สอบผ่านวิชาชาวนา

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 5 เมษายน 2012 เวลา 7:40 (เช้า) ในหมวดหมู่ รวมกลุ่มทำนา #
อ่าน: 1522
ไม่ได้เข้าลานเลยตั้งแต่นาล่ม มาวันนี้ต้องเข้ามาเขียนอีก เพราะประสบความสำเร็จกับการทำนาปรังรอบที่สอง ทำการเก็บเกี่ยวไปแล้ว เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2555 นาเกือบๆสองไร่ ได้ข้าวมา ตันกว่าๆ ภูมิใจและมีความสุขมาก จนต้องกลั่นกรองออกมาเป็นร้อยกรอง
“ข้าวทุกเม็ดมีค่าน่าถนอม ทั้งหวานหอมไร้เคมีที่มากหลาย จากน้ำพักน้ำแรงทั้งใจกาย เห็นเม็ดข้าว เหนื่อยมลายไปทันที”
ซุ่มซ้อมทำนาปรังมาตั้งแต่ปลายธันวา ตั้งแต่หว่านกล้า ดำนา ใช้เทคนิคเปียกสลับแห้งแกล้งข้าว ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ สองครั้ง แล้วก็เฝ้าดูการเจริญเติบโต มาเป็นระยะๆ ตั้งแต่เป็นหน่อเล็กๆ จนแตกกอ ตั้งท้อง ออกรวง และเปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนมาเป็นสีทองเต็มทุ่ง
วันที่ 3 เป็นวันเกี่ยวข้าว เนื่องจากคนไม่พร้อม และพายุฤดูร้อนทำท่าจะเข้าขอนแก่น แผนเดิมที่จะเกี่ยวด้วยกำลังคน จึงต้องเปลี่ยนเป็นใช้รถเกี่ยวแทน ซึ่งก็ทำงานว่องไวมาก ภายในครึ่งชั่วโมงก็เกี่ยวข้าวเกือบสองไร่ได้เรียบร้อย พ่นเมล็ดข้าวออกมาจากท่อได้ตันกว่าๆ ซึ่งขณะนี้นำมาตากบนลานอีกสักสองสามแดด ก่อนเก็บใส่กระสอบไว้สีเป็นข้าวสารต่อไป
ได้โทรหาพ่อกว้างที่พุทไธสงค์ ให้ทำเครื่องสีมือไว้ให้ กำหนดไปรับหลังสงกรานต์ คงได้แวะไปเยือนพ่อครูและแอบไปดูหมู่บ้านโลกของคุณ Logos ด้วย ตลอดเวลาที่เก็บตัวเงียบเชียบ ไม่เขียน แต่ก็ติดตามอ่านเรื่องราวต่างๆในลานมาโดยตลอด
วันนี้ขอกลับมา
อีกครั้ง และอยากจะบอกว่า
“ผ่านวิชาชาวนา” แล้ว


ปิดฉากการทำนาครั้งแรก

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 27 กันยายน 2011 เวลา 6:54 (เย็น) ในหมวดหมู่ รวมกลุ่มทำนา #
อ่าน: 1678

เมื่อวานออกไปดูนาข้าวสองไร่  ที่หวังจะได้เกี่ยวช่วงวันพ่อ ปรากฏว่า น้ำท่วมยอดข้าวเสียแล้ว  เพราะน้ำล้นเขื่อนอุบลรัตน์ ต้องปล่อยน้ำออกเต็มที่ และกรมอุตุแจ้งว่า  ไต้ฝุ่นกำลังเข้ามาอีกสองลูก  ชลประทานบอกระบายน้ำไม่ทัน เพราะทางปลายสาย คือ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด มวลน้ำก้อนใหญ่ จากชัยภูมิ ก็ไหลมาตามแม่น้ำชี  ผ่านเข้าขอนแก่น  และจะไปทำให้ปลายน้ำก็มีระดับสูง จนระบายน้ำออกจากขอนแก่นไม่ได้ ดังนั้น ขอนแก่นปีนี้ ก็จะต้องเจอน้ำท่วมขังเหมือนกัน  นานเท่าไร  ยังไม่แน่นอน

นาตัวเองแค่สองไร่ ยังใจหาย  แต่สงสารนาคนอื่นๆมากกว่า โดยเฉพาะชาวนาทั้งหลายที่ปลูกข้าวเป็นอาชีพ  ป่านนี้คงเป็นทุกข์แทบหัวอกระเบิด    อยากจะปลอบว่าไม่เป็นไรนะ น้ำลดแล้ว เดี๋ยวเริ่มทำนาปรังกันใหม่  เพราะเรื่องของธรรมชาติ  มันเกินความสามารถที่จะควบคุมจริงๆ    ผู้ว่าเสนอนโยบายว่า  ปีต่อๆไป ชาวนาขอนแก่น ตามแนวเขตชลประทาน เลิกทำนาหน้าฝน  ให้ทำหน้าหนาวแทน    ก็จะลองทำตามที่เขาบอกมา  ไม่ทราบว่าถึงตอนนั้น  เขาจะมีน้ำปล่อยมาให้เราพอเพียงปลูกข้าวหรือเปล่า 

ทำนาปีแรก ได้บทเรียนจริงๆ

 


ความสุขของ ส.ว.

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 8 กันยายน 2011 เวลา 7:43 (เช้า) ในหมวดหมู่ งานอดิเรก #
อ่าน: 1411

เพื่อนส่งบทความภาษาอังกฤษมาให้ นึกสนุกแปลและเขียนเป็นกลอนอยู่จนรุ่งเช้า มันอินจริงๆช่วยไม่ได้ 

As I’ve aged, I’ve become kinder to myself, and less critical of myself.  I’ve become my own friend.

I have seen too many dear friends leave this world too soon, before they understood the great freedom that comes with ageing

Whose business is it if I choose to read, or play on the computer, until 4 am, or sleep until noon?  I will dance with myself to those wonderful tunes of the ’60s & ’70s, and if I, at the same time, wish to weep over a lost love, I will

I will walk the beach, in a swimsuit that is stretched over a bulging body, and will dive into the waves with abandon, if I choose to, despite the pitying glances from the jet set.

They, too, will get old.

I know I am sometimes forgetful.  But then again, some of life is just as well forgotten. And I eventually remember the important things.

Sure, over the years my heart has been broken.  How can your heart not break when you lose a loved one, or when a child suffers, or even when somebody’s beloved pet gets hit by a car?  But broken hearts are what give us strength, and understanding, and compassion.  A heart never broken is pristine and sterile, and will never know the joy of being imperfect.

I am so blessed to have lived long enough to have my hair turning grey, and to have my youthful laughs be forever etched into deep grooves on my face.

So many have never laughed, and so many have died before their hair could turn silver.

As you get older, it is easier to be positive. You care less about what other people think. I don’t question myself anymore.

I’ve even earned the right to be wrong.

So, to answer your question, I like being old.  It has set me free.  I like the person I have become.  I am not going to live for ever, but while I am still here I will not waste time lamenting what could have been, or worrying about what will be. And I shall eat dessert every single day (if I feel like it).

 

  • เมื่อผ่านวัย ต้องใจดี กับตัวเอง            ไม่ติเก่ง  ให้ตนเอง ต้องหมองหมาง

มีแต่เรา เป็นเพื่อน ร่วมหนทาง                              เพราะเพื่อนต่าง  ค่อยๆตาย  ไปทีละคน 

จากไปก่อน รู้ชีวิต อิสรภาพ                                 ที่มาทาบ กับวัยทอง อย่างเข้มข้น

ใช่ธุระ ของใครเลยสักคน                                       เล่นคอมพ์จน ตีสี่  นี่จะทำ

 อ่านหนังสือ  แล้วตื่นมา  เมื่อคราเที่ยง               นอนฟังเสียง  เพลงเก่า ที่คราวคร่ำ

จะลุกขึ้น  หมุนเล่นแล้ว  เต้นรำ                            หรือจะพร่ำหารัก ที่จากไกล

  • จะเดินท่า กรุยกรายชายหาดขาว         บิกินี่  โชว์พาว   คราวพุงใหญ่

จะดำน้ำ โต้คลื่น ไม่แคร์ใคร                 สายตาไหน  มองมา ข้าไม่เกรง

เอ็งไม่แก่ บ้างแล้วไป จริงไหมวะ          สักวันจะ  ต้องปลง  อย่างตรงเผง

จะลืมหน้า จำไม่ได้  ไหนตัวเอง            แต่เรื่องเก่ง เก็บเอาไว้ชื่นใจเรา

เรื่องร้ายๆลืมไปเสียให้หมด                  ใจจะสด ถ้านึกถึง สุขเก่าๆ

อ๋อแน่ละ  เคยอกหัก  มาไม่เบา             ทำไมเล่า จะยังจำ  ให้ซ้ำเติม 

  • ยามสิ้นชาย ไร้คนมอง  คิดปองรัก          หมามาตาย  ตรงหน้าตัก  อย่าทุกข์เพิ่ม

 เพราะความทุกข์  จะสร้างใจให้เหิมเกริม           เกิดแรงเสริม   ความเข้าใจ  ได้อย่างดี

อันผู้ใด ไร้รัก และไร้ทุกข์                                       จะรู้จัก  ความสุข ได้หรือนี่

อันสุขนั้นเกิดได้ แม้ไม่มี                                        เพราะทุกอย่างอยู่ที่ใจของเรา

  • ฉันโชคดีตรงที่มีโอกาส              อายุยืน  อย่างมีมาด    จนผมขาว  

แต่หัวเราะ  ดังๆได้ เหมือนวัยเยาว์          แม้จะเคล้า   กับตีนกา มา กรุ้มรุม

ใครบางคนไม่เคยได้ขบขัน                    ตายก่อนวัน   มีชีวิต จิตสุขสม

เมื่อชีวิต ค่อยๆก้าว  เข้าถึงมุม                 ควรเลิกกลุ้ม  ทำหัวใจ ให้เบิกบาน

มองอะไร  มองให้  ไปทางบวก               แล้วผนวก  ด้วยความสุข   สนุกสนาน

ไม่สนใคร ไม่แคร์  ความแก่กาล              ไม่ไขขาน   ถามคำว่า “ทำไม”

  • รับทั้งนั้น มั่นใจ  ในถูกผิด                      ใช้ชีวิตในวัยทองไม่หมองไหม้

เพราะว่าได้  เดินรุด สุดทางไกล                              จะวางใจ ให้สบายไม่จาบัลย์

ไม่วาดหวัง อะไร ในภายหน้า                              ใช้เวลา  อย่างคุ้มค่า  ไม่โศกศัลย์

กินทุเรียน  ของชอบ  ให้ทุกวัน                              เป็นยังไงเป็นกัน    นั่นคือเรา


การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กอนุบาล

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 25 สิงหาคม 2011 เวลา 11:13 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1788

วันนี้เข้าไปโค้ชตามคำขอของห้องอนุบาล2/1 คุณครูอรุณรัตน์  กับคุณครูปิติลันธ์ โดยขอให้ดู 3 เรื่องด้วยกัน  ครูอรุณรัตน์ ขอให้ดูการจัดกิจกรรมเข้าจังหวะ   ที่คุณครูจะใช้เล่นกับเด็กอย่างสร้างสรรค์   ส่วนปิติลันธ์  ขอให้ดูเรื่องการใช้น้ำเสียงกับเด็ก และการเอาใจใส่เด็กที่ช้าให้เข้ามาร่วมกิจกรรม

ได้เข้าไปสังเกตการณ์ ตั้งแต่เวลา 9.30 น. ถึงเวลาประมาณ 11.00  และได้เขียนสะท้อนสิ่งเห็นเอาไว้ให้กับคุณครูทั้งสอง

9.30 น. “ครูอรุณรัตน์”  มีบทบาทเป็นครูนำ  ครูเลือก กิจกรรม “เต้นตามจังหวะเพลง แต่ฟังคำสั่ง “ปิติลันธ์เป็นผู้ช่วย ทำการเปิด  ปิดเพลง  และร่วมกิจกรรมกับเด็ก  ครูแจกดินสอคนละแท่ง แรกๆแม่ใหญ่ก็งง ว่าให้มาดูเรื่องกิจกรรมเข้าจังหวะทำไมถึงแจกดินสอ  แต่ก็นิ่งเฉยเพราะอยากรู้ว่าคุณครูจะทำอย่างไร  คุณครูให้เด็กยืนเป็นวงกลม  แล้วส่งสัญญาณให่ปิติลันธ์เปิดเพลงสนุกๆ  ออกคำสั่งให้เด็กเต้นตามจังหวะเพลงอย่างอิสระ  แต่ให้เงี่ยหูฟังด้วยว่า  ครูจะบอกให้เด็กทำอะไรบ้าง  ครูบอกว่าให้ยกดินสอสูงๆ และเต้นไปด้วย  แล้วก็ให้ย่อตัวลงต่ำ  และเต้นไปรอบๆห้องโดยไม่ชนกัน ให้รักษาระยะระหว่างตัวเองและเพื่อนไว้ให้ดี    เด็กเต้นตามที่ครูบอกบทอยู่สัก2-3 นาที  แล้วครูอรุณฯก็ขยิบตาให้สัญญาณปิดเพลง แล้วบอกว่า ให้เด็กจับคู่กับเพื่อน   นั่งลงแล้ว  เอาดินสอต่อกันเป็นรูปอะไรก็ได้  เมื่อเด็กทำเสร็จ   ครูถามว่าเด็กต่อกันได้รูปอะไรบ้าง  เด็กก็ตอบต่างๆกัน เป็น งู บ้าง เป็นฝนบ้าง  เป็นถนนบ้างฯลฯ

ครูอรุณฯ ให้เด็กลุกขึ้นเต้นแบบรอบแรก  แต่คราวนี้เป็นเพลงช้าหน่อย   แล้วออกคำสั่งให้จับกลุ่ม 3  คน  ครู ให้เอาดินสอต่อกันอีกเป็นรูปอะไรก็ได้    คราวนี้เด็กเอาดินสอมาต่อกัน  แล้วตอบว่าเป็นหลังคา บ้าง สามเหลี่ยมบ้าง ภูเขาบ้างฯลฯ

กิจกรรมนี้ กินเวลาสองรอบก็ราวๆ  15 นาที  หมดกิจกรรมคุณครูให้เด็ก เดินต่อคิวเอาดินสอมาคืนใส่ตะกร้า  แล้วกลับไปนั่งที่ของตน  แล้ว ครูปิติลันธ์  ก็เข้ามาทำกิจกรรมต่อ 

ก่อนจะไปถึงกิจกรรมต่อไป  แม่ใหญ่ อยากจะชี้ให้เห็นว่ากิจกรรมที่ครูอรุณรัตน์ทำนั้น  ภายใน 15 นาทีนั้น เด็กได้เรียนรู้อะไรบ้าง  ในทฤษฎีพหุปัญญา

  • มิติสัมพันธ์   สูง ต่ำ  กะระยะห่างระหว่างตัวเองกับเพื่อน  ไม่ชนกัน
  • สร้างสรรค์  คิดว่าจะเอาดินสอมาต่อกันเป็นรูปอะไร
  • สังคม  ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนที่ เป็นคู่ ที่เป็นกลุ่มสามคน และที่เต้นรวมกันทั้งหมด
  • ดนตรี เรียนรู้จังหวะช้า เร็วตามเพลงที่ครูเลือกให้เด็กเต้น  และเด็กได้สนุกสนานกับการเต้นด้วย
  • ภาษา ได้บอกเล่าถึงสิ่งที่ตนเองคิดสร้างเป็นรูปอะไรจากดินสอ  2 แท่ง และสามแท่ง
  • คณิตฯ รู้จักจำนวน 2 และ3  ผ่านคำว่า จับคู่เท่ากับสองคน   รวมกลุ่ม 3  คน
  • จริยะฯ  อดทน รอคอย ไม่ชนเพื่อน

คราวนี้มาถึงตาของ” ครูลัน”บ้าง  ครูรู้ตัวว่าชอบสอนเสียงดัง  และใจร้อน  บางทีก็รีบไปเร็วๆตามแผนการสอนที่ตัวเองเตรียมไว้   ไม่ค่อยรอเด็กที่ช้า  วันนี้คุณครูเลยขอให้แม่ใหญ่คอยโค้ช   โดยครูลันเลือกเอากิจกรรม  “อ่านหนังสือพร้อมกัน”  มาให้เด็กทำ

9.45  เด็กเข้าไปนั่งตามที่ของตนเอง เป็นรูปครึ่งวงกลม  โดยมีครูลันนั่งด้านหน้า  ครูลันบอกเด็กๆว่า วันนี้เราจะมาอ่านหนังสือพร้อมกัน (สังเกตว่าครูลันตั้งใจเสียงเบาเป็นพิเศษ  แต่ยังมีเสียงต่ำเสียงสูง ทำให้เด็กสนใจได้อยู่)

ครูบอกว่า  ให้เด็กๆไปเลือกหนังสือที่มุมหนังสือมาคนละเล่ม  แต่ต้องมีกฎกติกา มารยาท  จะไม่แย่งกัน  ไม่ลุกไปพร้อมกัน ถ้าใครลุกไปแล้ว  ต้องรอ และลุกเป็นคนต่อไป ให้หัดสังเกต ดูก่อนตอนนี้ใครเขาลุกขึ้นแล้ว เราต้องรอก่อน    และเมื่อได้หนังสือมาแล้ว ให้เอาพี่หนังสือมาวางไว้ก่อน  รอจนเพื่อนทุกคนได้หนังสือครบแล้วครูลันจะบอกให้ทำอะไรต่อไป

เด็ก 25 คน ใช้เวลากับการออกไปหยิบหนังสือ ประมาณห้านาที  เห็นความกระตือรือร้น อยากออกไปหยิบหนังสือของเด็ก ผลุดลุกผลุดนั่งกันอยู่หลายครั้ง  กว่าจะตรงกับจังหวะที่ตัวเองจะลุกไปหยิบหนังสือได้ก่อนเพื่อนคนอื่นๆ เด็กทีได้หนังสือมาแล้ว ก็ไม่รีบเปิด แต่เอาหนังสือวางไว้ก่อน แล้วก็คอยมองเอาใจช่วยเพื่อนที่ยังลุกไม่ทันคนอื่นเสียที

คนสุดท้าย  คงเป็นเด็กที่ช้าสักหน่อย  ลุกไปแล้วก็ยังไปเลือกอยู่อีกนาน จนเพื่อนๆหลายคนบอกว่าเร็วๆหน่อย อยากเปิดอ่านแล้ว   ครูลันเข้าไปมีส่วนช่วย  เด็กที่ยังเลือกหนังสือเองไม่เป็นเล็กน้อย และในที่สุด  ทุกคนก็ได้หนังสือมาวางหน้าตักสมใจ (งานนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ครูลันอาจจะเอาหนังสือมาแจกให้เด็กภายในเวลาสองนาที ก็เสร็จเรียบร้อย)

ครูลันสอนวิธีเปิดหนังสือโดยจับมุมด้านล่างขวา แล้วค่อยพลิกดูไปทีละหน้า  ไม่ทำให้หนังสือยับ แล้วบอกว่าต่อไปนี้เรามาอ่านหนังสือเงียบๆกัน ว่าแล้วครูลัน ครูอรุณฯ ก็เดินไปหยิบหนังสือมานั่งอ่านด้วยเงียบๆ  เป็นเวลาประมาณ 5 นาที  กิจกรรมนี้แม้เด็กจะอ่านไม่ออกแต่เห็นได้ว่าทุกคนก็เปิดดูรูปในหน้าต่างๆกัน โดยไม่สนใจกับเรื่องอื่นๆ

เมื่อครูลันสังเกตว่าเด็กเปิดครบทุกหน้าแล้ว ครูก็ตั้งคำถาม ให้เด็กยกมือตอบว่า  หนังสือที่ตัวอ่านชื่อเรื่องอะไร เด็กตอบได้ทุกคน ตามรูปที่ตัวเห็น  เช่นเรื่อง ดอกไม้ เรื่องพ่อแม่ลูก เรื่องไดโนเสาร์ เรื่องนกฯลฯ เด็กที่ช้า ตอบไม่ออก ครูนิ่งฟัง ปล่อยให้คิดเอง  เพื่อนๆข้างๆกระซิบชื่อเรื่องให้  ครูต้องใจเย็นรอเล็กน้อย แต่ในที่สุด  ชื่อเรื่องก็ค่อยๆหลุดออกมาจากปากของน้องคนสุดท้าย

หลังจากนั้น ครูลันก็ให้ใช้วิธีเดิม คือให้เด็กเอาหนังสือไปเก็บทีละคน  แล้วก็ไปรับนมกล่องจากครูอรุณฯที่เตรียมเอาไว้แจกเด็กอยู่อีกด้านหนึ่ง  ตอนนี้มีรายการเด็กทำนมหก  ด้วย  ครูพูดค่อยๆได้ยินเฉพาะครูกับเด็กว่า  ให้เด็ก ไปเอาผ้ามาเช็ดตรงที่หก โดยไม่ได้กล่าวตำนิหรือทำเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด

ดื่มนมเสร็จ ครูลันขอทบทวน กิจกรรมที่เพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้  เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเมื่อไฟไหม้  และการช่วยเพื่อนเมื่อเกิดอุบัติเหตุ   เด็กสามารถโต้ตอบเพราะจำกิจกรรมได้ดี  เพราะได้มีการนำเอาของจริงมาให้เด็กดู  ได้มีกิจกรรมหนีไฟและกิจกรรมหามคนแขนขาหักให้ เห็นของจริง  เด็กจึงตอบคำถามอย่างคล่องแคล่ว  และยังบอกได้อีกว่า เรียกตำรวจ โทร 191  เรียกรถดับเพลิงหรือรถหวอ  ต้องโทร 1669

ต่อจากกิจกรรมนี้ ก็เป็นกิจกรรม คุยกับพี่ปฏิทิน  ที่เคยเล่าไปแล้วในการไปโค้ชครูดี้  กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมประจำที่เราทำกันทุกวัน  แล้วต่อด้วยการทบทวนเรื่องโครงการที่เด็กกำลังจะเลือกเรื่อง  ครูนำเอารูปที่เด็กวาด  ว่าจะเลือกเอาเรื่องอะไรบ้างมาทบทวนกับเด็ก เด็กเสนอมาถึง 15 เรื่อง   ครูบอก  เตรียมตัวให้พร้อม  พรุ่งนี้ ใครอยากให้เพื่อนเลือกเรื่องของเราก็ให้ไปหาเหตุผลมาชวนเพื่อนให้โหวต     ใครได้เสียงโหวตมาก เราจะเรียนเรื่องนั้นกัน 

กิจกรรมสุดท้ายในเช้าวันนี้ คือการให้แผ่นงานเด็กไปทำ เกี่ยวกับเรื่องสั้นและยาว  ซึ่งคงจะเป็นเรื่องที่ได้สอนกันมาก่อนแล้ว   ครูอธิบายคำสั่งในแผ่นงาน   ว่าให้วงกลมภาพที่สั้น และให้ระบายสีภาพที่ยาว   เด็กรับแผ่นงานพร้อมกับไปหยิบดินสอสีที่ครูอรุณฯเตรียมให้  และลงนอนคว่ำทำงานกัน แบบตัวใครตัวมัน  ครูสองคนเดินดูเด็กๆ เห็นได้ว่า ครูเลือกเข้าไปช่วยเด็กสองสามคนที่ยังเขียนชื่อไม่ได้  และทำท่าจะวงกลมและระบายสีไม่ถูก  โดยแยกมาอธิบายแบบตัวต่อตัว 

กิจกรรมทั้งหมดนี้  จบลงที่เวลาประมาณ 11.15 นาที  เด็กไปเข้าห้องน้ำเตรียมตัวไปทานข้าว

แม่ใหญ่ส่งข้อสังเกตที่เขียนไว้ถึงสามแผ่น ให้กับครูแล้วขอแสดงความยินดีว่า คุณครูทั้งสอง ผ่านเยี่ยมสำหรับการโค้ชครั้งนี้

ผู้สนใจดูรูปและคำบรรยายประกอบได้ที่นี่ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.2294912569535.134804.1150695493#!/media/set/?set=a.2294998091673.134809.1150695493&type=1


เยี่ยมสองโรงเรียนที่แตกต่าง

ไม่มีความคิดเห็น โดย maeyai เมื่อ 24 สิงหาคม 2011 เวลา 6:19 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิตกับโรงเรียน #
อ่าน: 1620

ในช่วงสามวันที่ผ่านมา มีกิจกรรมต่อเนื่องกับเทศบาลนครขอนแก่น  คือการไปเยี่ยมโรงเรียนเทศบาลบ้านศรีฐาน  กับโรงเรียนเทศบาลสวนสนุก   และไปเป็นกรรมการเลือกรองผู้อำนวยการให้โรงเรียน 10 คน ตามที่ได้ เขียนบันทึกไปแล้ว  วันนี้จะขอเขียนถึงโรงเรียนสองโรงที่เป็นเทศบาลเหมือนกัน    อยู่ห่างกันไม่ถึง 10 กิโลเมตร   แต่มีความแตกต่างกัน จนอยากจะนำเอาสองโรงเรียน มารวมกันแล้วหารสอง    คงจะลงตัวได้พอดี

ตามข้อมูลที่แสดงให้เห็นต่อไปนี้ คงพอทำความเข้าใจได้ว่า   ทำไมแม่ใหญ่จึงพูดเช่นนั้น

 โรงเรียนเทศบาลศรีฐาน

เนื้อที่  10 ไร่เศษ    มีห้องเรียนเหลือใช้  บริเวณที่เล่นกลางแจ้ง    มากมาย      

ขนาดห้องเรียนต่อเด็ก    ห้อง 7*9 เด็ก 30  คน ครู 1 คน

นักเรียนทั้งโรงเรียน   591  คน    ครูทั้งโรงเรียน   32  คน

นักเรียนเฉพาะระดับอนุบาล   4 ห้อง  120 คน     ครูเฉพาะระดับอนุบาล   5 คน    อัตราส่วนครูต่อเด็ก   1 ต่อ 24

การเรียนการสอน    ลื่นไหล   บูรณาการ       กิจกรรมเสริม    ภาษาอังกฤษ   ดนตรี

บุคลิกครู   ผ่อนคลายแม้งานค่อนข้างหนัก

บุคลิกผู้บริหาร     มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง  และมีความตั้งใจในการทำงานตามระบบมาก    เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ สมศ.จะมาตรวจรอบที่สาม

บุคลิกเด็ก    เป็นธรรมชาติ  ไม่เป็นระเบียบนัก แต่ก็เชื่อฟังครู

 

โรงเรียนเทศบาลสวนสนุก

เนื้อที่   5 ไร่   ห้องเรียนจำกัด   บริเวณที่เล่นกลางแจ้ง   จำกัดมาก

ขนาดห้องเรียนต่อเด็ก    ห้อง 7*9 เด็ก 42-45 คน ครู 2 คน

นักเรียนทั้งโรงเรียน 3069 คน   ครูทั้งโรงเรียน  155 คน

นักเรียนเฉพาะระดับอนุบาล   8 ห้อง  320  คน   ครูเฉพาะระดับอนุบาล   16 คน    อัตราส่วนครูต่อเด็ก   1 ต่อ 20

การเรียนการสอน    ครูสอนเน้นอ่านออกเขียนได้     กิจกรรมเสริม   ภาษาอังกฤษ   ดนตรี   เกมส์การศึกษา

 บุคลิกครู   เคร่งเครียด ไม่ค่อยยิ้มแย้ม

บุคลิกผู้บริหาร    ไม่ได้พบเพราะผู้อำนวยการไปประชุม   แต่ดูจากสภาพโรงเรียนแสดงให้เห็นว่ามีการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด ได้อย่างเป็นประโยชน์ทุกตารางเมตร

บุคลิกเด็ก   ตั้งใจเรียน เรียบร้อย เชื่อฟังครูมาก   ไม่ค่อยซุกซน นั่งเรียนกับโต๊ะอย่างมีระเบียบ

 

ข้อมูลของทั้งสองโรงเรียน      นี้มิได้มีวัตถุประสงค์จะแสดงว่า โรงเรียนใด ดีกว่าหรือด้อยกว่า  เพียงแต่ต้องการให้เห็นภาพ  ของทั้งสองโรงเรียนนี้เท่านั้น   ว่าแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน   แม่ใหญ่มีความเห็นว่า  โรงเรียนเทศบาลทั้ง 8 โรงที่ไปเยี่ยมมา ล้วนแล้วแต่มีข้อเด่น ข้อด้อยต่างกัน   และมีข้อจำกัดในการดำเนินงานต่างกัน   มีบริบทของแต่ละโรงเรียนไม่เหมือนกัน   แต่ก็มีแนวทางใกล้เคียงกัน  กับโรงเรียนอนุบาลบ้านศรีฐาน  มีโรงเรียนสวนสนุกนี้เท่านั้น ที่ดูจะแปลกจากโรงเรียนอื่น  แต่ก็เป็นโรงเรียนที่มีลักษณะเฉพาะตัว  และมีการบริหารจัดการที่เป็นระบบมากๆ และข้อสำคัญคือ ได้รับความนิยมจากผู้ปกครอง

โรงเรียนเทศบาลบ้านศรีฐานถือว่าโชคดี  ที่ได้ครูจบทางปฐมวัยโดยตรงถึง 3 คน  ดังนั้นการจัดกิจกรรมจึงค่อนข้างลื่นไหล  บูรณาการ     เป็นไปตามแนวเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายอารมณ์ สังคม และสติปัญญา  ปัญหาก็มีเพียงอาคารที่เปิดกว้างต่อเนื่องถึงกันทั้งสี่ห้อง  ทำให้การเรียนการสอนที่ต้องการให้เด็กมีสมาธิเป็นไปได้ยาก     เนื่องจากมีสิ่งเร้ารอบๆข้างมากเกินไป   แต่คุณครูก็พยายามแก้ไขด้วยการปรึกษาหารือกัน   ในการจัดกิจรรมเพื่อไปในทิศทางเดียวกัน      เพื่อไม่ให้เสียงจากกลุ่มหนึ่งไปรบกวนอีกกลุ่มหนึ่ง    ทราบว่าปีหน้าจะได้ตึกใหม่ ก็ขอแสดงความยินดีด้วย

 ส่วนโรงเรียนสวนสนุกถือเป็นโรงเรียนใหญ่ที่สุดในจำนวนโรงเรียนเทศบาลทั้งหมด    ผู้ปกครองนิยมส่งลูกมาเรียนมากที่สุด  เพราะเน้นเรื่อง อ่านออกเขียนได้  เตรียมเด็กเข้าชั้นป.1  ซึ่งเป็นรูปธรรมที่มองเห็นได้ง่าย  นอกจากนี้ ยังมีครูที่เด่นและเก่งเฉพาะด้านที่จะส่งเสริมเด็กเก่งให้ไปได้รางวัลต่างๆ  ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ  สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนได้ทุกปี  คุณครูท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจว่าสามารถเตรียมความพร้อมจนเด็กได้ไปชนะการประกวดแฟนต้ายุวทูต  ได้ไปทัศนศึกษาถึงอเมริกาโน่นทีเดียว 

นอกจากนี้  โรงเรียนยังมีแผนกEP หรือ English Program เพื่อรองรับผู้ปกครองที่ต้องการให้เด็กได้เรียนภาษาอังกฤษกับครูชาวต่างชาติ โดยตรง    ซึ่งก็เห็นมีครูชาวฟิลิปปินส์สอนคู่กับครูไทยอยู่สองห้อง  ดังนั้นบริบทของโรงเรียนนี้คือ  สอนให้เด็กเป็นคนเก่ง ทางด้านวิชาการ ตามที่ผู้ปกครองต้องการ

อาจารย์สงกรานต์  หัวหน้าสาย  ได้ทำ powerpoint   เพื่อแสดงกิจกรรมเด่นๆที่เด็กได้เรียนรู้ในแต่ละวัน  เพราะการมาเยี่ยมชมเพียงวันเดียว  อาจจะไม่ได้เห็นกระบวนการต่างๆอย่างครบถ้วน     มีกิจกรรมหลากหลาย  ที่แสดงให้เห็นว่าครูที่แผนกนี้ได้ผ่านการอบรมมามากมาย และได้นำกิจกรรมที่มีความคิดรวบยอดที่ลึกซึ้งมาใช้    ไม่ใช่เป็นกิจกรรมพื้นๆที่ใช้กันในโรงเรียนอนุบาลทั่วๆไป   หัวหน้าสายเล่าว่า โรงเรียนได้รับเลือกให้เป็นโรงเรียนนำร่องของกระทรวงศึกษาธิการ  โดยให้นำแนวทาง  Brain based learning หรือการเรียนรู้โดยคำนึงถึงสมองของเด็กเป็นฐานมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ   แม่ใหญ่ก็ได้ขอเพิ่มเติมความรู้เรื่องนี้  ไปให้คุณครูเล็กน้อย  ในฐานะที่ใช้ BBL มานานแล้วว่า  มันไม่ใช่รูปแบบการศึกษา  แต่ BBL คือเครื่องมือในการจัดสภาพสมองให้เหมาะกับการเรียนรู้  และได้มีคนคิดออกมาเป็นกิจกรรมต่างๆ  อาทิเช่นการออกกำลังสมอง (Brain gym )  เพื่อให้สมองหายเหนื่อยล้าหลังจากเรียนเรื่องหนักๆหรือนั่งนานๆ  การใช้เพลงประกอบเพื่อให้คลื่นสมอง อยู่ในสภาวะที่เรียนรู้ได้ดี  การสร้างสื่อที่น่าสนใจที่จะกระตุ้นให้เด็กรับเนื้อหาเข้าไปสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของสมอง  และไม่ลืม      จิตตปัญญาศึกษาที่คณะผู้บริหารเทศบาลนำเข้ามาเผยแพร่กับคณะครูและผู้บริหารในโรงเรียนเทศบาล  ก็เป็น BBL เหมือนกัน

นักเรียนสวนสนุกมีลักษณะไม่ซน ว่าง่าย พูดจาฉะฉาน   เขียนตัวพยัญชนะสวย    เดินแถวเป็นระเบียบ   แสดงว่าถูกฝึกมาเป็นอย่างดี   แต่ดูคุณครูไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใสนัก   เหมือนไม่ค่อยมีความสุข ( ต้องขอบอกว่านี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวจริงๆ ซึ่งอาจจะผิดก็ได้)  คุณครูอาจจะเครียดที่เรามาเยี่ยมชม  หรือจะนึกว่า เรามาตรวจมาตรฐานแบบ สมศ.  ซึ่งประธานสุทธิก็ได้ชี้แจงว่า เรามาแนะนำหรือสะท้อนความคิดเห็นแบบกัลยาณมิตรมากกว่า



Main: 0.88914608955383 sec
Sidebar: 0.078354835510254 sec