ผมรักแม่๒

โดย อัยการชาวเกาะ เมื่อ 9 สิงหาคม 2009 เวลา 8:48 ในหมวดหมู่ ครอบครัว, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1648

แม่สอนให้ลูกทุกคนรู้จักการทำมาหากินโดยสุจริต แม่ให้เราไปขายผัก แม่เอาเมล็ดผักโขมไปหว่านไว้หลังบ้าน ผมยังจำภาพได้ลำต้นอวบโต ใบใหญ่ แล้วเก็บมาทำเป็นมัดให้ผมกับพี่นวลเอาไปขายตามบ้าน เราเอาใส่ถาดเดินขาย อายก็อายเพราะชาวบ้านที่โคกกลอยแซวว่า บ้านมันรวยจะตายยังให้ลูกมาขายผัก (สมัยนั้นแถวโคกกลอยส่วนใหญ่จะเป็นบ้านหลังคามุงจาก แต่บ้านที่พ่อสร้างขึ้นใหม่เป็นบ้านตึก ซึ่งมีเพียงไม่กี่หลัง) แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ผมไม่อายที่จะทำมาหากินโดยสุจริต ไม่อายที่เป็นอัยการแล้วภรรยาจะทำขนมขาย ไม่อายที่จะไปส่งขนมกับภรรยา ไม่อายที่จะแบกถุงถั่วขึ้นรถเพื่อเอาไปทำขนม ผมว่าชาวบ้านเขารักข้าราชการที่ทำงานอย่างสุจริต เขารักข้าราชการที่ติดดิน มากกว่าข้าราชการที่กินข้าวกับชาวบ้านไม่ได้

แม่ราตรี

สมัยเป็นเด็กตอนที่เราย้ายอยู่ที่พังงา แม่ทำน้ำแข็งถุง คือเอาน้ำเขียวหรือ น้ำแดงหรือ น้ำส้ม มาผสมน้ำให้ความหวานพอดี ใส่ถุงพลาสติคถุงเล็กยาวๆ ขนาดยาว ๕ นิ้ว แล้วใช้ยางรัด เราช่วยกันรัดถุง แม่เล่าถึงความหลังตอนนี้อย่างมีความสุข ว่าลูกของแม่มือซ้ายถือถุงใส่น้ำมือขวามัดยาง ส่วนตาก็ดูหนังสือเตรียมสอบวันรุ่งขึ้น มัดเสร็จแล้วก็จัดเรียงเข้าช่องแช่แข็งในตู้เย็น (สมัยนั้นตู้เย็นมีเพียงบางบ้านเท่านั้น)แล้วถึงจะเข้านอน ตอนกลางวันแม่จะใส่กระติกวางขายหน้าบ้าน ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราหิ้วออกไปขายตามบ้าน

นอกจากน้ำแข็งแล้วแม่ยังทำ มันฉาบ สำหรับมันฉาบไม่ต้องพูดถึงเพราะจะเหลืองทองใสและกรอบหอม ใส่ถุงพลาสติกแล้วเขย่าดังกราวๆ (ไม่เหนียวติดกัน) และที่ขึ้นชื่อลือชาก็คือเปาหล้าง(ข้าวเหนียวมูลไส้มะพร้าวคั่วผสมน้ำตาลพริกไทยแล้วเอาไปปิ้ง)กับเหนียวกล้วย(คล้ายข้าวต้มมัด) ความอร่อยไม่ต้องพูดถึง เพราะลูกค้ามารอซื้อเปาหล้างไม่ต้องให้ปิ้ง (เพราะอยากกินเต็มแก่ อิอิ)แถมตอนเช้ามืดก่อนไปโรงเรียน เราต้องไปส่งขนม ตกเย็นกลับมาไปเก็บขนมและเก็บตังค์ที่ร้าน น้อยน้องสาวคนรองจากผมชอบกินเปาหล้างมาก ตอนเย็นก่อนไปเก็บขนมต้องยกมือไหว้หลวงพ่อวัดน้ำรอบว่าขออย่าให้เปาหล้างขายหมด เพราะถ้าขายหมดก็อดกิน ฮา……แถมหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นบางวัน อิอิ

สมัยผมไปเรียนที่กรุงเทพ แม่ทำขนมขาย ป๋าก็เป็นผู้จัดการซิงเกอร์สาขาพังงา รายได้จากการขายขนมก็เป็นส่วนหนึ่งของการส่งลูกไปเรียนหนังสือ แม่เล่าว่าตอนที่ผมไปเรียนกรุงเทพฯ เห็นรถบัสกรุงเทพวิ่งผ่านหน้าบ้านทีไรน้ำตาไหลคิดถึงลูกทุกที ลูกทุกคนได้เรียนหนังสือที่กรุงเทพ แต่ผมเป็นหน่วยกล้าตายที่สร้างความยากลำบากให้พ่อแม่ เพราะเราไม่รู้จักค่าของเงิน สมัยปี ๒๕๑๑ เงิน ๕๐๐ บาทต่อเดือนที่ส่งเป็นค่าใช้จ่ายให้ผมค่อนข้างเป็นภาระสำหรับป๋ากับแม่ เพราะผมใช้จนหมด ก็ทำไมจะไม่หมดละครับที่อยู่ครั้งแรกในกรุงเทพครั้งแรกคือบริเวณซอยจุฬา ๑๑ ใกล้โรงภาพยนตร์สยาม,ลิโด้,สกาล่าที่เป็นสยามสแควร์ปัจจุบัน ดูหนังโรงหนังชั้นหนึ่ง เที่ยวไดมารู ป๋าก็เลยให้ทำบัญชีส่งทุกเดือนว่าแต่ละวันใช้อะไรไปบ้างกี่บาท เห็นไหมว่าป๋าผมทันสมัยเราเพิ่งรณรงค์ให้ทำบัญชีครัวเรือน แต่ป๋าให้พวกเราทำมาตั้งแต่พวกผมยังเป็นเด็ก

ในร้านของเรารายได้ทุกบาททุกสตางค์ต้องลงบัญชี เอาเงินออกไปซื้อกับข้าว จับจ่ายใช้สอยอะไรก็ต้องลงบัญชีทุกครั้ง แม้เราเอาเงินไปโรงเรียนก็ต้องลงไว้ในกระดาษบัญชี

ผมชอบเข้าไปช่วยแม่ทำกับข้าวในครัว ตั้งแต่ยังเล็กทำขนมจีนผมก็จะตื่นแต่เช้าลงไปอยู่กับแม่ขณะแม่ทำขนมจีน แต่ความที่ยังเด็กแม่ก็เลยขูดมะพร้าวพอแม่ขูดเหลือมะพร้าวในกะลาบางๆก็จะส่งให้ผมไปขูดต่อเป็นการฝึกหัด บางทีก็ให้ไปซื้อกับข้าวสอนให้รู้จักว่าถ้าซื้อผักจะดูผักสดอย่างไร จะซื้อหมูดูอย่างไร ซื้อปลา กุ้ง ดูอย่างไร ความรู้ของแม่ทางวิชาการไม่สูง แต่ความรู้ในการดำรงชีวิตของแม่สูงกว่าปริญญาตรี แม่ทำของกินได้หลายอย่าง ถ้าหลงป่าไม่อดตาย

ไม่เพียงทำกับข้าว ตัดเย็บเสื้อผ้าแม่ก็ทำได้ นึกถึงวันนี้แล้วผมยังเห็นภาพผู้หญิงอย่างแม่ทำได้ทุกอย่าง ซักผ้า รีดผ้า เย็บผ้า ทำกับข้าว ทำขนม ปลูกผัก ทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ สารพัดที่แม่จะทำรวมไปถึงการทำโทษสั่งสอนลูก

การทำโทษลูกของแม่ สุดโหดมันฮา ใครจะว่าสอนลูกด้วยความรุนแรง ละเมิดสิทธิเด็กยังไงก็ว่าไปเหอะ แต่ถ้าแม่ไม่สอนลูกแบบที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะได้ดิบได้ดีจนเป็นอัยการเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของภูเก็ตหรือเปล่า เรื่องเจ้ายศเจ้าอย่างแม่สอนแบบอธิบายว่าลูกต้องเคารพคนที่เขาอายุมากกว่า เขาทักทายเราแสดงว่าเขารู้จักเรา เขาทักเราเราก็ต้องทักตอบ เขาอายุมากกว่าเราต้องยกมือไหว้ พวกเราจำเรื่องการถูกลงโทษได้เพราะเราไม่เคยวิ่งหนีเมื่อถูกลงโทษ เพราะก่อนที่ป๋ากับแม่จะลงโทษพวกเราป๋ากับแม่จะสอนก่อนทุกครั้งว่าการกระทำนั้นผิดเพราะอะไร และถามว่ายอมรับไหมว่าผิด แล้วจึงลงโทษ แต่เวลาลงโทษพวกเราคนใดคนหนึ่ง สำหรับแม่แล้วคนอื่นอย่าเข้าไปใกล้นะ เพราะจะมีชิ่ง เช่น กำลังตีผมอยู่ น้อยอยู่แถวนั้นยืนดูอยู่ แม่ก็จะหันไปแหวว่า “ไอ้นั่นก็เหมือนกัน วังหัวไว้ให้ดี ชอบนักเวลาด่าชอบทำหูทวนลม…..” (วังหัว หมายถึง ระวังหัว แต่ในความหมายคือ ระวังตัว) น้อยน้องสาวผมก็งงว่าแล้ววันนี้เราไปเกี่ยวอะไรด้วย ฮา…. คือแม่จะเก็บสะสมความผิดเอาไว้เรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดๆหนึ่งก็จะลงโทษในการกระทำความผิดวันนั้น และแล้วเรื่องที่กระทำความผิดในอดีตแต่ยังไม่ถูกลงโทษก็จะถูกชำระบัญชีด้วย แต่ถ้าชำระบัญชีไปแล้วก็จบไป ครั้งหน้าเริ่มสะสมแต้มใหม่ ฮา….

ผมโดนหนักกว่าเพื่อนเพราะเป็นลูกชาย โดนมัดกับต้นมะกอก เอาสำลีอุดจมูกอุดหู สอยรังมดแดงจากต้นมะกอกมาสุมที่ขา ยิ่งดิ้นก็ยิ่งโดนมดกัด แต่ความผิดครั้งนั้นจะถูกจดจำไปตลอดชีวิตและเราก็จะไม่ทำความผิดอีกเลย นอกนั้นก็จะเป็นการโดนตีด้วยไม้มีทั้งไม้ไผ่, ด้ามไม้ปัดขนไก่,ไม้กวาดทางมะพร้าว แต่ไม่เคยถูกไม้หน้าสาม แฮ่ะๆ การลงโทษของแม่กับป๋า จะมีเหตุผลในการลงโทษ ลูกๆจึงไม่ไปลงโทษสังคมสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น ผมเชื่อว่าการลงโทษลูกโดยไม่มีเหตุผล ใช้อารมณ์ลงโทษด้วยความรุนแรง ส่งผลให้เด็กเป็นคนก้าวร้าวและเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็จะใช้อำนาจบาตรใหญ่กับผู้อื่น (ยังมีต่อ)

Post to Twitter Post to Facebook

« « Prev : ผมรักแม่

Next : ผมรักแม่๓ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 สิงหาคม 2009 เวลา 12:17

    เบิร์ดมายืนยันว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่โต้แย้งเรื่องการห้ามลงโทษเด็ก เพราะเบิร์ดเห็นว่าลำดับขั้นของการลงโทษมีอยู่และใช้ให้่ถูกก็ไม่น่าจะมีปัญหา ถ้าโทษถึงขั้นตีก็ตี แต่ไม่ได้ตีด้วยความโกรธ ความผิดหวัง คือควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้แล้วบอกเหตุผลที่ถูกลงโทษ

    ไม่ว่าที่บ้านหรือที่โรงเรียน เบิร์ดก็ยังเห็นว่าถ้าการลงโทษนั้นสมเหตุผลก็ทำได้ นี่คือสิ่งที่เบิร์ดแย้งหลักจิตวิทยาอันนี้ เคยถกกับอาจารย์ด้วยค่ะว่าทำไมถึงห้ามการลงโทษ เฆี่ยนตี อาจารย์บอกประมาณว่าเรามักจะทำโทษด้วยความรุนแรง ตีไม่นับ มีอารมณ์ทำให้เด็กเลียนแบบจึงห้ามการลงโทษ เบิร์ดว่าแก้ไม่ถูกจุด เพราะการลงโทษคือระเบียบวิธีการ แม้แต่ในระดับประเทศยังมีกฎหมาย ถ้าเห็นว่าส่วนมากลงโทษไม่สมเหตุผล มีอารมณ์ ทำให้เด็กเลียนแบบได้ ก็ควรต้องไปบอกผู้ที่จะลงโทษว่ามีสิ่งที่ควรกระทำอย่างไร เช่นหายใจลึกๆ ควบคุมความรู้สึก พิจารณาโทษอย่างเป็นธรรม เมื่อสมควรก็ชี้แจงโทษ แล้วลงโทษตามกฎบ้าน น่าจะดีกว่าเหวี่ยงแหห้ามไปหมดอย่างนั้น

    เรามีระเบียบวิธีการลงโทษของกระทรวงศึกษาด้วยนะคะ ทั้งขนาดของไม้เรียว และจุดที่ห้ามตี เห็นแมะว่าทุกอย่างอยู่ที่การนำไปใช้ต่างหาก แหม..พูดเรื่องนี้แล้วยังคันเขี้ยว อิอิอิ

  • #2 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 สิงหาคม 2009 เวลา 12:20

    ด้วยความคันเขี้ยวเลยกดบันทึกก่อนเวลา อิอิอิ

    อยากบอกว่ามีความสุขกับความรักที่อบอุ่นและออกแนว โหด มัน ฮา ภาคนี้มากค่ะ

  • #3 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 สิงหาคม 2009 เวลา 18:56

    น้องเบิร์ด
    รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี มันยังคงใช้ได้สำหรับสังคมไทยถ้าใช้ถูกวิธีการ เหมือนกับกฎหมายอาญามีโทษ ๕ ระดับ คือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สิน ตามความหนักเบาของการกระทำ แต่ทุกวันนี้พ่อแม่ไม่กล้าลงโทษลูก แม้เพียงแค่ว่ากล่าวตักเตือนเพราะกลัวลูกโกรธ สังคมมันก็เลยเป๋ๆ บางคนยังบอกให้พี่ช่วยอบรมลูกเขาแทนที่จะอบรมเอง เฮ้อ..

    ส่วนระเบียบวิธีการลงโทษของกระทรวงศึกษาเรื่องขนาดไม้เรียว ตำแหน่งที่ตีได้ เขายกเลิกไปหมดแล้ว เขาห้ามครูตีเด็ก เด็กมันก็เลยไม่กลัวครู เด็กประถมบางคนด่าแม่ครูก็มี..ถ้าเป็นลูกศิษย์ผม ไม่แน่ว่าผมจะถูกลงโทษประหารชีวิตไหม แฮ่ๆ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.74808812141418 sec
Sidebar: 1.0789399147034 sec