ประมาณช่วงนี้ของปีที่แล้ว ท่านรองเจ้าอาวาสอาพาธจนมิอาจปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าอาวาสได้ ผู้เขียนจึงต้องออกจากมุมสงบส่วนตัวมาปฏิบัติหน้าที่แทน เริ่มเป็นสมภารเถื่อน… ๒๗ ธันวา ปีที่แล้วเจ้าอาวาสก็มรณภาพ ผู้เขียนก็ได้รับการแต่งตั้งให้รักษาการแทนเจ้าอาวาส เริ่มเป็นสมภารอย่างเป็นทางการ… และหลังจากจัดงานรับมอบตราตั้งเจ้าอาวาสในวันที่ ๒๒ กุมภาของปีนี้ ผู้เขียนก็เป็นสมภารโดยถูกต้องสมบูรณ์ จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม…
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ความเป็นอยู่ค่อยๆ เปลี่ยนไป เช่น จากเคยอยู่รูปเดียวไม่ค่อยพูดกับใคร ฉันอาหารพอประทังไปได้วันละมื้อ หรือบางครั้งอาทิตย์หนึ่งก็อาบน้ำหนเดียว ก็ต้องมาอยู่ในสถานที่โปร่งใส่ (ศาลาการเปรียญ) ใครไปมาพบได้ง่าย และต้องอาบน้ำทุกวันเพื่อจะได้ดูดีขึ้นบ้างในฐานะสมภาร เป็นต้น
เมื่อเริ่มเป็นสมภารเถื่อน ระยะแรกก็ใช้ทุน(เงิน)ตนเอง ซึ่งมีอยู่ประมาณสองหมื่นในการดำเนินการ เริ่มเสียค่าไฟวัดเอง ประมาณสามพันกว่าถึงห้าพันต่อเดือน ซื่อเครื่องขยายซื้อลำโพงใหม่ เอาชุดโซฟาเก่าที่ฉีกขาดไปหุ้มใหม่ และเมื่อเห็นว่าวัดอื่นมีเก้าอี้ให้ญาติโยมนั่งฟังเทศน์ จึงเริ่มหาเจ้าภาพซื้อเก้าอี้สำหรับให้ญาติโยมได้นั่งฟังธรรมตามยุคตามสมัย…
เมื่อมีงานในวัด เช่น วันสำคัญทางศาสนา หรือมีญาติโยมมาตั้งศพใช้ศาลาในวัด ปัจจัยในส่วนถวายวัดก็เริ่มเข้ามาถึงมือ หลังจากทอดกฐินปีที่แล้วซึ่งได้สามแสนกว่าบาท ก็เริ่มมีอำนาจที่จะสั่งจ่ายเงินส่วนนี้ และไม่นานมานี้ บัญชีเก่าของวัดก็ได้คืนมา หลังจากดำเนินการตามระเบียบแล้ว ขณะนี้ ในฐานะสมภารตัวจริงเสียงจริง มีเงินอยู่ล้านกว่าบาทในบัญชีที่มีอำนาจสั่งจ่าย…
เพราะวัดมีปัญหาสั่งสมมานาน เมื่อมาเป็นสมภารใหม่ สิ่งที่ต้องแก้ไขหรือต้องการจะจัดการมีมาก ซึ่งหลายเรื่องไม่มีพื้นฐานความรู้ หรือไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลย ก็ต้องคิดต้องปรึกษาคนโน้นคนนี้ จากการอยู่ว่างๆ เขียนบล็อกเล่นๆ ก็ค่อยๆ ขาดหายและทิ้งช่วงระยะนานขึ้นกว่าจะเขียนสักครั้ง แต่ที่เพิ่มขึ้นก็คือการบ่นในลานเจ๊าแจ๊ะ จนกระทั้ง ๔-๕ วันก่อน จึงรู้สึกว่าตั้งแต่เป็นสมภาร วันหนึ่งๆ ผ่านไปเร็วเหลือเกิน ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย และเมื่อวานเข้าไปบ่นในลานเจ๊าะแจ๊ะอีกครั้ง คุณโยมครูบาปรารภว่างานมาก ผู้เขียนก็ตอบว่าเรื่อยๆ มาเรียงๆ จะว่างานก็ใช่ มิใช่งานก็ใช่… เมื่อคืนไปนั่งงานศพเงียบๆ ที่วัดอื่น ก็คิดว่าจะเริ่มเขียนเรื่องชีวิตสมภาร โดยเริ่มหัวข้อแรกว่า งานก็ใช่ มิใช่งานก็ใช่
เมื่อคืนวาน จำวัดตีสี่หลังจากดูบาซ่าปะทะอินเตอร์ ตื่นมาตอนเช้าหกโมงกว่าๆ ก็เปิดศาลาและประตูวัดด้านหน้าซึ่งต้องทำทุกวัน เพียงแต่เมื่อวานเปิดสายไปนิดเท่านั้น เสร็จแล้วก็มาชงกาแฟฉันกับขนมนิดหน่อย แล้วก็เอากุญแจไปเปิดโบสถ์เพื่อให้โยมหน้าวัดมาทำงานซึ่งเป็นการติดตั้งโคมไฟที่เสาโบสถ์โดยรอบ กลับมายังศาลา ก็เจอทิดซึ่งเพิ่งสึกไปเมื่อสองวันก่อน เอาข้าวต้มโจ๊กมาถวาย ก็บอกให้จัดการเทใส่ถ้วยนำมาประเคน จะได้ฉันเลย และนี้คืออย่างแรกของสมภาร ถูกบังคับฉัน จะว่างานก็ใช่ มิใช่งานก็ใช่… คิดดูเถิด ทิดนี้บ้านอยู่ห่างจากวัดเกือบยี่สิบกิโล ขับรถเองก็ยังไม่ได้เพราะเพิ่งประสบอุบัติเหตุก่อนมาบวช ให้ญาติขับรถมาเพื่อจะได้ซื้อโจ๊กมาถวาย ตามธรรมเนียมปฏิบัติว่า ทิดสึกใหม่ต้องยกปิ่นโตมาถวายพระในวันแรก หรือถ้าศรัทธาและพอมีเวลาว่างก็ให้นำมาถวายตลอดสามวันเจ็ดวันหลังจากสึกไป จะไม่ฉันได้อย่างไร สมภารเมื่อจะรักษาน้ำใจของญาติโยมก็ต้องฉัน
ฉันโจ๊กเสร็จ ตั้งใจจะงีบเอาแรงสักหน่อย เพราะตอนบ่ายได้รับการนิมนต์ไปพิจารณาชักผ้าบังสุกูล แต่พอใกล้ๆ จะหลับ ก็ได้ยินเสียงโยมคุยกันข้างศาลา โยมคนหนึ่งจะมาซื้อน้ำมัน (วัดยางทองมีน้ำมันแก้เข็ดเมื่อยขายมานานแล้ว และค่อนข้างจะมีชื่อเสียง) จึงถามคนถีบสามล้อซึ่งมานั่งพักอยู่ คนถีบสามล้อบอกว่า เค้าไม่ทำแล้ว เพราะเจ้าอาวาสเสียแล้ว รองเจ้าอาวาสก็อยู่โรงพยาบาล (น้ำมันมีสองเจ้า คือของเจ้าอาวาสกับของท่านรอง)… ในฐานะสมภาร ผู้เชียนก็อดไม่ได้ที่จะต้องลุกขึ้นไปบอกว่า น้ำมันมี ! ตาหลวงเพิ่งบวชใหม่ทำขายอยู่ที่กุฏิหลังโบสถ์ (ตาหลวงรูปนี้ มีศักดิ์เป็นน้าของผู้เขียน บวชไม่นานเจ้าอาวาสก็มรณภาพ ท่านถูกแรงเชียร์จากพวกในวัดให้ทำน้ำมันขาย จึงทดลองทำดู ก็พอขายได้ ส่วนรายได้นั้น ไม่เก่ี่ยวกับวัด เป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน)… นี้ก็เช่นเดียวกัน จะว่างานก็ใช่ จะว่ามิใช่งานก็ใช่
บอกแล้วก็กลับมานอนต่อ พลางถอนใจเรื่องการหลับไม่เป็นสุข ทำท่าจะหลับ เกือบตีสิบ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พวกโทรอยู่หน้าศาลา (เปิดบังตาปิดประตูเหล็กไว้) ก็สะดุ้งขึ้นรับ พระจากวัดเลียบบอกว่า เจ้าอาวาสวัดเลียบนิมนต์ให้ไปมาติกาฉันข้าวด้วย ให้ไปเลยเพราะได้เวลาแล้ว ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องลุกขึ้นมา ว่าจะอาบน้ำก่อน แต่เกรงจะไม่ทันจึงเพียงแต่ล้างหน้าแล้วครองจีวรเดินไปวัดเลียบ (กำแพงวัดห่างกันไม่เกินร้อยเมตร) พอไปถึง พระ-เณรก็มาคอยอยู่บ้างแล้ว สมภารวัดเลียบบอกว่าพิธีกรยังไม่มา ผู้เขียนจึงเดินกลับมาวัดอาบน้ำลวกๆ พอให้สดชื่นแล้วก็เดินไปทำพิธี เสร็จพิธีก็ฉันข้าวแล้วก็นอนพักที่ศาลาวัดเลียบ เพราะต้องไปพิจารณาชักผ้าบังสุกูลที่วัดโรงวาสเวลาบ่ายโมง (วัดเลียบไม่มีเมรุเผาศพ ต้องพาไปเผาวัดโรงวาสซึ่งอยู่ห่างไปไม่เกินห้าร้อยเมตร) พอใกล้ๆ จะหลับ พระก็บอกว่าถึงเวลาแล้ว จึงลุกขึ้นครองจีวรไปวัดโรงวาส…
งานศพที่เจ้าภาพพอมีกำลังและมีศรัทธา มักจะนิมนต์พระเถระจำนวนหนึ่งไปพิจารณาชักผ้าก่อนที่จะเผา ซึ่งพระเถระที่ได้รับการนิมนต์ประจำมักจะเป็นระดับเจ้าอาวาสเพื่อจะได้ทำบุญ เป็นเกียรติ หรือเอาหน้าก็ได้ ตามแต่จะมอง… ผู้เขียนไม่ชอบงานทำนองนี้เลย เพราะต้องนั่งคอยให้ทุกฝ่ายพร้อมจึงจะเริ่มพิธี น้อยที่สุดก็หนึ่งชั่วโมงหรือบางครั้งก็เกินสามชั่วโมงกว่าจะเสร็จพิธี แต่ขัดไม่ได้ เพราะถ้าไม่ไป วันหลังเค้าก็จะไม่นิมนต์ ถือว่าโกง เล่นตัว และนานๆ ไป อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่พาวัดไม่รอด… (อดีตเจ้าอาวาสบางรูป ท่านมักจะไม่ไปงานทำนองนี้ ไม่ว่าจะงานคนระดับใดก็ตาม ผู้เขียนเอาตัวอย่างอดีตเจ้าอาวาสเป็นอุทาหรณ์ ต้องการพาวัดให้รอด จึงต้องไปทุกงานถ้าว่าง)… นี้ก็เช่นเดียวกัน งานก็ใช่ มิใช่งานก็ใช่
เสร็จพิธีเดินกลับมาวัด ดูเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง จะไปรดน้ำศพวัดแหลมทราย แต่บังเอิญข่ายโทรศัพท์ล้มหมด (เฉพาะสงขลาเมื่อวานนี้) จึงสอบถามรายละเอียดและติดต่อรถไม่ได้ อีกทั้งฝนก็เริ่มตก จึงตัดสินใจไม่ต้องไป… จึงเข้ามาบ่นไว้ในลานเจ๊ะแจ๊ะ จนสี่โมงเย็นก็ออกไปนั่งคุยกับโยมหน้าศาลา (ต้องนั่งอยู่เสมอทุกวัน ซึ่งจะว่างานก็ใช่มิใช่งานก็ใช่เช่นเดียวกัน)… พี่สาวของผู้ตายเป็นลูกค้าประจำของร้านดอกไม้หน้าวัด จึงมาสั่งจัดดอกไม้ร้านหน้าวัด ดอกไม้ที่จัดเสร็จแล้วก็มาอาศัยวางพักอยู่ที่ม้าหินขัดหน้าศาลา พูดกันว่า จะติดรถส่งดอกไม้ไปนั่งในงานศพด้วย พอดีเจ้าภาพพารถมารับดอกไม้เที่ยวแรก และนิมนต์ท่านสมภารไปนั่งเป็นประธานในงานศพ ดังนั้น พอหกโมงกว่าๆ จึงเปิดไฟปิดประตูศาลา แล้วติดรถเจ้าภาพไปนั่งงานศพ…
งานศพคืนแรก ทุกอย่างยังจัดไม่เสร็จ และผู้เขียนก็ไม่มีปกติเป็นเจ้ากี้เจ้าการในสิ่งที่ไม่ถนัดและไม่มีใครร้องขอ ดังนั้น จึงนั่งเงียบๆ เฉยๆ จนทุ่มหนึ่งก็ได้เวลาพระขึ้นสวด หลังจากนั้นรถส่งดอกไม้ก็ไปถึงอีกครั้ง หลังจากจัดดอกไม้เสร็จ สองทุ่มกว่าๆ จึงกลับมาวัดพร้อมรถส่งดอกไม้… คุยกับคนขับรถส่งดอกไม้ การไปนั่งงานศพเพื่อเป็นเกียรติแก่โยมที่คุ้นเคยและมีอุปการะต่อวัดทำนองนี้ จัดว่างานก็ใช่ มิใช่งานก็ใช่…
ตอนนั่งในงานศพนั่นเอง ผู้เขียนได้มีโอกาสทบทวนเรื่องทำนองนี้ จึงตั้งใจว่ากลับมาจะเขียน แต่เมื่อคืน ต้องคดีดวงเมืองของคุณหมอเบิร์ด จึงไม่ได้เขียน เช้านี้จึงรีบมาเขียน เพราะความดำริยังไม่เลือนหาย… และหลังจากโพสต์นี้เสร็จเรียบร้อย ตั้งใจว่าจะสรงน้ำแล้วไปงานฉลองพัดท่านเจ้าคุณที่วัดแจ้ง ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณหนึ่งโล ไปร่วมมุทิตาทำบุญกับท่านแล้วฉันข้าวสักมื้อ ซึ่งนี้ก็เช่นเดียวกัน งานก็ใช่ มิใช่งานก็ใช่…
จากที่บ่นมาทั้งหมด คงจะสะท้อนให้เห็นได้ว่า การที่ผู้เขียนรู้สึกว่าวันหนึ่งๆ ผ่านไปโดยไม่ค่อยได้ทำอะไรเลย เป็นเรื่องจริง (………………)
ความคิดเห็นใหม่