ปิดคดีนี้ได้เสียที เฮ้อ…

โดย อัยการชาวเกาะ เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2009 เวลา 22:16 ในหมวดหมู่ นักกฎหมายอย่างผม, เรื่องทั่วไป, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 1952

(อย่างที่ผมเล่าให้ฟังว่าผมต้องเผชิญกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ดิน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่ทำงานเอื้อกับฝ่ายโจทก์มีพยานหลักฐานให้ฝ่ายโจทก์นำไปแสดง แล้วคนทำคดีมันจะเหนื่อยใจสักขนาดไหน ลองอ่านดูต่อแล้วกันครับ)

หากมองโดยภาพรวมของการที่โจทก์ในคดีนี้อ้างสิทธิครอบครอง จะเห็นได้ว่าต่างล้วนเพิ่งมาซื้อที่ดินตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๖ เป็นต้นมาทั้งสิ้น การได้มาซึ่งทะเบียนบ้านของบรรดาโจทก์ก็เรียงลำดับกันทั้งๆที่ต่างคนต่างอ้างพยานว่าได้สร้างบ้านอยู่ในที่พิพาทมาก่อนและต่างคนต่างสร้าง หากการออกเลขที่บ้านเป็นไปโดยถูกต้องตามลำดับ ทำไมเลขบ้านจึงต้องมีเลขทับ / เช่น ๓๑/๑,๓๑/๒,๓๑/๓ การที่ออกเลขบ้านมีทับ / ย่อมแสดงว่ามีการสร้างบ้านภายหลังจากบ้านเลขที่ดังกล่าวมีอยู่แล้ว เช่น มีบ้านเลขที่ ๓๑ อยู่แล้ว ต่อมาในบริเวณที่ดินเดียวกันมีการสร้างบ้านเพิ่ม จึงออกเลขที่ ๓๑/๑ ต่อไปเรื่อยๆ และเรื่องราวการขอออกเลขที่บ้านชุดของบรรดาโจทก์ก็ไม่มีอยู่ในแฟ้มทะเบียนของอำเภอถลาง โจทก์อ้างพยานหลักฐานเรื่องการขอออกทะเบียนบ้านแต่ไม่สามารถนำมาแสดงต่อศาลได้ (หมายความว่าทะเบียนบ้านเหล่านี้ทำขึ้นมาโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่มันไม่ถูกต้องนะสิ..เหนื่อยไหมล่ะ)

พยานเอกสารในแฟ้มของเจ้าพนักงานที่ดินที่โจทก์และจำเลยอ้างส่งศาลมีพิรุธของปากคำพยานที่เกิดจากการปั้นแต่งเพื่อประโยชน์ในการขอรังวัดของโฉนดของโจทก์ที่ ๔,๕,๖ จึงจะเห็นการให้การกลับไปกลับมาของบรรดาพยาน เนื่องจากพยายามหาเหตุผลมาอ้างเพื่อให้สามารถออกโฉนดได้แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงที่อ้างไม่เป็นความจริงก็ทำให้ขัดกับเหตุผลจนต้องสร้างเอกสารขึ้นมาแก้ไขเหตุผลอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเห็นการพยายามที่จัดทำเอกสารเพื่อให้สภาตำบลซึ่งไม่มีอำนาจใดๆที่จะยกที่ดินให้ชาวบ้าน มาประชุมยกที่ดินที่มีการบุกรุกให้เป็นของผู้บุกรุก และในการประชุมลงนามคัดค้านแต่ละครั้งจำนวนคนผู้มาคัดค้านก็มีจำนวนไม่เท่ากัน ซ้ำกันบ้างไม่ซ้ำกันบ้าง ทั้งพยานโจทก์ปากนายล. ซึ่งอ้างว่าขายที่ดินให้นายป. สามีของนางส. ก็เบิกความขัดต่อเหตุผล เช่น อ้างว่าขายที่ดินเพื่อไปจัดการงานศพบิดา แต่ทนายจำเลยซักค้านได้ความว่านายท. บิดาพยานปากนี้ได้ตายไปนานถึง ๑๐ ปีแล้วก่อนที่นายล.จะอ้างว่าขายที่ดินให้กับนายป.,นางส. เพราะความจริงแล้วหาได้มีการขายระหว่างบุคคลดังกล่าวกันจริงไม่ เมื่อโจทก์ที่ ๔,๕,๖ และผู้ที่อ้างการครอบครองที่ดินพิพาทก่อนโจทก์ที่ ๔,๕,๖ ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย โจทก์ที่ ๔,๕,๖ จึงไม่อาจขอออกโฉนดที่ดินได้ การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละท่านตั้งแต่นายยุวัฒน์ วุฒิเมธี ต่อเนื่องกันมาถึงนายอุดมศักดิ์ อัศวรางกูร ไม่ยอมออกโฉนดที่ดินให้กับโจทก์ที่ ๔,๕,๖ ก็เพราะเป็นการออกโฉนดโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายนั่นเอง หาใช่เพราะติดประกาศกฎกระทรวงฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ.๒๕๓๗)ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ ใช้บังคับ ดังที่โจทก์กล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่

โดยสรุป โจทก์และผู้อ้างว่าครอบครองที่ดินพิพาทก่อนขายให้โจทก์ทุกคนไม่ได้ครอบครองที่พิพาทก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ เมื่อมีการสำรวจทั้งตำบลก็ไม่มีผู้ที่อ้างว่าครอบครองผู้ใดนำสำรวจรังวัด ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๒๗ ตรี ดังนั้น ที่ดินที่โจทก์ที่ ๔,๕,๖ อ้างการครอบครองจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๕๙ ทวิ ที่จะออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะรายได้ จำเลยทุกคนได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการรักษาที่ดินพิพาทเต็มความสามารถเพื่อประโยชน์ของประชาชน มิให้ที่ดินดังกล่าวตกเป็นประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะจึงย่อมได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

ประเด็นสุดท้าย ที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าที่จะออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงตามระเบียบจัดที่ดินแห่งชาติได้หรือไม่

ข้อเท็จจริงปรากฏในทางนำสืบว่า ที่พิพาทได้มีการประกาศสงวนที่ดินมาตั้งแต่ ๒๕๒๗ ประกาศจะนำที่ดินไปจัดประโยชน์ ตามเอกสารหมาย ล.๓๒,ล.๓๕ จนต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๔ องค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล ได้แจ้งความประสงค์ขอสงวนที่ดินรกร้างว่างเปล่าบริเวณหาดทรายชายทะเล หมู่ที่ ๔ และหมู่ที่ ๖ ซึ่งบางส่วนได้จัดทำเป็นสวนสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน บางส่วนมีสภาพเป็นที่รกร้างว่างเปล่า เป็นที่สงวนหรือหวงห้ามเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งอำเภอถลางพิจารณาแล้วเห็นว่าที่ดินดังกล่าวบางส่วนเป็นที่สาธารณะสำหรับพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยสภาพ(หาดทราย)และบางส่วนเป็นที่รกร้างว่างเปล่าและเป็นที่ดินติดทะเลมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง หากไม่ดำเนินการโดยรีบด่วนอาจเกิดการบุกรุกเข้ายึดถือครอบครองเป็นเหตุให้อนุชนรุ่นหลังไม่สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ จึงได้เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเพื่อขอความเห็นชอบในการสงวนที่ดินเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และได้รับความเห็นชอบตามเอกสารหมายจ.๕๘,จ.๕๙,จ.๖๐ จำเลยที่ ๓ จึงได้ออกประกาศเรื่องที่ดินที่จะสงวนหวงห้ามเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตามประกาศอำเภอถลางลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๖ (เอกสารหมาย จ.๓..) บรรดาโจทก์และผู้มีชื่อจึงพากันคัดค้าน
จำเลยเห็นว่า จำเลยได้ดำเนินการตามขั้นตอนตรวจสอบความเป็นมาของที่ดินพิพาทได้ความว่า ผู้คัดค้านทุกราย มีเพียง ๑ รายที่มีโฉนดที่ดิน(ซึ่งไม่ใช่โจทก์ในคดีนี้ และอยู่ระหว่างการเพิกถอน)ส่วนผู้คัดค้านรายอื่น(ซึ่งรวมทั้งโจทก์ทุกคน)ได้ครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหลังประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ไม่มีหลักฐานเอกสารสิทธิใดๆในที่ดินมาแสดง ที่ดินที่จำเลยที่ ๓ ประกาศสงวนหวงห้ามจึงเป็นที่ดินของรัฐ ทั้งจำเลยยังเห็นว่า จำเลยได้ปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ กล่าวคือ
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๒๐ ได้บัญญัติให้อำนาจคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
“มาตรา ๒๐ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑)-(๓)……………………………………………………
(๔) สงวนหรือหวงห้ามที่ดินของรัฐซึ่งมิได้มีบุคคลใดมีสิทธิครอบครองเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน
(๕)-(๙)……………………………………………………
(๑๐)วางระเบียบหรือข้อบังคับกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการจัดที่ดินหรือเพื่อกิจการอื่นตามประมวลกฎหมายนี้”

การดำเนินการสงวนที่ดินหรือหวงห้ามที่ดินต้องเป็นไปตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ซึ่งจำเลยได้ปฏิบัติตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติฉบับที่ ๙(พ.ศ.๒๕๒๙) แล้ว รายละเอียดของการดำเนินการปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๕๘ ถึง จ.๖๐และรายละเอียดระเบียบคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๔.
ในส่วนของโจทก์ที่เข้าไปครอบครองที่ดินพิพาท โดยไม่ชอบกฎหมายไม่มีเจตนารมย์ให้ราษฎรบุกรุกแย่งเอาที่ดินของรัฐไปโดยพลการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระเบียบดังกล่าวข้อ ๖ ได้ระบุถึงกรณีการอ้างการครอบครองหรือทำประโยชน์อยู่แล้ว ว่า

“(ข) ที่ดินนั้นมีผู้ครอบครองหรือทำประโยชน์อยู่แล้ว ให้บันทึกด้วยว่าผู้ครอบครองทำประโยชน์มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน หรือเอกสารหลักฐานแสดงว่าได้รับอนุญาตให้ทำประโยชน์หรือไม่ และให้นายอำเภอแสดงอาณาเขต และจำนวนเนื้อที่ของที่ดินที่มีการครอบครองหรือทำประโยชน์ลงในแผนผังที่สังเขปและรายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ”

การที่ระเบียบกำหนดดังกล่าวก็เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าราษฎรได้เข้ามาครอบครองที่ดินโดยชอบหรือไม่ เมื่อได้ความว่าบรรดาโจทก์ทุกคนรวมทั้งผู้อ้างการครอบครองที่ดินพิพาทก่อนโจทก์มิได้ปฏิบัติตามกฎหมาย เข้าครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่ชอบ และกรณีเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่จะขอสงวนที่รกร้างว่างเปล่าเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันโจทก์ทุกคนจึงไม่มีสิทธิโต้แย้งคัดค้านการประกาศสงวนหรือหวงห้ามที่ดินเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเพิกถอนคำสั่งของจังหวัดภูเก็ตและนายอำเภอถลาง ในเรื่องที่จะสงวนหวงห้ามให้ที่ดินแปลงพิพาทของโจทก์เป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับประชาชนใช้ร่วมกันและไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งห้ามจังหวัดภูเก็ต,นายอำเภอถลางและองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเลนำที่ดินแปลงพิพาทตามฟ้องไปออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง

ผมเขียนคำแถลงการณ์ปิดคดีเสร็จแล้วส่งศาล กลับมานั่งรอลุ้นคำพิพากษาด้วยในระทึก เพราะมีอีกคดีที่น้องเขาไปว่าความเอง ใช้พยานอ่านภาพถ่ายทางอากาศคนเดียวกัน วิธีการเดียวกัน ฉายภาพขึ้นจอเหมือนกันแต่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง อ้าว….ถามว่าคดีนี้เป็นไง…เสียวแฮะ..อิอิ

ในที่สุดวันฟังคำพิพากษามาถึง ผมไม่ได้ไปฟังคำพิพากษาหรอกครับให้น้องอัยการเขาไปฟัง ผลออกมาศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์และขับไล่โจทก์ออกไปจากที่ดิน แต่เรื่องยังไม่จบครับพี่น้อง ยังต้องรอลุ้นกันต่อในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเพราะใครจะยอมกันง่ายๆมูลค่าที่ดินไม่ใช่น้อยๆ

การทำคดีเหล่านี้อยู่ที่สำนึกของนักกฎหมาย อยู่ที่การแสวงหาพยานหลักฐาน อยู่ที่การค้นคว้าหาความจริง อยู่ที่ความเอาใจใส่ในการทำงาน อยู่ที่จิตใจที่เข้มแข็งไม่อ่อนไหวกับสิ่งที่เสนอมา คดีนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของการทำงานของอัยการไทย ที่ไม่เก่งในงานประชาสัมพันธ์ มีเรื่องให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์แต่ไม่ยอมตอบโต้ จนกระทั่งดำเนินการจนแล้วเสร็จชาวบ้านลืมไปแล้วถึงค่อยมาอ้อมแอ้มแถลงข่าว อัยการดีๆเก่งๆมีเยอะครับแต่ไม่โชว์ตัวครับทำแต่งาน…ผมจึงมาฝากในที่นี้ว่ามีข่าวเรื่องอัยการก็ขอให้ฟังหูไว้หูก่อน หาข้อมูลให้ดีก่อนจึงวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าผิดจริงก็ซัดให้เต็มที่ แต่ถ้ายังไม่มีข้อมูลอย่าเพิ่งตัดสินว่าอัยการชั่วนะขอรับ…อิอิอิ

Post to Twitter Post to Facebook

« « Prev : ถ้าไม่มีหลักฐานการครอบครองก่อนปี ๒๔๙๗ จะออกโฉนดได้ไหม

Next : รับแขก » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

6 ความคิดเห็น

  • #1 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2009 เวลา 1:23

    แล้วคดีต่อไปเรื่องอะไร ครับ

  • #2 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2009 เวลา 6:26

    กำลังขอให้ลูกน้องเก่าค้นหาสำนวน ๖ ลังแม่โขงที่ฝ่ายจำเลยมาวิ่งอัยการจังหวัดขออย่าให้จ่ายสำนวนให้ผมไปว่าความ แต่อัยการจังหวัดเรียกผมไปถามว่าอยากว่าไหมเอกสารมี ๖ ลังแม่โขง ผมตอบว่าอยากทำคดีนี้ที่สุด ผมว่าความคดีนี้คนเดียวสมัยเป็นอัยการจังหวัดประจำกรมที่ทำความเห็นควรสั่งฟ้องแล้วถูกอธิบดีแย้งสั่งไม่ฟ้องแต่เนื่องจากมีการร้องขอความเป็นธรรมและผู้ว่าราชการจังหวัดมีความเห็นแย้ง จึงต้องส่งไปให้อัยการสูงสุดชี้ขาด ในที่สุดอัยการสูงสุดชี้ขาดให้ฟ้องเหมือนความเห็นผม และต่อมาสู้จนถึงชั้นฎีกาศาลฎีกาก็ตัดสินว่าจำเลยผิดจริงและเป็นคำพิพากษาฎีกาตัวอย่างที่เอาไปสอนนักกฎหมายรุ้นใหม่เกี่ยวกับอำนาจของอัยการสูงสุดที่จะทำคำสั่งโดยที่ผู้ว่าไม่ได้แย้งในบางประเด็น และมันเป็นรสชาติของชีวิตที่จำเลยซึ่งเป็นอาจารย์สอนกฎหมายตอบคำถามผมแบบตะคอก มันเข้าทางโจรขอรับ เพราะผมกวนบาทาไปด้วยเสียงสุภาพเรียบร้อยว่า ผมถามคุณด้วยความสุภาพ ถามความไม่เอาเปรียบ ถามความแบบผู้ดีกรุณาตอบคำถามผมให้ศาลฟังแบบผู้ดีด้วยครับ ฮา….ศาลเล่นด้วยครับ ศาลบอกจำเลยว่าตอบคำถามโจทก์ดีๆ เขาถามคุณดีๆก็ตอบเขาดีๆ ฮา…โปรดติดตามตอนต่อไป

  • #3 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2009 เวลา 13:00

    ดูข่าวทีวีมีข่าวเกี่ยวกับที่ดินที่ภูเก็ต และหลายจังหวัดภาคใต้หลายเรื่อง น่าจะมากนะครับเพราะราคาแพง ใครๆก็หาทางมีไว้ในมือเพื่อทำกำไร หนักใจกับกระบวนทางยุติธรรมนี่แหละที่มีงานเพิ่มขึ้นมากกว่าดำเนินการให้เวร็จสิ้นไป เพราะแต่ละเรื่องต้องใช้เวลาสืบค้นข้อมูลมาก ทำแบบขอไปทีไม่ได้ ต้องละเอียด จะละเอียดก็ต้องใช้เวลา ใช้พลังงานมากนะครับ

  • #4 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2009 เวลา 15:03

    คดีพวกนี้เริ่มมากขึ้นครับ แต่บางทีเราทำคดีกันง่ายๆ มันก็เลยเป็นการเปิดช่องให้พวกทุจริตอาศัยข้อมูลคำพิพากษาไปดำเนินการให้ได้มาซึ่งที่ดิน
    ใช้พลังงานมากก็กินมากครับพี่ อิอิ

  • #5 ลูกหว้า ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2009 เวลา 11:53
    • ท่านอัยการคะ  เดี๋ยวนี้ที่ดินในภูเก็ตตกเป็นของต่างชาติขนาดไหนแล้วคะเนี่ย
    • อย่างที่พิษณุโลกคนใต้ก็ส่งตัีวแทนมากว้านซื้อที่ดินเยอะมาก แล้วให้ทำสวนยางพารา  แล้วเดี๋ยวนี้ชาวบ้านก็นิยมให้ลูกสาวมีแฟนต่างชาติกันทั้งนั้น
    • เิริ่้มห่วงผืนแผ่นดินไทยจริงๆค่ะ
  • #6 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2009 เวลา 12:29

    น้องลูกหว้า
    เดี๋ยวนี้ที่บ้านใสยวน ภูเก็ต ผมขับรถเข้าไปยังหลงเลย มีแต่ฝรั่งมากว้านซื้อที่ดินทั้งตำบลก็ว่าได้ แล้วคนที่ขายที่ดินได้ถ้ารู้จักคิดหน่อยก็จะออกไปกว้านซื้อที่ดินจังหวัดอื่น จะได้มีที่ดินมากขึ้นเพราะราคาที่ดินแตกต่างกัน คนใต้ถนัดปลูกยางพาราก็พยายามขยายพื้นที่ปลูกยางพาราออกไปเรื่อยๆ แต่ผลกระทบในอนาคตเป็นยังไงก็ยังไม่รู้เลย เพราะไปเมืองจีนแถบสิบสองปันนา เห็นเขาปลูกยางพารากันบนเขาเป็นลูกๆไกลสุดลูกหูลูกตา อนาคตยางพาราจะมีราคากี่บาทก็ไม่รู้ แต่เดาเอาว่าราคาจะตกลงมาเรื่อยๆเมื่อผลผลิตจากจีนกรีดน้ำยางใช้ในประเทศได้เอง..เหนื่อยนะครับ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.75752687454224 sec
Sidebar: 0.95281219482422 sec