สรุปเหตุการณ์ ปี 2559 หรือ 2016

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 3 มกราคม 2017 เวลา 1:50 (เย็น) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก, ชีวิตกับโรงเรียน, เพื่อน #
อ่าน: 948

วันนี้วันที่ 4 มกราคม 2017 หรือ 2560  มีเวลาว่างเข้ามาเยี่ยมเยียน ลานโรงเรียน  หลังจากไมได้เข้ามาเลยเป็นเวลาสองปีกว่า  เพราะมัวแต่ไปเพลิดเพลินกับเฟสบุคและไลน์มากไปหน่อย  เมื่อกลับมาตรงนี้  พอเปิดดูสารบัญ โอ้โฮ !  ทุกอย่างยังอยู่ครบถ้วน  เป็นระเบียบก่อนหลัง  เปิดอ่านง่าย ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในแต่ละปีที่ผ่านมา  ถ้าจะกลับไปค้นในเฟสบุค  ก็ยากนักหนา  แม้ตอนนี้จะมีการค้นอดีต ขึ้นมาให้อ่านโดยอัตโนมัติ  แต่มาให้อ่านวันเดียว ก็หายเงียบ  อยากจะดูอีกสักครั้ง  ก็หาเจอบ้างไม่เจอบ้าง

อย่ากระนั้นเลย  เรากลับมาบันทึกเรื่องราวที่เป็นที่สุด ในปี 2559 เก็บไว้อ่านเล่นจะดีกว่า  ดูสิว่า มองย้อนกลับไป   เรื่องเด่นๆ ในชีวิตของเราปีที่แล้วมีอะไรบ้าง

เรื่องที่ 1  เรื่องเศร้าที่สุด  ไม่ใช่เฉพาะเราแต่คงเป็นของคนไทยทั้งประเทศ  ก็คงเป็นเรื่องการเสด็จสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 สุดแสนอาลัยในพระองค์ท่าน  ได้เข้าไปกราบพระบรมศพหน้าพระโกศ  แม้จะต้องรอคอยถึง 14 ชั่วโมง และได้กราบเพียง 50 วินาที ก็ถือว่าเป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างหาที่เปรียบมิได้

เรื่องที่ 2  เรื่องปลื้มที่สุด คงไม่พ้นได้บวชลูกชายคนเล็ก  นายปราบ สุวรรณศร  บวชเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม และสึกวันที่ 27 ธันวาคม  ใจจริงอยากให้บวชนานกว่านั้น  แต่เรื่องความอยากของเราจะนำไปบังคับใจคนอื่นไม่ได้  แค่เพียงสามอาทิตย์ที่ลูกบวชและสึกออกมา ก็เห็นว่าลูกได้เรียนรู้้อะไรมาไม่น้อยเลย  คุณแม่ก็เป็นปลื้มสิคะ

เรื่องที่ 3 เรื่องฝันเป็นจริงที่สุด   เมื่อได้ย้ายไปอยู่บ้านปลายนาเมื่อเดือนพฤษภาคม  เป็นความฝันลมๆแล้งๆตั้งแต่ไปซื้อที่เอาไว้สี่ไร่แล้ว ว่าอยากไปอยู่ที่นั่น  ที่ๆมองได้รอบตัว 360 องศา เห็นพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า  และเห็นพระอาทิตย์ตกสวยๆยามเย็น โดยนั่งอยู่ในจุดๆเดิม  แต่จะไปอยู่คนเดียวได้ยังไงในวัยขนาดนี้ วัยที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้เต็มที่ ต้องพึ่งพาคนรอบข้างอยู่บ้าง  แต่แล้วฝันก็เป็นจริงเมื่อ ลูกสาวจิ๊ก จักษรี สุวรรณศร  เกิดคิดตรงกันกับแม่  คิดปลูกบ้านอยู่ที่นั่นเป็นการถาวร เรื่องออกแบบปลูกบ้านก็เลยตกเป็นภาระลูกสาว  ขอแม่แค่ห้องหนึ่งห้องสารพัดประโยชน์   มีแอร์มีมุ้งลวด  พื้นปูปาร์เก้ ห้องน้ำในตัว ด้านหน้าวิวนา  ด้านหลังวิวบ่อน้ำ  ขอแค่นี้เอง ลูกก็เนรมิตรให้ได้ดังใจ  เราแม่ลูกทั้งสองก็ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่บ้านปลายนาอย่างมีความสุขตังแต่พฤษภาคม 2559 เป็นต้นมา

เรื่องที่ 4 เรื่องที่น่าจดจำที่สุด   คงเป็นเรื่องที่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆกลุ่มใหญ่ๆที่ญี่ปุ่นเมื่อเดือนพฤศจิกายน  ไปดูใบไม้เปลี่ยนสี  แถบนาโกย่า เกียวโต นารา  และได้เข้าวัดในญี่ปุ่นถึงเก้าวัดด้วยกัน  แต่บอกตามตรงว่าไม่ได้อินกับวัดเท่ากับไปเห็นใบไม้สารพัดสี ตั้งแต่ เหลือง ส้ม แสด แดง  ไล่เรียงกันไป เพื่อนที่ไปด้วยกันก้คบกันมาแต่เก่าแก่ ตั้งแต่สมัยอนุบาล ล้วนแล้วแต่รู้ใจกันดี  การท่องเที่ยวครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าจดจำ ยากที่จะลืมเลือน

เรื่องที่ 5  เรื่องความสุขที่สุดของ สว. คือการได้ไป family trip กับลูกหลาน ในเดือนเมษา  ปีนี้เราเลือกลงใต้ โดยไปพักที่ เรือนแพที่เขื่อนรัชชประภา  แล้วก็ไปพักที่เขาสกรีสอร์ต  การเดินทางต้องแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มโลโซมีแจ๊กขับรถ มี แม่ ต้อง จั๊ก และนุช ไปทางรถตู้ กลุ่มไฮโซมีโจ๊ก จิ๊ก นิน ก้อน  บินไปลงที่ภูเก็ต  ความจริงเราอยากนั่งรถไปเที่ยวด้วยกันเหมือนทุกๆปี  แต่ติดที่หลานต้องรีบกลับมาเรียน และมีสายการบินบินตรงจากขอนแก่นไปภูเก็ต   จึงทำให้การนัดพบไปเที่ยวด้วยกันสะดวกยิ่งขึ้น  เห็นลูกหลานโดดน้ำกันตูมตามที่เขื่อนรัชชประภา ย่าก็สุขไปด้วย  แม้จะไม่ได้โดดไปกับเขาด้วยก็ตาม นั่งเรือไปชมความงามของเขื่อน ยามเช้าเย็นด้วยกัน ทานข้าวด้วยกัน  กระเซ้าเย้าแหย่กัน  แค่นี้ คนเป็นแม่เป็นย่าอย่างเราก็สุขเกิดพอ

เรื่องที่ 6 เรื่องเพลิดเพลินที่สุด  ของปีนี้ เปลี่ยนจากเลี้ยงนก เลี้ยงหมา  มาเป็น การเลี้ยงปลาคาร์พ  ซึ่งขณะนี้มีอยู่เกือบสี่สิบตัว  เลี้ยงเป็ด  เลี้ยงห่าน เลี้ยงไก่งวง และไก่ต๊อก  พอ ตื่นขึ้นมา ก็ให้อาหารปลายามเช้า และเย็น  แค่เห็นมันว่ายวนไปมาก็เพลิดเพลินเป็นที่ยิ่ง ว่างๆก็ นั่งมองเป็ด ห่านลอยฟ่องอยู่กลางสระ  ได้ยินเสียงเจ้าไก่งวง ไก่ต๊อกจอมซ่า  ร้องก๊อกๆๆๆพร้อมๆกัน แถมยังเดินเข้ามาในเขตบ้านแบบนักเลงโต  ชีวิตวนเวียนซ้ำๆอยู่กับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ที่สร้างความเพลิดเพลิน มิรู้เบื่อหน่าย

เรื่องที่ 7 เรื่องเจ้าบทเจ้ากลอนเป็นที่สุด   ปีนี้  รู้สึกว่าสมองมันโล่งโปร่งและโลดแล่นได้อย่างรวเร็ว ผิดไปจากปีอื่นๆ  เห็นอะไรผ่านเข้ามา คิดเป็นบทกลอนได้ไปหมด  ดังนั้นปีนี้จึงมีบทประพันธ์เป็นกลอน สั้นบ้าง ยาวบ้าง เขียนเก็บไว้เป็นเล่มบ้าง เขียนโต้ตอบกับเพื่อนบ้าง  หรือไม่ก็รำพึงรำพันอยู่ในไลน์ ในเฟสบ้าง ตามแต่อารมณ์จะพาไป

จริงๆถ้าจะคิดให้ละเอียดลงไปแต่ละเดือนก็จะมีไฮไลท์ในแต่ละเดือนอีก  เพราะชีวิตไม่ค่อยได้อยู่นิ่งเฉยๆ ได้เดินทาง  เข้ากรุงเทพ เพื่อพบปะเพื่อนฝูงแทบไม่เว้นแต่ละเดือน  ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆก็หลายจังหวัด ไล่ตั้งแต่ สุโขทัย แพร่ น่าน อุทัยธานี บุรีรัมย์จันทบุรี  อุดรธานี  หนองคาย บึงกาฬ  อุบลราชธานี  ลาวใต้ อยุธยา ฯลฯ  เดินทางจนเริ่มรู้สึกล้า

ในวัยใกล้จะ 72  หาหมอบ่อยขึ้น มีสัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพมาบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการปวดหัว  ท้องไส้เรรวน หวัดลงคอ  แล้วตามมาด้วยการไอ  สัญญาณนี้เป็นการบอกว่าปีหน้าคงจะต้องเบาการเดินทางลงบ้าง ถ้ายังหวังจะอยู่ไปอีกนานๆ   แต่จะว่าไปนะ  ถึงอยู่มาแค่นี้  เราก็พอใจแล้ว  เรียกว่าในชีวิตก็ค่อนข้างจะสมบูรณ์ในความพอเพียง  ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีก


จัดกิจกรรมเสริมให้รู้รักสามัคคีในหมู่คณะ

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 20 กรกฏาคม 2013 เวลา 11:55 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 2758

การจัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ให้โรงเรียนพัฒนาเด็ก (ประชาสโมสร) เดือนละครั้ง

เดือนกรกฎาคม 2556 เป็นครั้งแรกที่จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการให้กับคณะครู ครูพิเศษ และครูพี่เลี้ยง หมดทั้งโรงเรียนร่วมกัน 23 คน ทำแบบย่อๆภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง

จุดประสงค์ก็เพื่อส่งเสริมให้การทำงานเป็นทีมดีขึ้น
รู้จักใจเขาใจเรา รู้จักผ่อนปรนให้อภัยกัน กระชับความสามัคคีและร่วมด้วยช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในรอบเดือนที่ผ่านมา


จุดประสงค์ที่กล่าวมา ล้วนแล้วเป็นนามธรรมทั้งสิ้น ขืนมานั่งบรรยายให้ฟังหรือสั่งว่าต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ก็คงจะเบื่อ อยากหลับ อยากกลับบ้าน (เพราะเป็นช่วงห้าโมงครึ่งถึงหกโมงครึ่งเย็น) กันทั้ง 23 คน ดังนั้น แม่ใหญ่จึงต้องใช้อุบาย ด้วยการหาเกมส์มาให้เล่น เพื่อให้จับต้องได้ รู้สึกได้ เข้าใจได้ และอาจจะนำไปสู่จุดประสงค์ได้ในทางอ้อม

กิจกรรมที่ทำขึ้นได้รับการวางแผนไว้ดังนี้

1. กิจกรรมที่ 1 เกมส์ตาบอดนำทาง ให้คณะครูจับคู่กัน
โดยมีข้อกำหนดว่า ให้อายุของคู่ของตน ไม่ต่ำกว่า 50 และไม่เกิน 80 ปี จูงกันเดิน

ครั้งที่ 1
ให้คนสูงวัยเป็นคนตาบอด

ครั้งที่ 2 ให้คนอ่อนวัยกว่าเป็นคนตาบอด

เปิดเพลงแล้วให้ทั้งคู่จูงกัน เดินตามจังหวะ ไม่ให้ชนกับใคร

แล้วเลือกออกมาสักสามคู่ โดยจับฉลากชื่อ ให้เล่าความรู้สึกในการเป็นผู้นำตาบอด
และผู้ตามตาดี กิจกรรมนี้ห้ามพูดห้ามถามกันโดยเด็ดขาด ( 20 นาที)

2. กิจกรรมที่ 2 เกมส์ โยนกันไปโยนกันมา(10 นาที ) ให้คนแรก ถือปลายไหมพรม แล้วโยนกลุ่มไหมพรมไปยังเพื่อนที่รัก ที่ชอบ คนที่ได้รับจับเส้นไหมพรมไว้ก่อนโยนต่อไปเรื่อยๆจนครบทั้ง 23 คน
แล้วให้แก้ด้วยการโยนกลับ ให้อยู่เป็นม้วนเหมือนเดิม ให้ช่วยกันวิจารณ์ ข้อคิดที่ได้จากเกมส์นี้ ว่า มันสะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง

3. กิจกรรมที่ 3
บทบาทสมมุติแก้ปัญหา
แบ่งกลุ่ม แก้ปัญหาสามข้อ ที่เป็นปัญหาจริง ในโรงเรียน ให้พูดคุยกัน ในกลุ่ม
แล้วมาเสนอทางแก้ ( 15 นาที)

4. แจกชีทงาน ข้อคิดจากจี้กง เรื่อง ถ้าเขาทำกับเราแบบนี้ เราจะทำอย่างไรตอบ ให้ครูเติม
ความคิดเห็นของตนเองลงไปในช่องว่าง แล้วเฉลยว่าจี้กงคิดอย่างไร คุณคิดอย่างไร ( 10 นาที)

5. แม่ใหญ่สรุปส่งท้าย( 5 นาที)

ผลจากการปฏิบัติจริง
กิจกรรมที่ 1ตาบอดนำทาง ให้คนสูงอายุปิดตาก่อน แล้วให้คนอ่อนวัยกว่าจับเอวเดินตามหลัง แล้วจึงให้คนอ่อนวัยกว่าปิดตาบ้าง คนสูงวัยเดินตาม
ได้ข้อสรุปดีดีจากรายชื่อที่เราจับฉลากขึ้นมา 3 คน ว่า
การเดินแบบมองไม่เห็น รู้สึกไม่มั่นใจ แต่รู้ว่าคนอยู่ข้างหลังได้ใช้สัมผัสคอยช่วยนำทางให้จนไม่ชนกับใคร


คนเดินตามบอกว่ามั่นใจเพราะเห็นทางอยู่ แต่ต้องคอยทำสัญญาณบอกคนนำเหมือนกัน ถ้าคนนำกำลังหลงทางไปชนกับใครไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย


คู่ที่อายุไล่เลี่ยกันหน่อยจะรู้สึกว่า เชื่อมั่นในกันและกัน
พากันเดินสบายๆแถมเต้นตามเพลงได้ด้วย เพราะสามารถใช้ภาษากายสื่อกันได้อย่างถนัดกว่า

ความจริงกิจกรรมนี้ถ้าให้พูดทุกคู่ น่าจะได้ข้อคิดอีกมาก
แต่เนื่องจากเรามีเวลาแค่ช.ม.เดียว จึงเลือกมาเป็นตัวอย่างแค่สามคน แม่ใหญ่ถือโอกาสเสริมเข้าไปเล็กน้อยว่า การทำงานร่วมกันระหว่างผู้สูงวัยกับผู้อ่อนวัย
(
ซึ่งเป็นสภาพจริงของโรงเรียนที่มีช่องว่างระหว่างครูรุ่นเก่ากับครูรุ่นใหม่ค่อนข้างมาก)
จำเป็นต้องปรับตัวเขาหากันและประคับประคองกัน ให้ใช้ประสบการณ์ของคนเก่าผสม นวตกรรมของคนใหม่
ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ความไม่รู้ ทั้งสองฝ่ายก็เปรียบเหมือนตอนที่ตัวเองปิดตา
ตาบอด เดินนำเขา ต้องอาศัย ความรู้ ของคนเปิดตา ช่วยบอกช่วยนำด้วย และไม่จำเป็นต้องพูด ก็สามารถใช้กายสัมผัสหรือความรู้สึกบอกกันได้
เพื่อให้งานของทั้งสองคนผ่านไปได้ด้วยดี

กิจกรรมโยนกันไปโยนกันมา
เริ่มด้วย แม่ใหญ่เปิดเพลงเร้าใจ ครูก็เล่นสนุก ปาก้อนไหมพรมกันอย่างเมามัน ใครรักใครชอบใคร
สังเกตได้ตอนนี้ พอปาครบทั้ง 23 คน แม่ใหญ่ก็ปิดเพลงถามว่า สนุกไหม
แล้วถามคนที่ได้รับการปาเป็นคนสุดท้าย (ซึ่งส่วนมากเป็นครูรุ่นใหม่…แสดงว่ายังไม่ค่อยมีใครคุ้นเคยเล่นด้วยเท่าไหร่) ว่ารู้สึกยังไง ก็บอกว่า รออยู่ ไม่เห็นใครปามาให้สักที แต่ก็ไม่กังวลเพราะรู้ว่าในที่สุดก็จะต้องได้รับม้วนไหมพรมจนได้ แล้วแม่ก็ให้สังเกตดูผลงานที่เกิดจากความสนุกของตัวเอง ว่าสวยไหม ทุกคนก็มองใยแมงมุมไหมพรมที่กางสับไปสับมาอยู่ข้างหน้า ว่ามองดูสวยดี เป็นผลงานของทุกคนร่วมกัน

คราวนี้แม่ใหญ่ ออกคำสั่งใหม่ พร้อมเปิดเพลงอีกครั้ง บอกว่าให้ทำยังไงก็ได้
ให้ไหมพรมกลับมารวมกลุ่มอย่างเดิม ภายในเวลา 3 นาที ก่อนที่เพลงจบ คราวนี้ทุกคนชะงักเล็กน้อย
มีเสียงบางเสียงดังออกมาว่า เดินไปมาดีไหม…. บางคนก็ว่า…. แบบนี้อีกเป็นชั่วโมงก็ยังแก้ไม่ได้…. บางคนก็บอกให้เริ่มโยนกลับไปให้คนที่ปามาสิ…. คนที่ถือปลายตอนเริ่มแรกกับปลายตอนจบเริ่มหันรีหันขวาง…ตะกุกตะกักกันอยู่สักครู่

พอแม่ใหญ่เปิดเพลง ด้วยความสามารถในการแก้ปัญหาของกลุ่มร่วมกัน ภายในสามนาที ไหมพรมก็กลับมารวมเป็นกลุ่มได้เหมือนเดิม แม้จะแยกออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มเริ่มต้นก็ม้วนเข้าไป และกลุ่มปลายสายก็ม้วนเข้ามาหา
กิจกรรมนี้ได้ข้อคิดจากครูอีกสามท่านว่า

การทำงานเป็นทีมต้องร่วมมือกันทำ


เมื่อมีปัญหาต้องช่วยกันแก้


การจดจำและสังเกตว่าได้ทำอะไรไว้จะช่วยให้การแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น

แม่ใหญ่เสริมให้เห็นภาพความจริงของครูในโรงเรียนว่า เกมส์นี้สะท้อนให้เห็นภาพของการทำงานของคุณครูจริงๆว่า กิจกรรมหรือโครงการต่างๆที่ผ่านมาในโรงเรียนที่สำเร็จลงไปด้วยดีนั้น เพราะความร่วมมือร่วมใจกันของคณะครู เห็นศักยภาพของครูทั้งในเกมส์และในสถานการณ์จริง อย่างไม่มีข้อสงสัย

ขอให้รักษาความสามารถนี้ไว้ตลอดไป


กิจกรรมร่วมด้วยช่วยกันแก้ปัญหา
แม่ใหญ่ให้เขาเลือกอยู่กลุ่มต่างๆ 3 กลุ่ม ใครที่คิดว่าตาเป็นประโยชน์ ในการสื่อสาร ให้ไปอยู่รวมกัน ใครที่ใช้ หูเป็นประโยชน์ ก็อยู่อีกกลุ่มหนึ่ง และใครที่ใช้ ปากเป็นประโยชน์ ก็ให้อยู่อีกกลุ่ม ผลการรวมกลุ่ม ออกมาว่า
มีคนบอกว่า หูสำคัญมีแค่ 2 คน คนที่บอกว่า ปากสำคัญ มีแค่ 3 คน ที่เหลืออีก 18 คนบอกว่า ตาสำคัญที่สุดในการสื่อสาร ความจริงแค่การแบ่งกลุ่มนี้ก็จะเข้าเรื่องไดอาล๊อกกันได้ยาว แต่วันนี้ไม่มีเวลาเลย จะยกยอดไว้คราวหลัง วันนี้ให้ช่วยกันแก้ปัญหาในโรงเรียนเสียก่อน

แม่ใหญ่ส่งปัญหาสามข้อให้กลุ่มละข้อ ดังนี้

กลุ่มหู แก้ปัญหาเรื่อง เวลาเรียนพิเศษ 5 โมงแล้ว
หมดเวลาสอน แต่ครูผู้สอนยังสอนไม่จบได้ในทันที ครูเวรทำสะอาดเข้ามากวาดขณะกำลังสอน เพราะอยากกลับบ้านเร็ว ครูผู้สอนรู้สึกไม่พอใจคิดว่าทำไมไม่บอกกล่าวกันก่อนดูเหมือนไม่มีมารยาท ทั้งสองฝ่ายควรแก้ปัญหาอย่างไร

กลุ่มตา
แก้ปัญหาเรื่อง ครูเวรประตู ทิ้งประตูไปส่งเด็กที่รถ ทำให้ตรงประตูว่าง เด็กอาจวิ่งออกไป และอาจเกิดอุบัติเหตุ จากรถที่ตามหลังมา อาจโดนรถชนได้ ช่วยกันแก้ปัญหานี้

กลุ่มปาก แก้ปัญหาเรื่อง ครูผู้สอนคนหนึ่งกำลังสอนอยู่หน้าห้อง มีเด็กป่วนอยู่สองสามคน ไม่ยอมเข้าวง มีครูผู้ช่วยหนึ่งท่านช่วยดูแลความเรียบร้อยอยู่ เหตุการณ์นี้มีเสมอในทุกๆห้อง ขอให้เสนอแนะวิธีการแก้ไข


ให้เวลาแค่ห้านาทีในการปรึกษาและอีกห้านาทีในการเล่าถึงการแก้ปัญหา และเราก็ได้ข้อคิดที่ดีจากกลุ่ม ดังนี้

กลุ่มหูก็บอกว่าต้องแก้กันทั้งสองฝ่าย คนสอนก็ควรเลิกให้ตรงเวลา คนเข้าไปกวาดถ้ารีบจริงๆก็ควรไปกวาดบริเวณรอบๆก่อนหรือไม่ก็ควรขอโทษสักนิด

ปัญหาของข้อนี้คือการไม่พอใจกัน แต่ไม่พูดกันตรงๆ
แก้ได้ด้วยการมีมารยาท และการตรงต่อเวลา


กลุ่มตา สรุปว่าคนที่อยู่ตรงประตูสำคัญที่สุด ไม่ควรทิ้งประตูเลย แต่ก็ไม่ควรให้ทำอยู่คนเดียวควรเปลี่ยนหน้าที่กัน
ระหว่างเวรทั้งสองคน และครูอื่นๆที่อยู่ตามห้องหรือบริเวณสนาม เมื่อได้ยินเสียงเรียก ก็ควรส่งเด็กให้ที่เวรประตู
ไม่ใช่ต้องให้เวรประตูทิ้งประตูไปจูงเด็ก (โดยเฉพาะเด็กกลุ่มเล็กสุดที่ยังลงบันไดไม่ถนัด)
ปัญหาข้อแก้ได้โดย ต้องรู้จักพุดกัน บอกกัน แบ่งงานกัน รู้จักหน้าที่ของตนเอง และเข้าใจว่าอะไรสำคัญที่สุดที่ถ้าทิ้งไปอาจเกิดอันตรายได้

กลุ่มปาก แก้ปัญหาว่าไม่ควรทิ้งเด็กป่วนให้ครูผู้ช่วยรับผิดชอบทั้งหมด ควรเอาเด็กป่วนมาไว้ข้างๆตนเองด้วย
สักคน ครูผู้ช่วยเองต้องคอยดูแล อำนวยความสะดวกให้ครูผู้สอน เพื่อให้สอนไปได้อย่างไม่ติดขัด
และต้องไม่ส่งเสียงรบกวนการเรียนการสอนของครูผู้สอน
ปัญหาข้อนี้แก้ได้ด้วย การทำงานเป็นทีม การรู้หน้าที่การกล้าบอกกล้าขอร้องเมื่อมีอะไรไม่เข้าใจกัน


กิจกรรมสุดท้าย แจกชีทงาน
ให้ทำดังนี้

เขาทำอย่างนี้ เราควรทำยังไง

เขาพูด…..

เขาติ…..
เขาใช้….
เขาให้…..
เขาดี…..
เขาขอ…..
เขาบ่น…..
เขาเขลา…..
เขากลุ้ม….
เขาโกรธ…..
เขาด่า….

เขาเฉย…..
สยบใจเขา ต้อง ” ………………….”

พอทำเสร็จก็นำเอาคำกล่าวของท่านจี้กงมาเฉลยให้ฟังดังนี้

เขาทำอย่างนี้ เราควรทำอย่างไร

เขาพูด….. ให้คิดบวก

เขาติ….. ให้คิดใหม่

เขาใช้…. ให้ทำไป

เขาให้….. ให้ขอบคุณ

เขาดี….. ให้ดีต่อ

เขาขอ….. ให้ให้เขา

เขาบ่น….. ให้ทนเอา

เขาเขลา….. ให้ตักเตือน

เขากลุ้ม…. ให้เราปลอบ

เขาโกรธ….. ให้เราเฉย

เขาด่า…. ให้เดินเลย

เขาเฉย….. เพราะเราเย็น

สยบใจเขา ต้อง “สงบใจเราให้เป็น”


คุณครูต่างก็ตรวจผลงานตัวเองกันใหญ่ว่าใครคิดใกล้เคียงท่านจี้กงกันบ้าง
แม่ใหญ่เก็บชีทเอามาอ่านที่บ้านแล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะท่าน ผ.อ. ลูกชายแม่ใหญ่เอง ที่เป็นกระทิงเปลี่ยวมุทะลุ แต่มีหนูผสมอยู่ในตัว ตอบคำถามได้ทะลุทะลวงมาก เดือนหน้าต้องเอาไปเผากลางที่ประชุมสักหน่อย

การสัมมนาเชิงปฏิบัติการก็จบลงภายในระยะเวลา1 ช.ม. ตามกำหนด
คุณครูก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้กลับบ้านตรงเวลาหลังจากได้มีเวลามาเล่นเกมส์สนุกกับเพื่อนร่วมงานทั้งโรงเรียน ที่แฝงทัศนคติเล็กๆน้อยเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับผู้อื่น



ทดสอบความเคยทำ

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 28 พฤษภาคม 2013 เวลา 8:34 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1486

วันนี้มาลองเล่นกับหน้าบล็อกลานปัญญาอีกครั้ง  เพราะไม่ได้เข้ามาเขียน มาจัดการ มาออกแบบบล็อกจนลืมวิธีไปหมด  แต่หังจากรื้อฟื้นไม่นาน  ความจำเดิมก็ถูกดึงออกมาได้เกือบหมด แต่ก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงทีเดียว   ได้ลองเปลี่ยน Theme Display Option หลายแบบ รวมทั้งเปลี่ยน รูปภาพของ Header เป็นวิวสวยยามฟ้าสางจากหน้าต่างบ้านหลังใหม  ยังไม่ได้รื้อฟื้นวิธีใส่ภาพ ประกอบคำบรรยายที่เคยทำได้มาก่อนหน้านี้  แต่รู้สึกว่านั่งหน้าจอคอมพ์นานเกินไปแล้ว คงต้องพักก่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาต่อใหม่


หนึ่งปีจากบันทึกที่แล้ว ทำอะไรไปบ้างเอ่ย

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 28 พฤษภาคม 2013 เวลา 6:01 (เช้า) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก #
อ่าน: 1485

หนึ่งปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก เปิดอ่านบันทึกล่าสุด เขียนไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2512 ตอนนั้นกำลังปรับปรุงบ้านเก่าๆหลังใหญ่หลังหนึ่งเพื่อเปิดเป็นเนอรสรี่สำหรับเด็ก สามเดือนถึงสามขวบ พอปรับปรุงเสร็จก็ย้ายตัวเองจากเพนท์เฮ้าส์บนชั้นสามของโรงเรียนพัฒนาเด็ก(ประชาสโมสร) มาอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ น่ารัก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังใหญ่ที่มาปรับปรุงเป็นเนอรสรี่ ตั้งชื่อบ้านสมลักษณะว่า My Little Hut (รูปการปรับปรุงบ้านหลังใหญ่ และบ้านหลังน้อย อยู่ใน album ในเฟสบุคแล้ว) เราก็คิดว่าจะได้พำนักพักอยู่บ้านนี้ไปอีกนานๆ

เปิดเนอรสรี่เสร็จก็มอบหมายให้ลูกสาวสุดท้อง ที่ไปสร้างบ้านอยู่ปลายนา กับสามีสังข์ทองหัวหยอง มาเป็นผู้บริหาร ซึ่งเธอก็เต็มใจทำการบริหารตามวิชาที่เธอได้ไปร่ำเรียนมาจากสำนักในออสเตรเลียเป็นอย่างดี เธอบริหารได้ไม่กี่เดือน “พัฒนาเด็กเนอรสรี่” ก็เฟื่องฟู ได้รับความนิยม จนเด็กล้นเกินร้อย เราก็เลยมานั่งชั่งใจดูว่า ถ้าปิดบ้าน Little Hut แล้วเปิด เป็นห้องเรียนได้อีกห้อง ก็จะสามารถรับเด็กได้อีก 25 คน พอคิดได้ แล้ว อย่ากระนั้นเลย บ้านรังแตนหลังเก่าเราก็ว่างอยู่ กลับนิวาสถานเดิมจะดีกว่า ตัดสินใจเสร็จสรรพ ก็เริ่มใช้นิ้วชี้บรรเลง บอกให้พนักงานย้ายของต่างๆกลับบ้านรังแตน ซึ่งก็ไม่ยากอะไร เพราะของยังไม่มากนัก เพิ่งอยู่ได้ไม่ถึงหกเดือน

กลับมาอยู่ที่บ้านเก่ารังแตน ลูกสาวคนโตก็ส่งโปรเจ็คใหญ่ให้ดำเนินการอีก ซึ่งคราวนี้เป็นงานยักษ์ นั่นคือ วางแผนสร้างตึกใหม่ เพื่อรองรับนักเรียนประถมหนึ่งถึงประถมหก งานนี้ต้องหาที่ใหม่เพื่อย้ายบ้านเก่าสองหลังออกจากเนื้อที่เดิมเพื่อสร้างตึก ต้องหาคนออกแบบ ต้องติดต่อหากู้เงิน ลูกสาวคนโตที่เป็น ผู้อำนวยการโรงเรียนพัฒนาเด็ก English Program บอกว่า งานนี้ขอแม่ออกแรงช่วยอีกสักงานแล้วจะให้พักยาววววว จริงๆ

หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ก็เลยได้ที่ใหม่มาหนึ่งผืน ได้บ้านใหม่ซึ่งย้ายมาจากที่ดินผืนเก่า มาอีกสองหลัง คือ “เรือนสุวรรณศร” ให้ลูกชายคนโตและครอบครัวอยู่ และได้ “บ้านใจสว่าง” ให้เป็นของลูกชายคนกลางที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งจะกลับมาบ้านทุกสองอาทิตย์ และ “บ้านใจสว่าง” นี่เอง เป็นที่มาให้เราต้องย้ายนิวาสถานอีกครั้ง เพื่อเฝ้าบ้านให้ลูกชาย แต่ก็ทำด้วยความเต็มใจ และตั้งใจมา ด้วยนิสัยที่อยู่ไม่เป็นที่ ย้ายไปบ้านโน้นทีบ้านนี้ที นับบ้านไม่ถ้วนตั้งแต่มาอยู่ขอนแก่น และก็ชอบคุมการก่อสร้าง ปลูกต้นไม้ เป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว

บ้านสองหลังนี้อยู่ในบริเวณเดียวกันบนพื้นที่หนึ่งไร่ ลูกชายคนโตชอบสังคม มีมนุษยสัมพันธ์ดี เลือกอยู่อยู่ด้านหน้า หันหน้าออกถนน ส่วนน้องชายเป็นศิลปินเงียบขรึม ชอบสันโดษ เลือกที่จะสร้างบ้านหันหน้าเข้าท้องนา สองบ้านนี้เลยหันหลังชนกัน โดยมีบริเวณโรงงานซึ่งใช้เก็บของต่างๆจากโรงเรียนมาเป็นกันชน อยู่ตรงกลาง ส่วนเราก็ได้ย้าย(อีกครั้ง)เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2513 นี้เอง โดยตามมาอยู่บ้านที่อยู่ติดท้องนา ชอบวิวทิวทัศน์ อากาศสดชื่น ได้มีเวลาปลีกวิเวก ปลูกต้นไม้ ปลูกผัก ทำโน่นทำนี่ ไม่ได้มีเวลาว่างเหมือนกัน มาอยู่คนเดียวในบ้านหลังกะทัดรัด แต่ก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เมื่อไหร่อยากพูดอยากคุยก็เดินไปหาลูกหาหลานที่บ้านอีกหลังที่อยู่ไม่ไกลจนเกินไป

โปรเจคโรงเรียนก็กำลังอยู่ในขั้นตอนติดต่อกู้เงินธนาคาร เพราะขณะนี้แบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้อนุมัติเงินเมื่อไหร่ก็ได้ลงมือก่อสร้างทันที


ระบบป้องกันน้ำท่วมบ้าน

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 18 เมษายน 2012 เวลา 6:45 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 2122

ช่วงนี้ยุ่งๆอยู่กับเรื่องการคุมงานก่อสร้าง ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นผู้ชำนาญการอะไร อาศัยว่าทำโรงเรียนมาสามสิบกว่าปี ปิดเทอมทีไรต้องต่อโน่นซ่อมนี่อยู่เป็นประจำ ก็พอจะเดินดู เดินติ ต่อรองกับช่าง ขอเพิ่มนั่น ลดนี่อยู่ได้พอประมาณ

งานในปีนี้นอกเหนือจากงานอดิเรกทั้งหลายแล้ว ได้รับมอบหมายจากท่าน ผ.อ.(ลูกสาว) ให้ดูแล ติดต่อ ควบคุม และก่อสร้างตึกเรียนใหม่ขนาดสิบสองห้องเรียน ให้ทันปีการศึกษา 2556 ซึ่งถ้าจะไปสร้างบนที่ดินว่างๆก็คงไม่ยากอะไร แต่นี่จะต้องสร้างบนที่ดินผืนเดิม ซึ่งมีอาคารต่างๆสร้างอยู่ก่อนแล้ว จึงจำเป็นต้องวางแผนรื้อถอน โยกย้าย ก่อนก่อสร้าง เป็นการใหญ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องการ ย้ายเนอรสรี่เด็ก ไม่เกินสามขวบออกจากที่เดิม เพราะต้องการเนื้อที่ไปสร้างโรงเรียนประถม

เวลาก็มีจำกัดมากเพียงช่วงหยุดเทอมใหญ่เท่านั้น ดังนั้นจึงไปเช่าบ้านเก่าหลังหนึ่ง ไม่ไกลจากโรงเรียนเดิม แล้วปรับปรุงใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ได้สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็กจำนวน 120 คน

ได้ไปเชิญชวนน้องชาย ปรัชญ์ สุวรรณศร ที่เป็นสถาปนิกมาช่วยออกแบบปรับปรุงให้และเริ่มมาได้ สามเดือนแล้ว จะเปิดดำเนินการให้ได้ ภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้

บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่า ต่ำกว่าถนน เพราะสร้างมานานแล้ว สถาปนิกจึงต้องคิดหนักเรื่องน้ำท่วม ได้ทำเป็นร่องระบายน้ำรอบบ้าน และขุดบ่อเอาไว้เป็นที่พักน้ำเพื่อสูบทิ้งท่อของเทศบาลต่อไป

เราเองไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ยอมรับในการออกแบบของน้องในเรื่องของประโยชน์ใช้สอยและความสวยงาม แต่ไม่ชอบบ่อพักน้ำเลย เพราะทั้งลึกและกว้างมองแล้วทั้งดูไม่สวยและไม่ปลอดภัยสำหรับสถานรับเลี้ยงเด็ก ต่อให้ล้อมรั้วรอบบ่อ ก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจอยู่ดี

คิดไปมาหลายตลบ นึกขึ้นได้ว่า กิ๊กเก่าเป็นวิศวกร สิ่งแวดล้อม มีชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องระบบน้ำ ไปเป็นที่ปรึกษาที่โน่นที่นี่เป็นประจำ เลยโทรไปหา จิรศักดิ์ จินดาโรจน์ (ไม่ใส่สถานะนำหน้าเพราะจำไม่ได้ว่ามีสถานะอะไรบ้าง ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่สนใจเท่าไหร่อยู่แล้ว) เล่าปัญหาให้ฟัง กิ๊กก้ดีใจหายมาดูให้ทันใจ บอกงานแค่นี้ง่ายนิดเดียว แล้วก้เขียนแบบมาให้ในวันรุ่งขึ้น พร้อมเรียกช่างมาทำให้ด้วย ซึ่งแบบที่เขาเขียนมาง่ายๆนี้น่าสนใจ คนไม่เป้นช่างอย่างเรายังดูแล้วพอเข้าใจ มีทางน้ำไหลออกไปเข้าท่อเทศบาล และมีที่กักน้ำจากท่อเทศบาลไม่ให้เข้าบ้านได้อีกด้วย เขาบอกว่าแบบนี้ถ้าคนกรุงเทพที่กลัวน้ำท่วมปีหน้าจะนำไปใช้บ้าง แกก็จะถือเป็นวิทยาทาน ดังนั้นจึงขอเอาแบบมาลงไว้ในหน้านี้ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นที่สนใจด้วย

ใช้อุปกรณ์เป็นท่อส้วมขนาด 80 ซ.ม. แค่ 6 ท่อ พร้อมฝาปิด 4 ฝา และท่อเชื่อมพี่วีซีอีกไม่มาก ตามแบบ บ่อก็ถมไปใช้เป็นสนามเด็กได้ ไม่ต้องมีบ่อน้ำมาให้ต้องกังวล เรื่องแบบนี้มันต้องอาศัยมืออาชีพ ถึงจะแก้ได้ดังใจ หวังว่าแบบนี้คงจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังจะคิดควบคุมน้ำท่วมในปีหน้าได้บ้างไม่มากก็น้อย



Main: 0.22400808334351 sec
Sidebar: 0.066511869430542 sec