เจ้าเป็นไผ

เมื่อวาน มีใครคนหนึ่งถามว่า ทำไมไม่เขียน “เจ้าเป็นไผ” บ้าง ผู้เขียนก็บอกว่า ไม่มีใครชวน จึงไม่เขียน… ใครคนนี้จึงบอกว่าเขียนหน่อย แล้วเค้าจะเขียนบ้าง ผู้เขียนจึงจะเขียนนิดหน่อย ตามคำร้องขอของใครคนนั้น…

ไม่รู้ว่าคนอื่นนั้น จะจำอดีตแรกสุดเมื่อไหร่ แต่ผู้เขียนจำความได้ครั้งแรก ในวันที่น้องสาวของผู้เขียนจมน้ำตาย… เริ่มต้นว่า ผู้เขียนเป็นลูกคนโต มีน้องสาวคนเล็กอีกหนึ่งคนในตอนนั้น เรือนหลังแรกที่จำความได้นั้น จะเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูงประมาณสองเมตร กว้างยาวน่าจะไม่เกินด้านละห้าเมตร ลักษณะของพื้นที่สมัยนั้น..

  • ด้านหน้าหันไปทางทิศใต้ อยู่ริมคลองตื้นๆ ตรงข้างฝั่งคลอง ถัดออกไปไม่เกินร้อยเมตรก็จะมีเรือนของเพื่อนบ้าน…
  • ข้างบ้านด้านทิศตะวันออกจะเป็นถนนดินตัดผ่าน โดยคลองมาสิ้นสุดที่ริมถนน อีกฟากหนึ่งของถนนจะเป็นนาข้าว…
  • ทางทิศตะวันตกจะเป็นเนินดินว่างๆ ไว้เลี้ยงเป็ดเลี้ยงหมู เลยออกไปอีกประมาณสองร้อยเมตรก็จะเป็นเรือนหลังใหญ่ของเพื่อนบ้านซึ่งตั้งอยู่ริมคลองเหมือนกัน ถัดจากเรือนหลังนั้นไปก็จะเป็นทะเล (ทะเลสาบสงขลาตอนใน)…
  • ด้านหลังจะมีที่ว่างเล็กน้อยแล้วก็จะไปชนกับด้านหลังเรือนของเพื่อนบ้าน ซึ่งด้านหน้าเรือนหลังนั้นออกไปก็จะเป็นคลองอีกเช่นกัน…

ฉากแรกชีวิตที่จำได้ ผู้เขียนเดินไปกับแม่เพื่อพาลูกหมูตายไปทิ้งลงคลองหลังบ้าน ทางทิศตะวันตก แต่เรือนตรงกันข้ามตะโกนบอกมาว่า เอาไปทิ้งในทะเลดีกว่า เพราะทิ้งไว้แถวนั้น ต่อไปจะส่งกลิ่นหมิ่น แม่จึงยืมเรือพายที่จอดอยู่ในคลองตรงนั้นพาลูกหมูตายไปทิ้งในทะเล ส่วนผู้เขียนก็นั่งคอยอยู่ที่ก้อนหินใหญ่ริมคลอง กะว่าประเดียวแม่จะมา แต่ผู้เขียนคอยจนกระทั้งหลับไป จนกระทั้งแม่มาปลุก มองดูในเรือ มีสาหร่ายอยู่ แสดงว่าแม่เก็บสาหร่ายมาด้วยเพื่อจะเป็นอาหารหมู…

ผู้เขียนก็เดินกลับมายังเรือนพร้อมกับแม่ ซึ่งจากก้อนหินที่ผู้เขียนนั่งคอยแม่อยู่กับเรือนนั้น น่าจะไม่เกินสามร้อยเมตร… เมื่อมาถึงน้องไม่อยู่ที่บนเรือน เห็นแต่เพียงลูกด้าย เชือกด้าย และเศษผ้าซึ่งน้องเล่นทิ้งอยู่บนเรือน (แม่เป็นช่างตัดเสื้อ และมีจักรอยู่ที่บ้าน แม้กระทั้งปัจจุบัน) ผู้เขียนกับคนแม่ เที่ยวค้นหาทั่วละแวกนั้นก็ไม่เจอ… จนกระทั้ง ผุ้เขียนอยู่บนเรือน มองลงไปที่ริมคลองหน้าบ้าน เยื้องไปทางทิศตะวันตกเล็กน้อย จะมีกองหินซึ่งขนมาจากเกาะ บางส่วนก็จมอยู่ในคลอง สถานที่นั้นจะใช้เป็นที่ซักผ้าเป็นประจำ ผู้เขียนสังเกตเห็นผ้าสีแดงๆ เหลืองๆ ซึ่งเป็นเศษผ้าลูกไม้ ที่แม่ตัดเป็นเสื้อให้น้อง ก็บอกแม่… แม่ลงไป ผุ้เขียนก็มองตามไป เมื่อแม่หยิบเสื้อขึ้นมา ร่างน้องก็ติดมาด้วย แม่ก็ร้อง จำได้ว่า ผู้เขียนยังไม่เข้าใจทุกข์คือความตายในช่วงนั้น…

เรือนหลังที่ว่า ตั้งอยู่ที่บ้านคูขุด แถวนั้น คนในท้องถิ่นสมัยก่อนเรียกกันว่า บ้านหนองหม่าว แต่ปัจจุบันหนองหม่าวสูญหายไปแล้ว คนในท้องถิ่นจะเรียกกันว่า บ้านพักจากล่าง เพราะด้านทิศตะวันออกเลยนาข้าวไปประมาณห้าร้อยเมตร จะเรียกกันว่า บ้านพังจาก เดียวนี้จึงมีชื่อคู่กันว่า พังจากบน พังจากล่าง…

ศพน้องสาวคนนี้ ไม่ได้เผา แต่นำไปฝังที่ป่าช้าวัดแหลมวัง ที่ริมคลอง ระหว่างต้นตุ่มซึ่งขึ้นอยู่เป็นกอๆ  … ตั้งแต่ครั้งโน้นมา คราวใดที่ผู้เขียนผ่านป่าช้าจะแวะไปเยี่ยมหลุมศพน้องทุกครั้ง จนกระทั้งจำไม่ได้ว่าที่ตรงไหนกันแน่ และปัจจุบันนี้ คราวใดที่ผู้เขียนไปที่ป่าช้า ผู้เขียนจะนึกถึงน้องคนนี้เสมอ… ปัจจุบันมีการตัดถนนริมคลอง ผู้เขียนสันนิษฐานว่า ที่ฝังศพน้องนั้น น่าจะอยู่กลางถนน อย่างไรก็ตาม ร่างของน้องคงจะกลายเป็นดินและอื่นๆ ไปนานแล้วตามสภาพ…

นอกนั้นก็จำเหตุการณ์อื่นๆ ไม่ได้… มาจำได้อีกครั้ง ก็ย้ายมาอยู่เรือนหลังใหม่ที่คลองหลา ซึ่งเป็นย่านธุรกิจของบ้านคูขุดและชุมชนริมทะเลสาบสงขลาในสมัยนั้น เป็นบ้านไม้ปลูกทำนองห้องแถวชั้นครึ่ง แต่ด้านหลังก็เป็นลานเนินดิน ใช้เลี้ยงเป็ดเลี้ยงหมูได้ เป็นบ้านของญาติห่างๆ… สำหรับบ้านคูขุดนั้น เป็นหมู่บ้านใหญ่ จะใช้คลองหลาเป็นศูนย์กลาง หมู่บ้านที่อยู่ทางทิศเหนือของคลองหลาจะเรียกว่า บ้านตีน (ตีน เป็นคำปักษ์ใต้แปลว่า ทิศเหนือ)  ส่วนหมู่บ้านที่อยู่ทางทิศใต้ของคลองหลาจะเรียกกันว่า บ้านหัวนอน (หัวนอน เป็นคำปักษ์ใต้แปลว่า ทิศใต้)… บ้านหัวนอนนั้นจะเป็นชาวไทยพุทธล้วน ส่วนบ้านตีนลึกเข้าไปจะมีชาวไทยมุสลิมโดยผสมอยู่ และที่บ้านตีนนี้มีสุเหร่าด้วย…

บ้านที่่ผู้เขียนอยู่นั้น ห่างจากคลองหลาไปทางทิศเหนือประมาณสองร้อยเมตร ดังนั้น ผู้เขียนอาจพูดได้ว่าสมัยหนึ่งเป็นเด็กบ้านตีนเช่นเดียวกัน เคยวิ่งเล่นอยู่แถวสุเหร่า มีบังบางคนรักห่วงผู้เขียนมาก ชอบพาไปเที่ยวเสมอ พยายามนึกและสืบมาหลายสิบปีแล้วก็ยังไม่ได้ความ… ส่วนบ้านหนองหม่าวที่เคยอยู่ก่อนย้ายมานั้น จัดว่าเป็นบ้านหัวนอน ถัดไปจากคลองหลาทางทิศใต้ประมาณสองกิโลเมตร…

คลองหลา คูขุด ในสมัยนั้น จัดว่าเป็นชุมชนใหญ่และย่านธุรกิจแห่งหนึ่งของริมทะเลสาบสงขลา เช่น มีร้านขายของขนาดใหญ่ มีน้ำแข็งและน้ำมันขาย มีร้านน้ำชา ร้านก๋วยเตียว หรือโรตีก็มีขาย เป็นต้น… การคมนาคม มีเรือโดยสารวิ่งจากคูขุดคือคลองหลาไปยังอำเภอปากพะยูน และคลองลำปำ อำเภอมือง ของจังหวัดพัทลุง นอกจากนั้นก็มีเรือโดยสารวิ่งมาอำเภอเมืองสงขลาและวิ่งไปอำเภอระโนดตามโอกาส… บริเวณย่านคลองหลา มีวิกหนังชื่อว่า ศรีคูขุด ซึ่งนอกจากมีหนังฉายแล้วก็มี ลิเก มโนราห์ ตลอดถึงคณะละครสัตว์ไปแสดงตามโอกาส… เรือนผู้เขียนอยู่ห่างจากวิกประมาณสามร้อยเมตร ดังนั้น ตอนเป็นเด็กที่นี้ ผู้เขียนยังคงจำได้ว่าหลายครั้งเคยไปดูหนังหรือลิเก แล้วก็เผลอหลับไป ตื่นขึ้นมาในวิกหนังมีอยู่แต่ผู้เขียนคนเดียวเท่านั้น จึงต้องลุกขึ้นเดินอย่างหงอยเหงากลับบ้านคนเดียว (5 5 5…)

ผู้เขียนน่าจะเติบโตอยู่แถวคลองหลาประมาณ ๒-๓ ปี เพราะมาได้น้องชายและน้องสาวเพิ่มอีกสองคนที่บ้านหลังนี้ และเมื่อเข้าเรียน ป.๑ ที่โรงเรียนวัดคูขุด ในปี ๒๔๑๒ ก็ยังคงอยู่บ้านหลังนี้… ลองทบทวนย้อนอดีตไป วันที่น้องสาวคนแรกของผู้เขียนจมน้ำนั้น ผู้เขียนน่าจะอายุไม่เกิน ๕ ขวบ และวันนั้น ถ้าผู้เขียนไม่นั่งคอยแม่จนหลับไปริมคลอง แต่เดินกลับบ้านไปก่อน น้องน่าจะไม่ไปเล่นซักผ้าจนพลัดตกน้ำ…

ฟังว่า ก่อนที่จะไปอยู่บ้านหนองหม่าวนั้น ตอนเด็กๆ ครอบครัวของผู้เขียนอาศัยอยู่บ้านก๋งที่ตำบลกระดังงามาก่อน ตอนหลังเมื่อย้ายมาอยู่สงขลาแล้ว เจอญาติบางคนมาเยี่ยมที่บ้าน เขาบอกว่า ตอนเขาเป็นวัยรุ่นนั้น เคยช่วยพ่อทำงานในโรงสีของก๋ง ส่วนผู้เขียนนั้น เขาเคยอุ้มไปไหนมาไหนตั้งแต่เด็กๆ แต่ผู้เขียนจำช่วงนี้ไม่ได้… จำได้แต่เพียงว่าอยู่หนองหม่าวน้องสาวจมน้ำ แล้วมาอยู่บ้านตีน ได้เริ่มเข้าโรงเรียนตอนอยู่ที่นี้ แต่ก็ยังไม่ทันจบป.๑ นมตาย ! (นม เรียกตามแม่และน้าๆ อันที่จริงต้องเรียกว่า แม่เฒ่า ส่วนภาษากลางก็คือ ยาย) ครอบครัวผู้เขียนจึงต้องย้ายอีกครั้งเป็นครั้งที่สี่…

ยังไม่ได้ขึ้นป.๒ เลย รู้สึกเหนื่อยแล้ว ว่างๆ ค่อยมาเขียนต่อ…