การผลิตวัคซีนแต่ละครั้งใช้เวลากว่าจะคลอดนาน 6 เดือน
การเกิดไข้หวัดนก ถือว่าได้ให้โอกาสประเทศไทย ผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับคนไทยขึ้นได้เอง (โดยจับมือกับบริษัทต่างประเทศร่วมผลิต) คนไทยจึงมีวัคซีนที่ใช้เหมาะกับเชื้อที่ชุกในบ้านเรา
มีการคำนวณทางคณิตศาสตร์แล้ว คาดว่า ปี 2009 จะมีไข้หวัดใหญ่ระบาด ทุกๆประเทศที่พอมีงบก็เลยหาวัคซีนมา้ฉีดป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลให้ประชาชนซะ เพื่อจะได้ง่ายต่อการแยกแยะเชื้อที่กำลังระบาดว่าเป็นเชื้อกลายพันธุ์หรือเปลี่ยนตัวไปอีกรึเปล่า
แก๊งที่ฉีดแล้วใช้ได้สำหรับบ้านเราก็มีชื่อพวกนี้แหละ :
A/Solomon Is/…..H1N1
A/Brisbane/…..H3N2
B/Florida/….
นิสัยของเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009
เป็นเชื้อโรคที่ชอบอยู่ตรงที่เป็นเมือกๆ
ตำแหน่งจุดกลางของร่างกายที่มีน้ำเมือกจึงเป็นตำแหน่งที่พึงระวังไม่ให้เปื้อนเชื้อ ได้แก่ เยื่อบุตา เยื่อบุจมูก เยื่อบุช่องปากและทางเดินอาหาร
มันมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมนอกตัวคนได้ 2-8 ชั่วโมง
เชื้อนี้ไม่ปลิวไปตามลมไกลมาก ตามลมไปแล้วมันก็ตกลงที่พื้น
ระยะห่างที่ติดต่อได้จากปลิวตามลมที่ไอ จาม อยู่ที่ไม่เกิน 2 เมตร
เมื่่ออยู่ในตัวคน มันมีฤทธิ์เดชทำให้เกิดโรคได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าในตัวคนจนถึงวันที่ 8
การติดต่อ
ระยะติดต่อเริ่มตั้งแต่ก่อนมีอาการป่วย 1 วันจนถึงเวลาหลังหายป่วยแล้ว 1 วัน (ราวๆ 7-8 วัน)
ช่องทางติดต่อ : เข้าทางเยื่อบุตำแหน่งตามที่บอกไว้ข้างบน
ไอ จามรด ทำให้ติดเชื้อได้ 10%
ปนเปื้อนจากการสัมผัส ทำให้ติดเชื้อได้ 90%
การไม่มีอาการ ไม่ได้แปลว่าจะไม่แพร่เชื้อให้ใคร
คำนวณกันไว้ว่าจะหยุดระบาดก็ต่อเมื่อติดต่อไปทั่วกันแล้ว 67%
อาการ
บางคนที่มีภูมิต้านทานดี ติดเชื้อแล้วไม่มีอาการอะไรเลยก็มีได้
ไข้เริ่มหลังเชื้อเข้าร่างกายแล้ว 2 วัน
ความชุกของอาการที่พบในคนป่วย : ไอ 98% ไข้ 96% ปวดหัว เจ็บคอ น้ำมูก พบชุกพอๆกัน 82% ปวดเมื่อ หนาวสั่น พบได้พอๆกัน 80% อาเจียน 55% ปวดท้อง 50% ท้องเสีย 48%
การรักษา
ให้ยาต้านไวรัสเพื่อลดความรุนแรง ลดระยะเวลาป่วยให้สั้นลง
ยาฆ่าไวรัสไม่ได้ฆ่าตัวเชื้อให้ได้ ทำได้แค่ต้านการสร้างเอ็นไซม์ของไวรัสไว้ก่อน ชะลอเวลาไว้เพื่อให้เวลาร่างกายสร้างภูมิของตัวเองขึ้นมาฆ่าไวรัส
การป้องกันเชื้อเข้าร่างกาย
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่มีใช้อยู่และฉีดกันอยู่ ป้องกันไม่ได้ด้วยเหตุผลที่เล่าไว้แล้วข้างบน
การใช้หน้ากากสำหรับคนป่วย มีจุดประสงค์แค่เพื่อลดแรงพุ่งของน้ำเมือกที่หลุดออกมาจากคอ ปาก จมูกของคนที่มีเชื้อขณะไอ จาม
การใช้หน้ากากสำหรับคนดี ช่วยป้องกันได้แค่ 10% ด้วยเหตุผลข้างต้นที่บอกเล่าไว้ จึงควรใช้เมื่ออยู่ในระยะห่างที่สามารถรับเชื้้อได้จากคนป่วยที่ไม่ป้องกันการแพร่เชื้อจากตนเองไปสู่้คนอื่น หรือเมื่ออยู่ในสถานที่แออัด แยกแยะไม่ได้ว่าใครป่วย ใครไม่ป่วย
คนที่มีเชื้อในร่างกายควรอยู่กับที่ไม่ตะลอนไปไหนๆเพื่อไม่ไปแพร่เชื้อให้คนอื่น สัก 7-8 วัน
คนเยี่ยมไข้เมื่อรู้ว่าคนป่วยด้วยโรคนี้ก็ไม่ควรที่จะฝืนชะตาไปขอเยี่ยม เพื่อไม่ให้คลุกคลีกันจนเป็นเรื่องบานปลายโดยใช่เหตุ
จะไปเยี่ยมไข้ใครในร.พ. ถ้าไม่จำเป็นงดไปเหอะถ้าทำได้ เพราะว่าร.พ.นั่นแหละที่จะมีเชื้อปนเปื้อนเข้มข้นกว่าที่อื่นๆ
การทำลายเชื้อ
ทำลายเชื้อที่เปื้อนมือและสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวันด้วยสารเคมี
สารเคมีที่ฆ่าได้ดีที่สุด คือ สบู่ เพราะว่า สบู่ทำให้ไขมันที่เป็นเสื้อของไวรัสละลาย ใช้สบู่แล้วต้องใช้น้ำ ได้ 2 เด้ง คือ ถอดเสื้อของไวรัสทิ้ง แล้วล้างมันทิ้งให้หล่นลงไปตายซะได้ง่ายๆิ
สารเคมีอื่นที่ใช้ได้อีกก็มี คลอรีน ไอโอดีน ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ พวกนี้เข้าไปทำลายถึง DNA , RNA ของไวรัส
ผงซักฟอกละลายน้ำแล้วปล่อยสารคลอรีนออกมาจึงใช้ได้ สัดส่วนที่เหมาะที่สุดที่จะให้ผลทำลายเชื้อ คือ 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ลิตร
ไฮเตอร์เป็นรูปแบบหนึ่งของสารประกอบที่ละลายน้ำแล้วใ้ห้คลอรีน
แอลกอฮอล์ใช้ทำลายเชื้อได้เช่นกัน ขนาดเข้มข้น 70% คือขนาดที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ดีเท่าสบู่อีตรงที่เช็ดแล้วแห้ง ตัวไวรัสที่ไม่ใส่เสื้อแล้วยังติดอยู่ไม่โดนล้างทิ้งไป
สร้างนิสัยติดตัว
การล้างมือด้วยสบู่จึงดีกว่าล้างด้วยแอลกอฮอล์เจล ทั้งด้วยคุณสมบัติและราคา
วิธีโบราณที่ยังใช้ได้ สำหรับการทำลายเชื้อ คือ ใช้ความร้อนที่ 75-100 องศาเซลเซียส นี่คือ เหตุผลที่แนะนำให้กินอาหารสุก น้ำดื่มต้มเดือด
สิ่งของอะไรที่ควรจะทำลายเชื้อด้วยการล้างสบู่บ้างให้สังเกตเอาจากรอบตัวว่า มีอะไรที่มักหยิบจับใช้ร่วมกันหลายๆคน ที่สามารถเพิ่มมาตรการการเช็ดล้างได้ก็ลงมือทำไปเท่าที่มีความเป็นไปได้
ผนวกด้วยล้างมือหลังหยิบจับอะไรที่มีคนมาขอใช้ร่วมหรือไปใช้ร่วมกับคนอื่น และเตือนตัวเองไม่ให้มีทีเผลอขยี้ตา เช็ดตา แคะขี้ตา ขี้จมูกด้วยมือที่ไม่ได้ล้าง
สถานการณ์จริงๆของโรค
เป็นภูเขาน้ำแข็งคล้ายๆที่ทำให้ไตตานิคล่มนั่นแหละ ขอบอก
ทำยังไงดี
ลงมือทำในสิ่งที่ทำได้จากความรู้ที่เล่าไว้แล้วข้างบน
ลงมือทำในสิ่งที่ไม่ใคร่ทำ เช่น ออกกำลังกาย นอนให้เต็มตื่น กินของสุกที่กำลังร้อน ดื่มน้ำต้มสุก ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชูเวลาไอ จาม เช็ดน้ำมูก ใช้ช้อนกลาง
ลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ : ล้างมือ ล้างมือ ล้างมือ ล้างมือ ล้างมือ
« « Prev : สู้กระแสไข้หวัดใหญ่
4 ความคิดเห็น
ขอบคุณมากๆครับ ดูข่าวคนที่กระบี่เสียชีวิตแล้ว ตกใจว่ามันแพร่ไปเร็วมากนะครับ
ขอบคุณค่ะพี่หมอ จะนำไปปฎิบัติและแนะนำคนในครอบครัวนะคะ ที่ขาดไม่ได้ ต้องอิอิ ด้วยค่ะ
#1 ความจริงคนที่เสียชีวิตมีแค่ชื่อติดพันอยู่กับกระบี่ค่ะพี่ ข่าวเลยออกมาว่ากระบี่มีคนเสียชีวิต ความจริงคนๆนี้ เขาทำมาหากินอยู่ที่ทุ่งใหญ่ ป่วยที่นั่น และไปเสียชีวิตที่ร.พ.ทุ่งสงค่ะพี่ คนที่ตัวอยู่กระบี่แล้วป่วย ยังไม่มีใครเสียชีวิตค่ะ
#2 งานนี้สื่อพาจนนะค่ะน้องนิด ถ้าเชื่อตามสื่อ จะเพี้ยนแล้วก็พาให้ตระหนกจนปัญญาหดหาย กลายเป็นคิดว่าไม่มีทางสู้มันได้เลย
พึ่งตัวเองให้ได้สติมาปัญญาเกิด จะไม่เลยเถิดบานปลายค่ะน้อง
เชื้อนี้แพร่เร็วด้วยปัจจัยเสริมเรื่องพฤติกรรมมากมายค่ะ
ไม่ทำความเข้าใจว่าพฤติกรรมอะไรที่จะเอามันอยู่ จะได้อีกโรคคือ โรคไข้สติแตกแถม
ดูแลตัวเองและครอบครัวต่อไปนะค่ะน้อง