สรุปเหตุการณ์ ปี 2559 หรือ 2016
วันนี้วันที่ 4 มกราคม 2017 หรือ 2560 มีเวลาว่างเข้ามาเยี่ยมเยียน ลานโรงเรียน หลังจากไมได้เข้ามาเลยเป็นเวลาสองปีกว่า เพราะมัวแต่ไปเพลิดเพลินกับเฟสบุคและไลน์มากไปหน่อย เมื่อกลับมาตรงนี้ พอเปิดดูสารบัญ โอ้โฮ ! ทุกอย่างยังอยู่ครบถ้วน เป็นระเบียบก่อนหลัง เปิดอ่านง่าย ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในแต่ละปีที่ผ่านมา ถ้าจะกลับไปค้นในเฟสบุค ก็ยากนักหนา แม้ตอนนี้จะมีการค้นอดีต ขึ้นมาให้อ่านโดยอัตโนมัติ แต่มาให้อ่านวันเดียว ก็หายเงียบ อยากจะดูอีกสักครั้ง ก็หาเจอบ้างไม่เจอบ้าง
อย่ากระนั้นเลย เรากลับมาบันทึกเรื่องราวที่เป็นที่สุด ในปี 2559 เก็บไว้อ่านเล่นจะดีกว่า ดูสิว่า มองย้อนกลับไป เรื่องเด่นๆ ในชีวิตของเราปีที่แล้วมีอะไรบ้าง
เรื่องที่ 1 เรื่องเศร้าที่สุด ไม่ใช่เฉพาะเราแต่คงเป็นของคนไทยทั้งประเทศ ก็คงเป็นเรื่องการเสด็จสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 สุดแสนอาลัยในพระองค์ท่าน ได้เข้าไปกราบพระบรมศพหน้าพระโกศ แม้จะต้องรอคอยถึง 14 ชั่วโมง และได้กราบเพียง 50 วินาที ก็ถือว่าเป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างหาที่เปรียบมิได้
เรื่องที่ 2 เรื่องปลื้มที่สุด คงไม่พ้นได้บวชลูกชายคนเล็ก นายปราบ สุวรรณศร บวชเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม และสึกวันที่ 27 ธันวาคม ใจจริงอยากให้บวชนานกว่านั้น แต่เรื่องความอยากของเราจะนำไปบังคับใจคนอื่นไม่ได้ แค่เพียงสามอาทิตย์ที่ลูกบวชและสึกออกมา ก็เห็นว่าลูกได้เรียนรู้้อะไรมาไม่น้อยเลย คุณแม่ก็เป็นปลื้มสิคะ
เรื่องที่ 3 เรื่องฝันเป็นจริงที่สุด เมื่อได้ย้ายไปอยู่บ้านปลายนาเมื่อเดือนพฤษภาคม เป็นความฝันลมๆแล้งๆตั้งแต่ไปซื้อที่เอาไว้สี่ไร่แล้ว ว่าอยากไปอยู่ที่นั่น ที่ๆมองได้รอบตัว 360 องศา เห็นพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า และเห็นพระอาทิตย์ตกสวยๆยามเย็น โดยนั่งอยู่ในจุดๆเดิม แต่จะไปอยู่คนเดียวได้ยังไงในวัยขนาดนี้ วัยที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้เต็มที่ ต้องพึ่งพาคนรอบข้างอยู่บ้าง แต่แล้วฝันก็เป็นจริงเมื่อ ลูกสาวจิ๊ก จักษรี สุวรรณศร เกิดคิดตรงกันกับแม่ คิดปลูกบ้านอยู่ที่นั่นเป็นการถาวร เรื่องออกแบบปลูกบ้านก็เลยตกเป็นภาระลูกสาว ขอแม่แค่ห้องหนึ่งห้องสารพัดประโยชน์ มีแอร์มีมุ้งลวด พื้นปูปาร์เก้ ห้องน้ำในตัว ด้านหน้าวิวนา ด้านหลังวิวบ่อน้ำ ขอแค่นี้เอง ลูกก็เนรมิตรให้ได้ดังใจ เราแม่ลูกทั้งสองก็ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่บ้านปลายนาอย่างมีความสุขตังแต่พฤษภาคม 2559 เป็นต้นมา
เรื่องที่ 4 เรื่องที่น่าจดจำที่สุด คงเป็นเรื่องที่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆกลุ่มใหญ่ๆที่ญี่ปุ่นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ไปดูใบไม้เปลี่ยนสี แถบนาโกย่า เกียวโต นารา และได้เข้าวัดในญี่ปุ่นถึงเก้าวัดด้วยกัน แต่บอกตามตรงว่าไม่ได้อินกับวัดเท่ากับไปเห็นใบไม้สารพัดสี ตั้งแต่ เหลือง ส้ม แสด แดง ไล่เรียงกันไป เพื่อนที่ไปด้วยกันก้คบกันมาแต่เก่าแก่ ตั้งแต่สมัยอนุบาล ล้วนแล้วแต่รู้ใจกันดี การท่องเที่ยวครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าจดจำ ยากที่จะลืมเลือน
เรื่องที่ 5 เรื่องความสุขที่สุดของ สว. คือการได้ไป family trip กับลูกหลาน ในเดือนเมษา ปีนี้เราเลือกลงใต้ โดยไปพักที่ เรือนแพที่เขื่อนรัชชประภา แล้วก็ไปพักที่เขาสกรีสอร์ต การเดินทางต้องแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มโลโซมีแจ๊กขับรถ มี แม่ ต้อง จั๊ก และนุช ไปทางรถตู้ กลุ่มไฮโซมีโจ๊ก จิ๊ก นิน ก้อน บินไปลงที่ภูเก็ต ความจริงเราอยากนั่งรถไปเที่ยวด้วยกันเหมือนทุกๆปี แต่ติดที่หลานต้องรีบกลับมาเรียน และมีสายการบินบินตรงจากขอนแก่นไปภูเก็ต จึงทำให้การนัดพบไปเที่ยวด้วยกันสะดวกยิ่งขึ้น เห็นลูกหลานโดดน้ำกันตูมตามที่เขื่อนรัชชประภา ย่าก็สุขไปด้วย แม้จะไม่ได้โดดไปกับเขาด้วยก็ตาม นั่งเรือไปชมความงามของเขื่อน ยามเช้าเย็นด้วยกัน ทานข้าวด้วยกัน กระเซ้าเย้าแหย่กัน แค่นี้ คนเป็นแม่เป็นย่าอย่างเราก็สุขเกิดพอ
เรื่องที่ 6 เรื่องเพลิดเพลินที่สุด ของปีนี้ เปลี่ยนจากเลี้ยงนก เลี้ยงหมา มาเป็น การเลี้ยงปลาคาร์พ ซึ่งขณะนี้มีอยู่เกือบสี่สิบตัว เลี้ยงเป็ด เลี้ยงห่าน เลี้ยงไก่งวง และไก่ต๊อก พอ ตื่นขึ้นมา ก็ให้อาหารปลายามเช้า และเย็น แค่เห็นมันว่ายวนไปมาก็เพลิดเพลินเป็นที่ยิ่ง ว่างๆก็ นั่งมองเป็ด ห่านลอยฟ่องอยู่กลางสระ ได้ยินเสียงเจ้าไก่งวง ไก่ต๊อกจอมซ่า ร้องก๊อกๆๆๆพร้อมๆกัน แถมยังเดินเข้ามาในเขตบ้านแบบนักเลงโต ชีวิตวนเวียนซ้ำๆอยู่กับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ที่สร้างความเพลิดเพลิน มิรู้เบื่อหน่าย
เรื่องที่ 7 เรื่องเจ้าบทเจ้ากลอนเป็นที่สุด ปีนี้ รู้สึกว่าสมองมันโล่งโปร่งและโลดแล่นได้อย่างรวเร็ว ผิดไปจากปีอื่นๆ เห็นอะไรผ่านเข้ามา คิดเป็นบทกลอนได้ไปหมด ดังนั้นปีนี้จึงมีบทประพันธ์เป็นกลอน สั้นบ้าง ยาวบ้าง เขียนเก็บไว้เป็นเล่มบ้าง เขียนโต้ตอบกับเพื่อนบ้าง หรือไม่ก็รำพึงรำพันอยู่ในไลน์ ในเฟสบ้าง ตามแต่อารมณ์จะพาไป
จริงๆถ้าจะคิดให้ละเอียดลงไปแต่ละเดือนก็จะมีไฮไลท์ในแต่ละเดือนอีก เพราะชีวิตไม่ค่อยได้อยู่นิ่งเฉยๆ ได้เดินทาง เข้ากรุงเทพ เพื่อพบปะเพื่อนฝูงแทบไม่เว้นแต่ละเดือน ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆก็หลายจังหวัด ไล่ตั้งแต่ สุโขทัย แพร่ น่าน อุทัยธานี บุรีรัมย์จันทบุรี อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ อุบลราชธานี ลาวใต้ อยุธยา ฯลฯ เดินทางจนเริ่มรู้สึกล้า
ในวัยใกล้จะ 72 หาหมอบ่อยขึ้น มีสัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพมาบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการปวดหัว ท้องไส้เรรวน หวัดลงคอ แล้วตามมาด้วยการไอ สัญญาณนี้เป็นการบอกว่าปีหน้าคงจะต้องเบาการเดินทางลงบ้าง ถ้ายังหวังจะอยู่ไปอีกนานๆ แต่จะว่าไปนะ ถึงอยู่มาแค่นี้ เราก็พอใจแล้ว เรียกว่าในชีวิตก็ค่อนข้างจะสมบูรณ์ในความพอเพียง ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีก