Jul 06

ตั้งแต่เป็นสมภารมา เกือบจะไม่ได้เขียนบล็อกเลย ที่มีลงอยู่บ้างโดยมากก็เป็นเพียงบันทึกประชาสัมพันธ์เท่านั้น… บันทึกนี้จัดว่าเป็นกรณีพิเศษเพื่อฉลองครบรอบขวบปีที่สองและเฉลิมขึ้นขวบปีที่สามของลานปัญญา…

ผู้เขียนเริ่มต้นเป็นบล็อกเกอร์จากโกทูโน โดยเริ่มต้นจากศูนย์ จากไม่รู้จักใครก็ค่อยๆ รู้จักคนโน้นคนนี้ เริ่มสนิทสนมคุ้นเคยกับใครบางคน เริ่มรักใคร่ มันใส้ หรือนินทาใครบางคนในโกทูโน ตามธรรมดาของคน อีกทั้งค่อยเขื่องหรือขาใหญ่ขึ้นตามความเห็นของใครบางคน นั่นคือ ความเป็นไปในโกทูโน…

ต่อมา เกิดอะไรขึ้นก็ไม่ทราบชัดในโกทูโน เป็นสาเหตุให้มีกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันมาจัดสร้างลานปัญญาเป็นเวบบล็อกของตนเอง และผู้เขียนก็ได้รับการชักชวนให้มาร่วมด้วยในเบื้องต้น กล่าวได้ว่า ผู้เขียนเป็นรุ่นแรกของลานปัญญาแต่มิใช่ผู้ก่อการจัดตั้งขึ้นมา แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้ทิ้งโกทูโน ยังคงเขียนและตอบอยู่ในโกทูโนเหมือนเดิม เพียงแต่ตอนหลังไม่ค่อยได้เขียนทั้งในโกทูโนและลานปัญญา…

เมื่อมีโอกาสคุยเรื่องลานปัญญาแยกตัวมาจากโกทูโน ผู้เขียนก็มีชุดอธิบายอยู่ชุดหนึ่ง โดยยกพุทธภาษิตว่า ” กมฺมํ สตฺเต วิภชฺชติ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ ” นั่นคือ กรรมซึ่งในที่นี้หมายถึงเจตนาความจงใจ จะเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ให้อยู่เป็นพวกเป็นกลุ่ม… พระเณรที่มาบวชอยู่ในวัด นักเรียนนักศึกษาทุกระดับในสถานศึกษา ทหารในค่าย หรือนักโทษในคุกก็ตาม ตอนแรกอาจไม่รู้จักใคร หรือมาคนเดียว แต่พออยู่ไปสักระยะหนึ่ง กรรมคือเจตนาความจงใจ จะทำให้เค้าจับกลุ่มหรือเข้ารวมกลุ่มในส่วนที่เข้ากันได้กับกรรมของตน…. บล็อกเกอร์ก็เช่นกัน ไม่อาจหลีกหนีพุทธภาษิตนี้ได้ได้… นี้นัยแรก

ขยายความเพิ่มอีกนิด เมื่อเป็นกลุ่มเล็กๆ กรรมหรือเจตนาความจงใจ จะชัดเจนในส่วนที่เข้ากันได้ ในส่วนที่เข้ากันไม่ได้จะไม่ปรากฏหรือไม่ชัดเจน แต่พอกลุ่มค่อยๆ ขยายขึ้น กรรมหรือเจตนาความจงใจในส่วนที่ไม่ปรากฎก็จะค่อยๆ ปรากฎออกมา ที่ไม่ชัดเจนก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา ดังนั้น การแตกตัวเพื่อรวมกลุ่มต่อไป ก็จะตามมาอีกครั้ง และอีกครั้ง… อธิบายทำนองนี้ ค่อนข้างยาก ทำให้นึกถึงสำนวนที่ว่า “พัฒนาจุดร่วม สงวนจุดต่าง” น่าจะเข้าใจง่ายกว่า นั่นคือ จะเกาะกลุ่มกันได้ก็ต้องรักษากรรมในส่วนที่เหมือนกัน และกีดกันกรรมในส่วนที่ต่างกันมิให้ปรากฏ…

นอกจากพุทธภาษิตแล้ว ยังมีสำนวนหนึ่งในเพลงลูกทุ่งเก่าๆ ว่า “พอดังนิดดังหน่อย ชะทิงน่องน่อย แยกวง……” ที่ใช้ประกอบชุดคำอธิบายนี้ นั่นก็คือโลกแห่งศิลปินนักร้องและนักดนตรี พอเริ่มมีชื่อเสียง มีกำลัง มีความสามารถ ก็มักจะชอบแยกตัวออกไป ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่า ไม่ว่าจะสังคมใด มักจะเป็นอย่างนี้ โดยที่สุด แม้สังคมเวบบล็อกในปัจจุบันก็ตาม…

นั่นคือ ชุดคำอธิบายที่มักจะนำไปอธิบายเรื่องทำนองนี้ อุปมาอุปไมยทดแทนกันได้ อาทิเรื่องในวัดก็เอาเรื่องเวบบล็อกมาเปรียบเทียบ หรือเรื่องบล็อกเกอร์ก็อาจนำเรื่องในวัดมาเปรียบเทียบ เช่น กลุ่มอุบาสกอุบาสิกาในวันพระ ตอนแรกยังมีน้อยก็สมัครสมานสามัคคีกลมเกลียวกันดี พอเริ่มมากก็เริ่มเกาะกลุ่ม แยกตัวกันออกมา และบางครั้งบางวัด พอไม่ชอบใจสมภารวัดก็อาจเกาะกลุ่มไปอยู่วัดอื่น นั่นคือ วัดก็เหมือนเวบบล็อก อุบาสกอุบาสิกาก็เหมือนบล็อกเกอร์ เป็นต้น

นอกจากใช้อธิบายให้คนอื่นฟังแล้ว ว่างๆ ผู้เขียนก็ใช้ชุดคำอธิบายนี้เข้าไปกำหนดความเป็นจริงของสังคมนั้นๆ และเมื่อไม่กิ่วันมานี้ก็มีสำนวนในวงธุรกิจผุดขึ้นมาเพิ่มเติม นั่นคือ “โตแล้วแตก แตกแล้วโต” ซึ่งเค้าอธิบายว่า ในบริษัทหรือองค์กรนั้น มีบางคนมีความสามารถเยี่ยมวิสัยทัศน์สูง แต่ไม่อาจทำงานได้เต็มที่ เนื่องจากติดระบบอาวุโส เค้าจึงระดมทุนให้คนหนุ่มไฟแรงทำนองนี้ตั้งบริษัทลูกขึ้นมา ให้เป็นผู้จัดการบริหารเอง เมื่อบริษัทของเค้าโตขึ้น ก็จะให้โอกาสแก่ใครบางคนแยกตัวไปตั้งบริษัทใหม่อีกครั้งและอีกครั้ง จนกลายเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มทุนขนาดใหญ่มหึมา… อะไรทำนองนี้

สาเหตุที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา เพราะในฐานะสมภารวัด ผู้เขียนต้องแสวงหาแนวทางเพื่อพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรือง… แต่นั่นแหละ “โตแล้วแตก แตกแล้วยุบ” อีกสำนวนหนึ่งในแวดวงการเมืองไทยก็ค่อยผุดขึ้นตามมา นั่นคือ พรรคการเมืองไทยนั้น พอมีผู้แทนมาก ก็มักจะมีความเห็นต่างกันจนไม่อาจรวมกลุ่มกันได้ จึงแยกตัวไปตั้งพรรคใหม่ และไม่นานพรรคใหม่นั้นก็จะถูกยุบไปเพราะไม่มีผู้แทน… วัดก็เหมือนกัน ผู้เขียนพยายามระวังมิให้ในวัดมีมุ้งเล็กที่ใหญ่ขึ้นโดยมีอันตรายแล้วก็ต้องถูกกำจัดออกจากวัดไป มาถึงตอนนี้ คำว่า “มุ้งเล็กมุ้งใหญ่” ก็ผุดขึ้นมา และยังมีคำว่า “ควบรวมกิจการ” ผุดขึ้นมาอีก… ซึ่งสำนวนเหล่านี้ อาจนำมาอธิบายเชืงเปรียบเทียบในสังคมเวบบล็อกได้เหมือนกัน

อันที่จริง ความตั้งใจเติม ต้องการจะเขียนว่าคุณโยมคอนดักเตอร์หรือคุณโยมรอกอดเป็นผู้ชักชวนมา และตั้งชื่อบล็อกผู้เขียนว่า ลานใจธรรมชาติ เพราะอาจเห็นว่าผู้เขียนแสดงเรื่องราวตามใจไม่ค่อยเสแสร้ง… อะไรทำนองนี้ ในโอกาสขึ้นขวบที่สามลานปัญญา แต่ความคิดพาไปนอกเรื่อง หรือความคิดยังวนเวียนอยู่เรื่องที่จะพัฒนาวัด เรื่องราวจึงเป็นดังที่ได้พร่ำบ่นมา

อย่างไรก็ตาม ในโอกาสขึ้นขวบปีที่สามลานปัญญา ผู้เขียนก็ตั้งใจเขียนจนได้อีกหนึ่งบันทึก (…………..)

Mar 29

http://lanpanya.com/journal/files/2009/03/picture-1.jpg

ลานปัญญา ถือกำเนิดใน เทวีฤกษ์ จัดว่าเป็นนางพญาผู้มีเกียรติยศหรือศักดิ์ศรีสูงสุดในฝ่ายสตรีเพศ นั่นคือ มีอิสรภาพ มั่นคงยั่งยืน ไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของผู้ใด ส่วนความเป็นไปแห่งอำนาจก็ใช้น้ำใจมากกว่าระเบียบกฎเกณฑ์ แต่ถ้าจะร้ายก็น่ากลัวทำนองอารมณ์ของสตรีเพศ (ซึ่งต่างจากราชาฤกษ์ที่เน้นระเบียบกฎเกณฑ์มากกว่า แม้จะร้ายก็ยังคำนึงถึงกฎระเบียบ)

สำหรับลานปัญญาลัคนาสถิตราศีตุลย์ แต่จัดเป็น ลัคน์ลอย จึงค่อนข้างอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง เพราะไม่มีพระเคราะห์ดวงใดกุมอยู่เลย (สังเกตว่า จะมี ส. อยู่โดดๆ ในราศีตุลย์) ดังนั้น เมื่อพิจารณาในแง่นี้ ถ้าลานปัญญาเป็นคนก็อาจทำนายว่าอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ขาดการสนับสนุนจากคนอื่นๆ เท่าที่ควร ต้องพาตนเองไปตามยถากรรม แต่เมื่อเป็นเวบบล็อกก็อาจทำนายว่า ไม่มีเวบอื่นสนับสนุน ช่วยประคับประคอง ต้องพัฒนาเองไปตามที่เห็นสมควร…

ราศีตุลย์ จัดเป็น ธาตุลม จึงมีธรรมชาติที่ไม่มีรูปแบบแน่นอน เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว… และเป็น ธาตุลมกลาง นั่นคือ มีำกำลังแรง ทำให้ความเปลี่ยนแปลงไร้รูปแบบเป็นไปตลอดเวลา… ซึ่งตามนัยนี้ อาจเห็นได้ว่าบล็อกในลานปัญญานี้ แต่ละบล็อกก็พัฒนาเองตามความชอบใจ ไม่ค่อยจะสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว ผู้เขียนเห็นว่า กรณีนี้อาจมาจากอิทธิพลของลัคน์ลอยและธาตุลม…

ในการดูพื้นฐานดวงนั้น ครูโหรบางท่านบอกว่า นอกจากลัคนาแล้ว เบื้องต้นให้ดู ตนุลัคน์ ตนุเศษ และ ตนุเกษตร ตามลำดับ… โดยมีหลักการว่า ตนุลัคน์ดูลักษณะ ตนุเศษดูนิสัย ส่วนตนุเกษตรดูความเป็นไป

ตนุลัคน์ หมายถึง พระเคราะห์ที่เป็นเกษตรของลัคนานั้น ซึ่งดวงลานปัญญานี้สถิตราศีตุลย์โดยมี พระศุกร์ (๖) เป็นเกษตร จึงถือว่าพระศุกร์เป็นตนุลัคน์ ซึ่งประเด็นนี้ผู้เขียนได้เล่าไว้แล้วในครั้งก่อน จึงผ่านไป…

ตนุเศษ เป็นสูตรที่ใช้ทางโหราศาสตร์ วิธีการก็คือ ให้นับทวนเข็มนาฬิกาจากราศีลัคนาไปยังราศีที่ตนุลัคน์สถิตอยู่ แล้วก็นับจากราศีที่ตนุลัคน์สถิตไปยังดาวเกษตรของราศีนั้น ได้เท่าไหร่แล้วเอาสองอย่างนี้มาคูณกัน แล้วก็หารด้วยเจ็ด เหลือเท่าไหร่ก็จัดเป็นตนุเศษ… ซึ่งในดวงลานปัญญานี้ ตนุลัคน์ (๖) ไปสถิตราศีเมถุน นับไปได้เก้าย่าง ส่วนเกษตรของราศีเมถุนก็คือพระพุธ (๔) สถิตอยู่ในราศีของตนเองจึงนับได้แค่หนึ่ง ครั้งเอาเก้ามาคูณกับหนึ่งแล้วหารด้วยเจ็ดจึงเหลือเศษสอง ดังนั้น ตนุเศษของดวงลานปัญญาก็คือพระจันทร์ (๒) ซึ่งในดวงข้างบนจะมีเครื่องหมาย (+) อยู่เหนือ (๒) นั่นคือเป็นที่หมายรู้ว่า (๒) เป็นตนุเศษ จึงต้องพิจารณานิสัยของลานปัญญาจากพระจันทร์

“ทายจริตทายจันทร์” นั่นคือ ลานปัญญาจะมีนิสัยแบบพระจันทร์ ฉลาดแบบผู้หญิง แม้จะเข้าใจและรู้เท่าทันคนอื่นได้ดี แต่แกล้งไม่รู้ไม่เข้าใจ บางครั้งก็มีความแปรปรวนยากที่จะทำความเข้าใจหรือติดต่อสื่อสารกันได้…

พระจันทร์ซึ่งเป็นตนุเศษ สถิตอยุ่ราศีกรกฎชึ่งเป็นเรือนเกษตรของตน จึงมีความมั่นใจในตนเอง แม้จะผิดหรือถูกก็ตาม ไม่ค่อยใส่ใจคนอื่นมากนัก หรือจะว่าเอาแต่ใจตนเองก็ได้…

อนึ่ง พระจันทร์นี้มี พระราหู (๘) สถิตอยู่ราศีมังกรเล็งอยู่ จัดว่าเป็นคราส และครูโหรบอกว่า “ทายมัวเมาทายราหู” … จึงอาจทำนายได้ว่า ลานปัญญามีนิสัยจ้องจับผิดซึ่งกันและกัน มีความพยายามจะครอบงำซึ่งกันและกันอยู่เสมอ…

ตนุลัคน์ไปสถิตอยู่ราศีใด ให้ถือว่าดาวเจ้าเรือนราศีนั้นเป็นตนุเกษตร ในดวงลานปัญญาตนุลัคน์ (๖) สถิตอยู่ในราศีเมถุนซึ่งมีพระพุธ (๔) เป็นดาวเจ้าเรือน ดังนั้น พระพุธ จึงจัดเป็น ตนุเกษตร ของลานปัญญา…

ดังกล่าวไว้แล้วในครั้งก่อนว่า พระพุธ หมายถึง คำพูด การสนทนา หนังสือ หรือความคิดริเริ่ม… นั่นแสดงให้เห็นว่า ลานปัญญาย่อมมีแนวโน้มไปทางนี้ หรืออนาคตของลานปัญญาจะเป็นที่บ่มเพาะของกลุ่มนักคิด นักวิจารณ์…

อนึ่ง พระพุธ (๔) มีพระอาทิตย์ (๑) กุมอยู่ ซึ่งสี่กับหนึ่งนี้รวมกันได้ห้า และ (๕) คือ พระพฤหัสอันเป็นดาวครูหรือนักปราชญ์ ดังนั้น ครูโหรจึงถือว่า (๑) กับ (๔) จัดเป็น ดาวคู่วิชาการ… ในส่วนนี้อาจบ่งชี้ได้ว่า ลานปัญญาน่าจะเจริญรุ่งเรืองในการนำเสนอความคิดเห็นแปลกๆ ใหม่ๆ ที่น่าสนใจในเชิงวิชาการ….

แต่ในราศีนี้ยังมีพระศุกร์ (๖) อยู่ร่วมกับดาวคู่วิชาการ และยังมีพระพฤหัส (๕) จากราศีธนูเล็งมาอีกด้วย… ประเด็นนี้ ผู้เขียนคิดว่าไม่ค่อยจะเป็นคุณต่อลานปัญญานัก เพราะครูโหรบอกว่า (๖) ก็จัดเป็นดาวครูแต่เป็น ครูอสูร ส่วน (๕) ก็จัดเป็นดาวครูแต่เป็น ครูเทวดา… ธรรมดาว่าครูกับครูย่อมรู้ทันกัน มักจะอิจฉาแข่งดีแข่งเด่นซึ่งกันและกัน ดังนั้นความคิดริ่เริ่มจากตนุเกษตร (๔) ที่ได้ (๑) สนับสนุนเป็นดาวคู่วิชาการนั้น แม้จะอาจเป็นไปตามนัยนี้ในอนาคต แต่ก็อาจไม่โดดเด่นเท่าที่ควรเพราะมัวแต่อิจฉาริษยากัน… ประมาณนั้น

  • ยาวพอสมควรแล้ว จะพักไว้ก่อน ยังมีเรื่อง ๑๒ ภพที่พอจะเล่าได้อีกตอนเป็นอย่างน้อย….
Mar 26

http://lanpanya.com/journal/files/2009/03/picture-1.jpg

ลานปัญญา ถือกำเนิดทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐ ครั้งแรกนั้นชื่อว่า lanpanya.net ต่อมาเมื่อย้ายมาอยู่เมืองไทยก็เปลี่ยนนามสกุลใหม่จึงได้ชื่อว่า lanpanya.com เมื่อจะพิจารณาดวงชาตาก็จะใช้กำเนิดเดิม เพราะเป็นรากเหง้าของสิ่งนั้น ทำนองเดียวกับคนเราแรกเกิด แม้จะเปลี่ยนแปลงสถานภาพอย่างไรและกิ่ครั้งก็ตาม แต่รากเหง้าตอนแรกเกิดก็ยังคงติดตัวอยู่…

ลานปัญญาถือกำเนิดใน ราศีตุลย์ หมายถึงคันชั่ง ซึ่งเดิมทีนั้นมนุษย์นิยมใช้คันชั่งเพื่อการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจะได้เกิดความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย ดังนั้น ราศีนี้จึงหมายถึงธุรกิจการเงินการธนาคาร และหมายถึงกระบวนการที่ก่อให้เกิดความยุติธรรม… เมื่อมาพิจารณา ลานปัญญา จึงน่าจะเป็นไปเพื่อการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันอย่างยุติธรรม เสมอภาค เท่าเทียมกัน

ราศีตุลย์มี พระศุกร์ (๖) เป็นดาวเจ้าเรือน ซึ่งมีคำทำนายว่า “ทายกิเลสกำหนัดทายศุกร์” นั่นคือ ลานปัญญามีความสำรวยรักสวยรักงาม มีความพึงพอใจในความเป็นลานปัญญา และทั้งยังมีความปรารถนาเพื่อความสวยงามยิ่งๆ ขึ้นไป… พระศุกร์ ซึ่งเป็นตนุลัคน์ มิได้สถิตอยู่ในราศีตุลย์เรือนของตนเอง แต่ไปสถิตอยู่ที่ราศีเมถุน ดังนั้น จึงต้องตามไป…

พระศุกร์สถิตอยู่ ราศีเมถุน หมายถึงคนคู่ ซึ่งบ่งชี้การอยู่ร่วม ติดต่อ มนุษย์สัมพันธ์ สังคม และนี้คือความเป็นไปของลานปัญญา… แต่ราศีเมถุนนี้มิใช่จะมีแต่พระศุกร์เท่านั้น ยังมีพระอาทิตย์ (๑) และพระพุธ (๔) อีกด้วย แสดงว่าลานปัญญาชอบที่จะยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น ชอบสังคม ไม่ชอบปลีกตัวอยู่ตามลำพัง… จึงต้องตรวจสอบพระอาทิตย์และพระพุธต่อไป…

พระศุกร์อยู่ร่วมกับพระอาทิตย์และพระพุธ โดย พระอาทิตย์ มีทำนายว่า “ทายเกียรติยศทายอาทิตย์” ซึ่งพระอาทิตย์นี้ได้แก่คนมีอำนาจ มียศ มีตำแหน่ง หรือชนชั้นปกครอง … ขณะที่ พระพุธ มีทำนายว่า “ทายวาจาทายพุธ” ซึ่งพระพุธนี้ได้แก่คนชอบโวหารการเจรจา หรือพัฒนามาเป็นหนังสือในปัจจุบัน และนักคิดนักวิจารณ์ก็จัดว่าเป็นพระพุธเหมือนกัน… ส่วนพระศุกร์เองคือผู้ที่สำรวยรักสวยรักงาม และนี้คือกลุ่มคนที่ติดต่อสื่อสารสังคมกันอยู่ในลานปัญญา…

อนึ่ง ตรงข้ามราศีเมถุนที่พระเคราะห์ทั้งสามดวงนี้สถิตอยู่ได้แก่ราศีธนู ซึ่งมี พระพฤหัส (๕) เป็นเจ้าเรือน ในขณะที่กำเนิดลานปัญญาพระพฤหัสสถิตอยู่ในเรือนของตนและกำลังเล็งมายังพระเคราะห์ทั้งสามดวงนี้… มีทำนายว่า “ทายปัญญาบริสุทธิ์ทายพฤหัส” ซึ่งพระพฤหัสนี้จัดเป็นดาวครู หรือนักปราชญ์ราชบัญฑิตก็ได้ นั่นก็คือ สังคมการติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างสมาชิกในลานปัญญาจะถูกตรวจสอบและเพ่งเล็งจากผู้มีปัญญาอยู่ตลอดเวลา และผู้มีปัญญานี้จะมีอำนาจมั่นคงเพราะสถิตอยู่ในราศีธนูซึ่งเป็นเรือนของตน…

อีกนัยหนึ่ง ราศีเมถุนเป็น ศุภะ จัดเป็นภพที่ให้คุณ สนับสนุน ช่วยเหลือเพื่อความมั่นคง ดังนั้น ลานปัญญาจึงเป็นไปเพื่อการณ์นี้… ส่วนราศีธนูเป็น สหัชชะ จัดเป็นเพื่อนพ้อง มิตรสหาย เมื่อมีพระพฤหัสเจ้าเรือนสถิตอยู่แล้วเล็งมายังราศีเมถุน จึงพอจะคาดหมายได้ว่า ผู้มีปัญญาที่เพ่งเล็งเฝ้ามองกลุ่มชนในลานปัญญานี้ เป็นไปฉันท์มิตรสหาย ยินดีจะช่วยเหลือเกื้อกูล…

มีเกจิบางท่านบอกว่า ๑+๔+๖ เมื่อมาร่วมกันให้แปลว่า ขี้เหนียว แต่เมื่อมาเป็นลานปัญญาก็อาจทำนายว่า การพบปะสื่อสารในลานปัญญา ต่างก็สงวนท่าที เกรงกลัวจะถูกหลอก กลัวจะเสียเปรียบ นั่นคือแต่ละคนต่างก็มีความละเอียดรอบคอบในการเข้าร่วมสังคม ซึ่งเป็นการแปลความหมายมาจากความเป็นคนขี้เหนียวอีกต่อหนึ่ง…

ยังมีประเด็นอื่นๆ อีกเยอะ แต่คืนนี้เจ็บตาแล้ว ค่อยติดตามต่อตอนต่อไป…