คนหลงป่า

ไม่มีความคิดเห็น โดย aphsara เมื่อ 7 ธันวาคม 2015 เวลา 3:25 (เย็น) ในหมวดหมู่ อยากเล่า #
อ่าน: 1764

อายุมากขึ้น  หรือ ประสบการณ์มากขึ้นทำให้ความคิดเปลี่ยนไป  ( หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ) เมื่อก่อนติดหรูค่อนข้างมาก มีความฝันอยากแต่งตัวสวย ๆ ทำงานในบริษัท เดินฉายไปฉายมา เหมือนนางเอกหนัง เดี๋ยวนี้  อยากเป็นเกษตรกร  มีความฝันอยากปลูกป่า ทำวนเกษตร  ทำกระต๊อบเล็ก ๆ แต่งตัวธรรมดา ๆ ทักทายต้นไม้ใบหญ้า  นึกหาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางความคิดไม่เจอ  แต่คาดว่

มันน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

เมื่อเจอประกาศติดหน้าถนนใหญ่ขายที่ดิน   จึงปรีเข้าไปซื้อมาครอบครอง  แผนการวนเกษตร  ผุดขึ้นมาในสมองทันที่   จากเดือนกรกฏาคม  2558  จนถึงปัจจุบัน ได้เริ่มนำ  เจ้าแม่ตะเคียนทอง  เจ้าพ่อสักทอง   ยางนา   ต้นแดง  พะยูง  สะเดา กันเกรา  มะตูม และไม้พื้นเมืองอื่นๆ ลงเสริมลงไปในสวนยางพารา เนื้อที่ 8 ไร่   โดยเปิดยูทูป เรียนรู้การปลูกป่าแบบ 3อย่างได้ประโยชน์ 4 อย่าง    โดยมีเสียงคัดค้านจากคนในครอบครัวอย่างหนัก  ” เอ็งบ้าหรือเปล่า  ซื้อที่มาปลูกป่า ? ” เพราะเกิดมาค่อนข้างสบาย ไม่เคยทำงานหนัก ไม่มีความรู้ด้านการเกษตร ดังนั้นญาติพี่น้องเลยเป็นห่วงกันหนัก  เมื่อพยายามอธิบายแต่ดูเหมือน  คิดมาคิดไป  เอ่อ เราอาจบ้าจริงๆ จึงนิ่งเฉยเสีย  ….

ถั่วดาวอินคาปลูกทิ้งๆ งามเฉยเลย..

เพราะพื้นที่ติดถนนใหญ่  ใครขับรถผ่านไปผ่านมา  8 ใน 10  คนที่รู้จัก ต้องจอดรถทักทายถาม   ว่าปลูกอะไร  เมื่อตอบไป  ก็จะมีเสียงหัวเราะตามหลังมา     มันคงเป็นเรื่องแปลก  ครูสาว แต่งตัวเป็นเกษตร ขนปุ๋ย ปลูกต้นไม้  หาบน้ำรดต้นไม้  ปลูกป่าอยู่คนเดียว  ชาวบ้านเค้าคงงง  แรก ๆ อายหน่อย เดี่ยวนี้เริ่มชิน…แอบคิดในใจ  คอยดูเหอะ  คอยดู ( ผลผลิตจะเบ่งบาน)

พะยูงกำลังโต…ถึงแม้อีกหลายปีกว่าจะใช้งานได้ หรืออาจไม่ได้ใช้ แต่เห็นการเจริญเติบโตแล้วชื่นใจจัง

Post to Twitter Tweet This Post


แรงบันดาลใจ

ไม่มีความคิดเห็น โดย aphsara เมื่อ 5 พฤศจิกายน 2011 เวลา 10:32 (เย็น) ในหมวดหมู่ อยากเล่า #
อ่าน: 3282

ส่วนหนึ่งจากบันทึก Diary บนโลกออนไลน์ ที่อยากจะเก็บเอามาเล่าต่อ…….

…………………………………………………………………………………………………………………………..

อ่านนวนิยายของนักเขียนคนโปรด “ดังตฤณ” ในเรื่องทางนฤพาน จบลงพร้อมด้วยคราบน้ำตา บางตอนในเนื้อเรื่องกระแทกที่ความรู้สึกให้รู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ เพราะเนื้อความที่เขียนมันเป็นเรื่องจริงในชีวิตของโลกมนุษย์ ไม่ใช่นิยายประโลมโลกทั่ว ๆ ไป หากเราเป็นคนเขียน นิยายเรื่องนี้จะต้องจบแบบ happy ending ไม่มีผู้ใดต้องเจ็บปวด จะมิให้มีผู้ใดต้องสูญเสียหรือพัดพราก แต่ว่า ดังตฤณ มักจะเขียนนิยายให้เรารู้สึกเจ็บปวดกับความจริงของโลกมนุษย์ และ ต้องมานั่งอ่านหลาย ๆ รอบ อ่านทบทวน และนำมาคิดซ้ำแล้ว ซ้ำอีก คิดซ้ำเมื่อใดก็มักจะได้บทสรุปแบบเดียวว่า การพัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่ต้องเกิดกับคนทุกคน ความทุกข์มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ทุกอย่างมีเกิดแล้วก็ดับไปมันไม่เที่ยง เราเข้าใจ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ลึกซึ้ง คล้ายกับคนที่ไม่เคยมีความรัก รู้ว่าอกหักมันเจ็บปวด แต่ไม่รู้สึก หากไม่เจอเข้ากับตนเอง

รู้จัก นักเขียนคนนี้ได้เพราะเข้าร้านหนังสือ ไปเจอนิยายเรื่องจิตจักรพรรดิ์บนชั้นหนังสือมาใหม่ หยิบมาอ่านผ่าน ๆ เพราะไม่ใช่คนชอบอ่านนิยาย แต่ชอบอ่านหนังสือคอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่ แต่ทว่าเมื่ออ่านผ่านๆไม่กี่หน้า เรากลับซื้อหนังสือเล่มนี้ิติดมือมา และกลับมาอ่านซ้ำอีก ทบทวนคิดไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องจากสติปัญญาเท่าหางเขียดอีต่อง หลังจากนั้นนวนิยายก็ดึงเราเข้ามาค้นหาตัวตนของคนเขียน และนั่นเองเป็นจุดเปลี่ยนให้เราเริ่มรู้จักพุทธศาสนาในอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนเรานับถือศาสนาพุทธก็แค่ตามทะเบียนบ้าน สวดมนต์ได้บ้างบางบท ตักบาตรทำบุญบ้างตามวาระและโอกาส ศีลห้าครบบ้างขาดบ้าง สำเนาทะเบียนบ้านก็ยังคงเป็นชาวพุทธ แต่กลับลืมหน้าที่หลักของชาวพุทธ คือพัฒนาจิตใจตนเอง

วิปัสสนากรรมฐาน….เป็น เรื่องใหม่ที่ไม่เคยรู้ กายานุปัสนา จิตตานุปัสนา เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง หลังจากมีวาสนาได้เรียนรู้บ้าง เริ่มจับทางชีวิตได้ ทุกข์ที่เคยเก็บไว้มากมาย กลายเป็นทุกข์ที่แค่ผ่่านมาบ่อย โทสะเคยเปรี้ยง ๆ ยังกะฟ้าผ่า เหลือแค่แปล๊บ ๆ เหมือนฟ้าแลบ อาการขี้หลงขี้ลืม ขาดสติบ่อย ๆ หายจนเกือบปลิดทิ้ง เคยเดินไปเรื่อย ๆ ในชีวิต กลับมองเห็นเส้นชัยได้ชัดเจนขึ้น นึกขอบคุณลายเส้นตัวอักษรที่เชื่อมโยงให้คนโง่งม พบเส้นทางใหม่

นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้ เรา คนที่ไม่มีความสามารถด้านการสื่อสารหรือภาษา จับโน๊ตบุ๊คขึ้นมาหัดเขียนบทความ ส่งผ่านเรื่องราวความคิดประสบการณ์ในชีวิตบนโลกออนไลน์ เผื่อว่ามันอาจจะให้แง่คิดหรือประโยชน์สำหรับใครบางคนที่หลงทางผ่านมา

Post to Twitter Tweet This Post


บาทาพญาครุฑ

4 ความคิดเห็น โดย aphsara เมื่อ 18 กันยายน 2011 เวลา 10:54 (เย็น) ในหมวดหมู่ อยากเล่า #
อ่าน: 3096

ในกิจกรรมจังหวัดสัญจร มีกำหนดการว่า  ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด  และหน่วยงานสำคัญ ๆ จะมาเปิดบริการให้ความรู้ บริการตัดผม  นวดตัว และ อื่น ๆ จากหน่วยงานราชการในจังหวัดสุรินทร์   โดยกำหนดการในครั้งนี้จะมาสัญจรที่ตำบลที่เป็นต้นกังกัดของหน่วยงานที่ดิฉันทำงานอยู่  แม่งานต้อนรับก็คือองค์การบริหารส่วนตำบล  และดิฉันได้มีโอกาสไปร่วมงานนั้นด้วย  เนื่องจากทาง อบต.ขอความร่วมมือหน่วยงานราชการทุกหน่วยเข้าร่วมในทุกกิจกรรมของวันนั้น

กิจกรรมที่ดิฉันได้รับมอบหมายในวันนั้นคือ กิจกรรมการมอบบ้านให้กับ สองสามีภรรยายผู้พิการ        มีหน้าที่จัดเตรียมต้อนรับทั้งอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมทั้งอีกหน้าที่คือถ่ายรูปกิจกรรมในงาน  เมื่อเก็บภาพก่อนเริ่มงานเสร็จไม่นาน คณะของท่านผู้ว่าก็ลงจากรถเดินตรงมาที่จุดเปิดงาน   ปรากฏว่าในการเดินทางครั้งนี้  ท่านผู้ว่าได้ส่งตัวแทนคือรองผู้ว่าราชการจังหวัดมาแทน เพราะท่านติดราชการ  มีคณะผู้ติดตามและคณะสภากาชาดไทย  นับรวมทั้งหมดน่าจะประมาณ 40 คน

เมื่อได้กล่าวต้อนรับเสร็จ     ก็ถึงเวลามอบบ้าน  เพื่อเก็บภาพประทับใจในการมอบบ้าน  เหล่าบรรดาตากล้องทั้งหลายรีบทำหน้าที่กดชัดเตอร์เพื่อให้ได้รูปตามมุมที่ตนต้องการ  รวมทั้งดิฉันด้วย  เมื่อได้รูปก็ตั้งใจจะเดินหลบฉากไป  ปรากฏว่าได้ยินเสียงอันดังพูดขึ้นว่า “ โคตรเซ็งเลยหว่ะ  ไม่ได้รูปเลย   ดูสิ  โดนบังหมดเลย “ เสียงที่บ่งบอกถึงอารมณ์อันคุกรุ่นของผู้พูด   ดิฉันและตากล้องอีกคนซึ่งเป็นชายที่ไม่รู้จักกันมาก่อน    หันขวับไปมองหน้ากันและหันหลังไปหาเสียงดังกล่าวพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

ชายหนุ่มข้าง ๆทำหน้าที่อย่างสุภาพบุรุษ ผายมือพร้อมหลบมุมให้เจ้าของเสียงเข้าไปถ่ายรูป  ส่วนดิฉันยืนตะลึงงัน  ความตั้งใจที่จะยิ้มให้และเชิญให้เข้ามากดชัตเตอร์ใกล้ ๆ กัน หมดไป   เมื่สายตาไปปะทะเข้ากับ   ใบหน้าที่ขาวจัด ตกแต่งไว้ด้วยเครื่องสำอางค์ที่ น่าจะราคาแพงเท่ากับเงินเดือน เดือนหนึ่งของดิฉัน   ปากสีสด  เครื่องประดับทั้งหมดน่าจะทำจากทองแท้ ๆ   แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบ  ชุดซึ่งใครๆก็รู้ว่าบุคคลเหล่านี้มีจิตอาสา  แต่บนใบหน้าที่พยายามตกแต่งอย่างดีกลับมีสีหน้าบึ้งตึงคล้ายกับว่าพึ่งทะเลาะกันกับสามีมาหมาด ๆ   ยิ่งบึ้งก็ยิ่งมองเห็นริ้วรอยเท้าพญาครุฑที่ประทับบนใบหน้าที่ตกแต่งไว้อย่างดีชัดขึ้น  และชัดขึ้น  ป้าแกจะรู้ไหมนะว่าพอแกทำหน้าเหมือนคนปวดอึ  แป้งมันคงรวมใจกันวิ่งหนีออกจากหน้าแก  โดยเฉพาะบริเวณหางตาและมุมปาก โอ้โห !ธรรมชาติช่างจัดสรรพับไว้เป็นริ้ว ๆ

เมื่อเลิกตกตะลึงกับใบหน้าอันทะมึงทึงของป้าจิตอาสา  ก็เริ่มสงสัย   เหตุใดป้าจิตอาสาจึงได้พ่นวาจาเสียงดังสนั่นกล่าวคำแบบนี้ขึ้นมา  คงไม่มีใครตั้งใจจะแกล้งป้า  ทุกคนง่วนอยู่กับงานที่ตนต้องรับผิดชอบ เมื่อป้าต้องการมุมกล้องก็น่าจะเข้าไปกระซิบขอสักรูป  แต่เนี่ย   พอป้าพูดขึ้นมันกลับเหม็นหึ่งยิ่งกว่าป้าตดด้วยเสียงอันดัง  เพราะเหล่าบรรดาตากล้องที่กำลังยกกล้องถ่ายรูป  ต่างหลีกทางให้ป้าโดยฉับพลัน  คงจะเหม็นตดอย่างสุดทน  พอมีคนหลีกทางให้   ป้าไม่ได้กล่าวขอบอกขอบใจผู้ใดสักคน  แต่ก็ยังได้บ่นพึมพำงึมงำอยู่ในลำคอ     คล้ายเสียงสวดมนต์แต่ว่ามันไม่ใช่

ตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะ  พรุ่งนี้จะหาซื้อกระจกบานใหญ่ ๆ ตั้งไว้บนโต๊ะที่ทำงาน  พอเริ่มเครียดและเริ่มดุนักเรียนขึ้นเมื่อใดจะได้หันไปมองกระจก   บอกตนเองให้ดูจิตให้ทัน  ถ้าไม่รู้ทันโทสะเหล่านี้ ก็จะแสดงอาการเป็นหน้าบูดบึ้ง  ใจเต้นแรง สั่น อยากจะระบายอารมณ์  อาจแสดงออกด้วยคำพูดหรือการกระทำที่ไม่เหมาะสม   หากว่าเผลอไม่ทันเจ้าโทสะตัวนี้หล่ะก็   กลัวอาการที่ระบายความโกรธที่แสดงออกไปเป็นการอัญเชิญท่านพญาครุฑมาประทับร่าง  ประทับที่ไหนคงไม่เกรงเท่าไหร่   แต่เอาเท้ามาประทับบนใบหน้านี่สิ น่ากลัวชะมัดเลย 

Post to Twitter Tweet This Post


หนูหน้าโง่

7 ความคิดเห็น โดย aphsara เมื่อ 26 กรกฏาคม 2011 เวลา 10:04 (เย็น) ในหมวดหมู่ โรงเรียน #
อ่าน: 2950

ในชั่วโมงการประชุมที่ยาวนานของโรงเรียน  เป็นการประชุมที่โคตร….จะน่าเบื่อ (ทุกครั้ง) เมื่อไหร่ที่มีประชุม  นักเรียนก็จะไม่ได้เรียน  ถึงแม้เด็กหลายคนจะไม่ชอบเรียน แต่เมื่อครูประชุมบ่อย ๆ เด็กก็ทำหน้ามุ่ย  กำลังร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ก็มีหนังสือมาเชิญครูประชุม  กำลังเฉลยแบบทดสอบกันแบบลุ้นระทึก  เดี๋ยวครูก็ต้องประชุม   วันไหนนัดกันจะทำกิจกรรม  วันนั้นครูจะต้องไปอบรม  อ้าว!   เมื่อไหร่ที่มีหนังสือเชิญประชุม  เด็ก ๆ จะพร้อมใจพูดเสียงดังลั่นห้อง “ ประชุมดีประชุมเด่น เน้นประชุม “ 

DSC00176

คุณครูท่านหนึ่ง ได้ลุกขึ้นกล่าวรายงานถึงการอบรมโครงการกิจกรรมรักการอ่าน ที่ได้เข้าร่วมการอบรมในสัปดาห์ที่ผ่านมา  สิ่งที่ท่านได้นำเสนอ  ทำให้ดิฉันรู้สึกสนใจ เนื่องจากจุดประสงค์ที่จะให้คณะครูมองเห็นความสำคัญในกิจกรรม  และช่วยเหลือโครงการนี้  ท่านจึงเริ่มต้นด้วยนิทานเรื่องหนึ่ง   ซึ่งประธานได้เล่าในช่วงของการเปิดการอบรม  นิทานเรื่องนี้มีความว่า

หนูตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านของชาวนาครอบครัวหนึ่ง    แรก ๆ เมื่อมันตัวเล็ก ๆ อาหารที่ต้องการก็ไม่มากมายนัก  เพราะฉะนั้นเศษอาหารในบ้านก็พอกินไปวัน ๆ แต่เมื่อหนูมีครอบครัว  มันก็ต้องการอาหารที่มากขึ้น   ดังนั้นเมื่อมันหาอาหารเพิ่มขึ้น  ชาวนาก็เริ่มเดือดร้อน   ชาวนาแก้ปัญหาด้วยการนำกับดักหนูไปวางในบริเวณที่หนูมันมากินอาหารประจำ    เมื่อหนูเห็นดังนั้น  มันจึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากไก่   ซึ่งเป็นเพื่อนกัน  แต่ไก่กลับบอกว่า มันไม่ใช่ธุระของข้า  แล้วก็ส่ายหน้า ไม่คิดหาทางช่วยเหลือ  เมื่อไก่ไม่ช่วย  หนูก็วิ่งไปหาหมู   หมูก็ตอบมาทำนองเดียวกับไก่  ดังนั้น หนูจึงวิ่งไปหาวัว  แต่วัวก็ตอบมาเหมือนกับไก่ และหมู   สัตว์ซึ่งเป็นเพื่อนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกันไม่มีใครช่วยหนู แม้แต่ตัวเดียว   อยู่มาไม่นาน  ปรากฏว่ามีงูไปติดกับดักหนูเข้า  ภรรยาของชาวนาเดินไปดูกับดักหนูที่ตนวางไว้  แต่เนื่องจากไม่ทันระวัง  จึงโดนงูฉกเข้าทันที   เมื่อชาวนามาเห็นเข้าจึงนำภรรยามารักษา   เพื่อนบ้านได้ยินข่าว  จึงทยอยกันมาเยี่ยม    ชาวนาจำต้องฆ่าไก่ให้เป็นอาหารเลี้ยงต้อนรับเพื่อนบ้าน  รักษานานวันภรรยาก็ยังไม่หาย   คราวนี้ชาวนาจึงจำเป็นต้องฆ่าหมูที่เลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงต้อนรับเพื่อนบ้าน       อยู่มาไม่นาน  ภรรยาชาวนาก็เสียชีวิตจากพิษงู   ในงานศพของภรรยา  ชาวนาก็ฆ่าวัวที่เลี้ยงไว้เพื่อประกอบอาหารในพิธี  ส่วนหนูกลับมีชีวิตรอดอาศัยอยู่ในบ้านชาวนานั่นเอง

นิทานเรื่องนี้  คุณครูท่านสรุปแง่คิดให้ว่า หากคนในองค์กรไม่ช่วยกัน  โดยคิดว่างานที่ได้รับมอบหมายไม่ใช่ธุระ  สุดท้ายก็จะประสบหายนะทั้งองค์กร 

ดิฉันได้ฟังรู้สึกประทับใจ  คิดว่าเมื่อประชุมเสร็จจะต้องบันทึกเรื่องนี้ไว้เล่าให้เด็ก ๆฟัง  แต่เมื่อครั้นท่านผู้บริหารท่านกล่าวถึงเรื่องต่อมา นั่นคือ  ท่านจะมีกรรมการมาประเมินวิทยฐานะในสัปดาห์ถัดไป  เพราะฉะนั้นจึงขอความร่วมมือจากคณะครู   ช่วยจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ เพื่อรองรับการประเมิน  ท่านกล่าวว่า  ถึงแม้มันจะเป็นงานของท่านเอง  แต่เปรียบได้กับตัวท่านเป็นหนูในนิทานที่เพื่อนครูท่านหนึ่งเล่ามา  เพราะฉะนั้นอยากให้ไก่ หมู และวัว  ซึ่งเปรียบเหมือนคณะครูช่วยเหลือท่านด้วย   มิเช่นนั้นตัวท่านอาจจะกลายเป็นหนูที่รอดเพียงตัวเดียว

ดิฉันได้ยินประโยคดังกล่าวรู้สึกเหมือนโดนอะไรกระแทกเข้าที่อกอย่างจัง  สมองคิดตามทันที  นั่นสินะ  หากอยากจะรอด ไม่เห็นว่าหนูจะต้องทำอะไร   แค่อยู่เฉย ๆ    หากหนูวิ่งวุ่นที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเองมันก็จะยิ่งยุ่ง  ไม่แน่ว่า หนูอาจจะติดกับดักนั้นแทนงูก็เป็นได้

นิทานเรื่องนี้กลับให้แง่คิดอีกมุมหนึ่งกับดิฉัน  ทุกครั้งที่ได้รับมอบหมายงาน  เมื่อติดปัญหาดิฉันจะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากผู้บริหาร  แต่ท่านก็มักจะตอบคำถาม เหมือน ไก่ หมู  วัว (แทบทุกครั้ง) ส่วนเพื่อนครู “ไม่รู้หรอกน้อง  พี่ไม่รู้จะช่วยยังไงจริง ๆ  ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ  ทิ้งไว้นั้นหล่ะ “  นั่นเป็นคำแนะนำที่ดูเหมือนนิทานเรื่องนี้จะสอนไว้  เพื่อนครูแนะนำถูกจริง ๆ  เพราะสุดท้ายคนซวยไม่ใช่เรา  แต่ดิฉันกลับเป็นหนูหน้าโง่   วิ่งซก ๆ เที่ยวแก้ปัญหา  บางครั้ง กับดักหนูตกใส่ขาบ้าง  ก็แอบมาคลุมโปงร้องไห้ในห้องนอนตนเอง   ทำไมถึงไม่ได้ยินนิทานเรื่องนี้มาก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้ซินะ  เฮ้อ !  

แต่ถึงแม้จะรู้ว่าตนเป็นหนูหน้าโง่  แต่ก็ยังทำตัวให้ฉลาดขึ้นไม่ได้อยู่ดี  เพราะยังนึกกังวลใจ  ว่าลูกน้อยจะโดนกับดักหนูไปด้วยหรือเปล่า  ก็ยังคงต้องวิ่งซกๆ ต่อไป

DSC00144

Post to Twitter Tweet This Post


ขอโอกาสให้คนดีคืนสู่สังคม

10 ความคิดเห็น โดย aphsara เมื่อ 27 มิถุนายน 2011 เวลา 3:05 (เย็น) ในหมวดหมู่ อยากเล่า #
อ่าน: 3523

กิจกรรมวันปิดงาน 

และแล้วหนึ่งงานในชีวิตที่เคยขยาดนักหนาก็ผ่านพ้นไปแล้วด้วยดี    ภาระที่ว่าคือ เป็นวิทยากร ในโครงการฟื้นฟูผู้ติดสารเสพติด ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติธรรมป่าช้า บ้านอาเลา หัวเสือ โคกรัง จ.สุรินทร์

วิทยากรร่วมโครงการฟื้้นฟูผู้ติดสารเสพติด

ดิฉันเป็นวิทยากรมือใหม่  แค่เห็นหน้าตาเหล่าบรรดาผู้บำบัดยังนึกขยาด   ข่าวในสื่อต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ แม้แต่ในอินเตอร์เน็ต ไม่เคยมีข่าวดี ๆ ของเหล่าบรรดาผู้เสพสารเสพติดแม้แต่น้อย   ยังนึกว่าวันดีคืนดี  คนเหล่านี้เกิดคุ้มคลั่งขึ้นมาหยิบมีดขึ้นมาจ่อคอเหมือนในข่าวหล่ะก็จะทำยังไง

DSC01465

ผู้บำบัดเข้าร่วมโครงการวันแรก (หน้าตาน่ากลัวชะมัด )

DSC02194

โกนศีรษะเสร็จแล้ว  ค่อยกล้าคุยด้วยหน่อย

วันแรกที่ผู้บำบัดเข้ามาในบริเวณวัด  หน้าตา ผมเผ้าแต่ละคน  ช่วยให้นึกถึงข่าว ยาบ้า ตามสื่อตาม ๆ แต่พอโกนศรีษะ  เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว  วิทยากรมือใหม่อย่างดิฉันค่อยยิ้มออก  แหะ ๆ ค่อยกล้าคุยด้วย

 

DSC02111
                วิทยากรร่วมกันวางแผนกิจกรรม

       
                  DSC02188                         
               ร่วมประชุมสรุปผลแต่ละกิจกรรม

เหล่าวิทยากรเรียกผู้บำบัดเหล่านี้ว่านักเรียน  เรามีตารางกิจกรรมอย่างชัดเจนให้กับผู้บำบัด  ตั้งแต่ 6  โมงเช้า  กิจกรรมสวดมนตร์ทำวัตรเช้า   รับประทานอาหาร   ทำกิจกรรมส่วนตัว   ประชุมเช้า   กิจกรรมบำบัด( ให้ความรู้เรื่องสารเสพติด  หรือทำกิจกรรมกลุ่ม )  รับประทานอาหารเที่ยง   สวดมนตร์ตอนบ่าย  บำเพ็ญสาธารณประโยชน์   ทำกิจกรรมส่วนตัว ออกกำลังกาย   รับประทานอาหารเย็น  สวดมนตร์ทำวัตรเย็น นอน   ตอน 3 ทุ่มทุกวัน

         อนุญาติให้ญาติเยี่ยมผู้บำบัดในวันอาทิตย์  ดิฉันเองมีหน้าที่ดูแลกิจกรรมประชุมเช้า   จุดประสงค์หลัก ของกิจกรรมประชุมเช้า คือให้ผู้บำบัดกล้าเผชิญหน้ากับสังคม   กล้าแสดงออกในชุมชน และยอมรับความคิดเห็นคนอื่น      เมื่อได้รับหน้าที่นี้  ดิฉันต้องแอบหัวเราะ   เพราะคุณสมบัติในตัวเองไม่มีที่จะสอนเหล่านักเรียนบำบัดเหล่านี้เลย     ดิฉันจับไมค์พูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ ไม่ได้   เมื่อใดต้องไปอยู่สถานที่บุคคลเยอะ ๆ ดิฉันจะรู้สึกอึดอัด  

DSC02317 
                       ฝึกสมาธิแบบไหวนิ่ง
DSC02745

พระอาจารย์มหาสายันต์  กิตติโก หัวหน้าทีมวิทยากร

แต่เมื่อจำเป็น  เพราะปฏิเสธไม่ได้   ดิฉันก็สามารถจับไมค์นำเสนอกิจกรรมได้   โดยที่ไม่มีนักเรียนบำบัดคนใดจับได้ว่า  คุณครูแอบปากสั่น  มือสั่น  หัวใจเต้นแรง   น้ำลายในปากแห้งสนิท   ถึงแม้จะมีนักเรียนลองของ  ทำให้เกิดปัญหาไปบ้าง  ต้องขอบคุณสัญชาตญาณของคนเป็นครู สอนดิฉันให้สามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที   พี่เณรที่ร่วมเป็นวิทยากร  ดูแรก ๆ ก็อ่อนหัดพอๆ กับดิฉัน พอท่านได้ลงเวทีเป็นวิทยากรจริง ๆ  ดิฉันต้องทึ่ง  โห ! เก่งมาก ๆ ดิฉันได้สื่อและเทคนิคดี ๆ หลายอย่างจากท่านนำมาประยุกต์ใช้กับเด็กนักเรียนที่โรงเรียนได้ด้วย   จากการดำเนินงาน ทุกกิจกรรมได้รับความร่วมมือกับเหล่านักเรียนบำบัดเป็นอย่างดี  อาจจะเป็นเพราะ บุญบารมี และความเมตตาของ พระอาจารย์มหาสายันต์กิตติโก  เจ้าอาวาสวัด  ผู้เป็นแม่งานหลัก เหล่าบรรดาผู้บำบัดเหล่านี้  ไม่มีพฤติกรรมที่ก่อปัญหาร้ายแรง ชวนให้ปวดแต่อย่างใด

  DSC02889

    กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์


                        DSC02453                      ออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรง

ผู้บำบัดรุ่นนี้  มีการศึกษาสูงสุดระดับ ปวช. อายุต่ำสุด 15 ปี อายุสูงสุด 34 ปี  หลายคนอ่านหนังสือไม่ออก  เขียนหนังสือไม่ได้   งานที่ทำก่อนหน้านี้คือรับจ้าง  สาเหตุที่ติดยา  มักจะบอกว่า อยากลอง นิสัยที่เหมือนกัน ของคนติดยา ที่ดิฉันสังเกตเห็น คือ ขี้เกียจมาก ๆ หวังแต่จะรอคอยโชค  รอคอยให้คนอื่น ๆ ยื่นมือมาช่วยเหลือ   เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้   ตารางกิจกรรมในแต่ละวันจึงแน่นเอี๊ยด   เมื่อระยะเวลาผ่านไป 2 เดือน  พฤติกรรมปรับเปลี่ยนขึ้น  แต่คงยืนยันไม่ได้ว่า  บุคคลเหล่านี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด  และทำความเดือดร้อนใด ๆ ให้กับสังคม   วันสุดท้ายของกิจกรรม  ผู้บำบัดต่างเดินมาไหว้ลาดิฉัน   และมีหนึ่งในนั้นเดินมาบอกว่า  “ ครูครับ  ผมมาบอกว่า ผมมั่นใจผมเลิกยา ได้แน่นอน ” ส่งผลให้ดิฉันหัวใจพองโต  ภูมิใจในผลงานที่ตนมีส่วนร่วมด้วย ถึงแม้จะเป็นเพียงหนึ่งคนเท่านั้น  เมื่อเค้าตั้งใจที่จะเปลี่ยนตนแปลงตนเองเป็นสมาชิกของสังคมที่ดี  ดิฉันครูอีกคนหนึ่งของพวกเค้า  จึงฝากวิงวอน ขอโอกาสให้คนดีเหล่านี้คืนสู่สังคมด้วยนะคะ

Post to Twitter Tweet This Post


เก็บตกจากวัดป่า

7 ความคิดเห็น โดย aphsara เมื่อ 20 พฤษภาคม 2011 เวลา 11:20 (เช้า) ในหมวดหมู่ อยากเล่า #
อ่าน: 3289

ทุกช่วงของการปิดเทอม ไม่ว่าจะปิดเทอมระยะยาวช่วงเมษายน หรือว่าระยะสั้น  ดิฉันมักจะหาโอกาสแว้บไปบวชชีที่วัดทุก ๆ ปี    และปีนี้ก็เช่นกัน  ดิฉันเก็บกระเป๋าแต่งชุดขาวไปบวชชีพราหม์ที่วัดเชิงพนมดิน  จังหวัดสุรินทร์ เป็นระยะเวลา 7 วัน

DSC06047 DSC06046

เนื่องจากเดินทางมาวัดตัวคนเดียว  เตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ชุดขาวมาครบ ที่สำคัญ ดอกบัว ธูปเทียนสำหรับขอบวชมาเรียบร้อย   จึงเป็นเรื่องแปลกสำหรับแม่ชี   เพราะนานๆครั้งจะมีผู้หญิงอายุยังไม่เข้าขั้นวัยทอง  เตรียมตัวมาบวชพร้อมขนาดนี้  และครั้งนี้ก็ไม่พ้นกับคำถาม อกหักหรือเปล่าที่มาบวช

เนื่องจากเป็นวัดป่าบริบทโดยรอบ จึงน่าอยู่น่าอาศัยเป็นอย่างมาก  ต้นไม้  ดอกไม้ แข่งกันงามสะพรั่ง  เหล่านกกาส่งเสียงร้องโดยรอบ  อาคารใช้สอยกระทัดรัด   เหมาะสำหรับผู้การบำเพ็ญภาวนา  โดยเฉพาะอัธยาศัยไมตรีของแม่ชีทุก ๆ ท่าน  ดิฉันปลาบปลื้มใจทุกครั้งที่หวลระลึกถึง

DSC06049 DSC06052

หลังจากที่ขอบวชกับหลวงพี่เรียบร้อย   ดิฉันก็เริ่มปฏิบัติหน้าที่  แม่ชี โดยทันที  กิจวัตรประจำวันเริ่มจาก

04.00  - 05.30   ทำวัตรเช้า  และนั่งสมาธิ

05.30  - 07.00   เช็ดถูปัดกวาดศาลา  กวาดโรงครัว  จัดเตรียมสำรับ( เหนื่อยมาก ๆ)

07.00  - 07.30   ฉันอาหาร

07.30 – 08.30   เก็บจานล้าง  ทำความสะอาดโรงอาหาร  บางวันจาน ชาม กองเป็นภูเขา

08.30 – 09.30   ทำภารกิจส่วนตัว  ซักเสื้อผ้า กวาดห้องพัก กวาดบริเวณโดยรอบ

09.30 -  11.00   เตรียมสำรับสำหรับเพล  วันไหนมีญาติโยมมาทำบุญเยอะ  ก็คอยต้อนรับ

11.00  – 11.30   ฉันเพล

11.30  -  12.30   ล้างจานและเก็บกวาดโรงครัว

12.30  -  14.00   ช่วยแม่ชีทำงานโดยทั่วไป  เช่น ปลูกต้นไม้  กวาดถู ศาลา

14.00 –   16.00   เป็นเวลาสำหรับภาวนาในห้องคนเดียว (ชอบมาก วันแรก ๆ หลับประจำ)

16.00 -   17.00   ทำวัตรเย็น นั่งสมาธิ

17.00  -  18.00  มานั่งภาวนาที่ห้องต่อ  บางวันก็กวาดใบไม้รอบ ๆ ที่พัก

18.00   -  19.00  เดินจงกรม และนั่งสมาธิ  รอบดึก พร้อม ๆ กัน

19.00 -   21.00  กลับมานั่งสมาธิ  หรือไม่ก็เดินจงกรม  บางวันเอาหนังสือธรรมะมานั่งอ่าน

21.00     เอนกายนอน พักผ่อนกายา

นี่คือกิจวัตรในแต่ละวัน   เนื่องจากดิฉันเคยเป็นลูกเทวดา  ตื่น 7 โมง มีอาหารตั้งอยู่บนโต๊ะ  รับประทานเสร็จแล้วไปทำงานได้เลย  เสื้อผ้าก็โยนลงเครื่องซัก งานหนัก ๆ ไม่เคยแตะต้อง   เมื่อต้องมาอยู่วัด  เหนื่อยแทบขาดใจ  มือจับไม้กวาด มันพองเป็นปุ่มด้าน ๆ ปวดข้อมือ   ปวดขา มันปวดจนขาสั่นไปหมด   ปวดที่เอวมันเหมือนจะขาดออกจากตัว  แต่ดิฉันไม่กล้าบ่น เพราะอาย  แม่ชีแทบทุกท่านอายุมากกันทั้งนั้น  ไม่เห็นท่านจะบ่นว่าเหนื่อย เห็นท่านทำไปยิ้มไป  เพราะหลายคนอายุมากดิฉันเห็นท่านทำงานหนักนึกสงสาร  เลยอาสาช่วยมันซะทุกเรื่อง  มันก็ยิ่งเหนื่อย  แต่ว่าได้คะแนนเอ็นดูทั้งแม่ชีทั้งพระ มาเกือบเต็ม 10

เมื่องานประจำหนัก  เวลาในการเรียนรู้วิปัสนาที่เป็นเป้าหมายในการเข้าวัดมันก็น้อยลง   แต่กลับรู้สึกว่าทุกครั้งที่นั่งสมาธิ  รู้สึกสบาย  ครั้นพอนั่งไปนาน ๆ เป็นชั่วโมง เริ่มรู้สึกปวดหรือที่เรียกว่ามีเวทนา  ดิฉันเคยอ่านหนังสือพบว่า ให้นำใจไปจดจ่อที่บริเวณที่ปวด ตรงไหนปวดมาก เพ่งมันไปที่นั่น สักพักมันจะหายไป  ดิฉันทดลองดูหลายครั้งมันก็หายปวดจริง ๆ แต่ทว่าพอตรงนี้หาย ตรงโน้นก็ปวด แถมปวดมากเสียด้วย  พอเอาใจไปจดจ่อที่นู่น ที่นู่นก็หาย  ที่โน้นก็ปวดขึ้นมาอีก  อ้าว ! ดูเหมือนว่ากำลังวิ่งไล่จับลม    มาปีนี้เริ่มเข้าใจ  ไม่รู้่ว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า   ดิฉันเข้าใจว่า การปวดหรือเวทนามันเป็นธรรมชาติของร่างกาย  มันปวดได้มันก็หายได้  เหมือนคำว่า มีเกิดแล้วก็มีดับ   หากเราไปสนใจเวทนาก็เสียเวลาเปล่า  หลังจากวันนั้นดิฉันนั่งสมาธิได้นานขึ้นโดยที่อาการปวดก็ยังคงอยู่  แต่ไม่ได้ไปใส่ใจมัน   สบายมากขึ้น จนนึกสงสัยว่าตนเองหลับในสมาธิหรือเปล่า  กลับบ้านมาปฏิบัติต่อก็ยังรู้สึกสบาย บางวันเหนื่อยมาก ๆ  ทุกครั้งจะหลับทันที  กลับจากวัดเปลี่ยนนิสัยใหม่  เมื่อรู้สึกเหนื่อยนั่งขาขวาทับขาซ้าย  หลับตาลง พุธโธ สักชั่วโมง  ก็สามารถทำงานต่อไปปกติ โดยที่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย  แอบหลับในสมาธิหรือเปล่าน๊า  ข้อสงสัยนี้ดิฉันจะต้องหาคำตอบต่อไป

แง่คิดที่ดิฉันเอาเก็บมาคิดและจำได้ตลอดจากวัดคือแม่ชีท่านหนึ่ง  ท่านจะเดินไปตลาดเพื่อซื้อของใช้เป็นประจำ    ระยะทางไปกลับ 8 กิโลเมตร  ยายชีแก่ ๆ เดินไปตามถนนที่แดดร้อน ๆ รถวิ่งกันขวักไขว่ไม่นั่งรถโดยสาร   ไม่โบกรถง้อผู้ใด  เดินไปเรื่อย ๆ ขากลับถือข้าวของพะรุงพะรังกลับมาจากตลาด  ดิฉันเห็นแล้วตกใจ  ถามท่าน ว่าทำไมไม่นั่งรถโดยสาร ท่านบอกขี้เกียจรอ  อีกอย่างท่านเดินจนชินแล้ว  ดิฉันเหลือบไปเห็นข้าวของในมือที่ถือมา  ถุงหูหิ้วน้ำหนักมากพอดู  ทำให้มีรอยแดง ๆ ในฝ่ามือ  ดิฉันแอบน้ำตาซึม   เหตุการณ์ครั้งนี้สะเทือนใจดิฉันอย่างแรง  กลับมานั่งคิด คิดแล้วคิดอีก  เดินไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็ถึง ทำไมจะต้องรอพึ่งคนอื่น   ใครจะจอดรถรับหรือไม่ ไม่สนใจ  ไม่อายที่จะเดิน ใช่แล้วดิฉันกำลังได้รับบทเรียน  เพราะตลอดชีวิตของการทำงาน  ต้องหวังพึ่งหรือสนใจเสียงรอบตัวเรื่อยมา  เหนื่อยหน่อยไม่มีทางยอมทำ  ทิ้งตั้งแต่คิดจะทำ   น่าอายแท้ ๆ ดิฉันอายแม่ชีแก่ ๆ ท่านนี้   หากคิดเหมือนแม่ชีสักนิด  ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็เสร็จ ใครจะช่วยหรือไม่ช่วย จะสนทำไม   ทำเรื่องดี ๆ ไม่เห็นต้องอาย     เข้าวัดครั้งนี้ดิฉันคุ้มเหนื่อยก็เพราะบทเรียน  บทนี้ค่ะ

Picture 210

Post to Twitter Tweet This Post


จะไหวไหมเนี่ย ?

6 ความคิดเห็น โดย aphsara เมื่อ 22 เมษายน 2011 เวลา 9:09 (เย็น) ในหมวดหมู่ อยากเล่า #
อ่าน: 3619

เนื่องจากนิสัยส่วนตัวแล้ว เป็นคนขี้อายมาก ๆ ถึงจะมีอาชีพเป็นครูก็ตาม  เรื่องพูดต่อหน้าชุมชน  ทำตัวเป็นผู้นำในสังคม  ดิฉันยังถือว่าเด็กมาก ๆ  และนี่คือข้อบกพร่องที่เคยคิดอยากจะแก้ไข  ไม่กี่วันที่ผ่านมา  ได้รับโทรศัพท์จากพระอาจารย์ให้ช่วยไปเป็นวิทยากร  ในโครงการบำบัดผู้เสพสารเสพติดที่วัด   ดิฉันอึ้งเงียบไปนานแต่ในใจปฏิเสธเรียบร้อย  แอบคิดในใจ  ไอ้อย่างเรารึจะมีปัญญา   สอนเด็กนักเรียนได้ก็ถือว่าบุญละ    แถมยังสาวและโสดอยู่ด้วย เข้าวัดเมื่อไหร่เป็นชาวบ้านนินทาว่าติดใจพระอีก  งานนี้ตั้ง 2 เดือน คงมีแต่เสียกับเสียทั้งนั้นหล่ะ  แต่เพื่อรักษาน้ำใจคนชวน  ดิฉันจึงแบ่งรับแบ่งสู้ตอบไปว่า  แล้วจะแวะไปช่วยล้างจานที่วัดให้ 

    ดอกสะเลเต_กิจกรรมบำบัดผู้ติดสารเสพติด

เมื่อแวะเข้ามาที่วัด   ได้รับทราบปัญหาจากสถานที่จริง  คือไม่มีวิทยากรที่ชำนาญสักคน  แม่ชี 3 คนที่มาร่วมเป็นวิทยากร อายุยังน้อย  บุคลิกยังคิกขุอาโนเนะ  ทุกคนขาดประสบการณ์ทั้งนั้น   พี่เณรที่ช่วยเป็นวิทยากรก็เป็นวัยรุ่นซะจนไม่รู้ผู้บำบัดจะเคารพหรือไม่   หัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ก็คงจะเป็นพระอาจารย์ที่่วัดน่าจะเหนื่อยที่สุดอีกตามเคย   แต่ก็ถือเป็นเรื่องโชคดีที่งานครั้งนี้มีอาจารย์แม่ จากศูนย์ธัญญารักษ์มาช่วยอบรมวิทยากร 3 วัน ดิฉันเองได้ร่วมอบรมแค่ 2 วัน  แต่ถือว่าเป็นความรู้ที่ดิฉันเองยังไม่เคยได้รับที่ไหนมาก่อน   อาจารย์แม่ท่่านชมว่า  ดิฉัน  สามารถทำให้ผู้บำบัดเปิดใจ  คุยแบบสบาย ๆ ได้ตั้งแต่วันแรกที่พบ   ใจเย็น  และมีบุคลิกของผู้ให้คำปรึกษาได้  ท่านให้กำลังใจว่าดิฉันทำได้  และจะทำได้ดีด้วย  

ดอกสะเลเต_กิจกรรมบำบัดผู้ติดสารเสพติด

วัดป่าแห่งนี้ร่วมโครงการรับผู้บำบัดสารเสพติดมาถึง 3 รุ่นแล้ว รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 4 ทุกครั้งที่จัดงานพระอาจารย์ท่านมักจะขอร้องดิฉันทุกครั้งให้มาช่วยเป็นวิทยากร  ท่านให้เหตุผลที่ชวนดิฉันร่วมงานคือ  ดิฉันมีวิญญาณของคนเป็นครูอยู่ในตัว  ฟังคำนี้แล้วปลื้มทุกที  แต่ดิฉันก็ปฏิเสธท่านทุกรอบ  แรก ๆ คิดหาเหตุผลปลีกตัวเรียบร้อย  แต่ครั้นได้พูดคุยสนทนากับผู้รับการบำบัด  ได้เห็นสภาพจริง  ความขัดสนหลาย ๆ อย่างในการจัดงาน  ดิฉันต้องกลับมานอนก่ายหน้าผากคิด    ถ้าเราไม่ช่วยแล้วใครจะช่วย ถ้าเกิดวันหนึ่งคนที่ทำงานแบบนี้  ท้อขึ้นมาสักคนแล้วใครจะทำ  แล้วอีกเหตุผล  คืออยากจะฝึกสร้างนิสัยการเป็นผู้นำ  ฝึกความเชื่อมั่น  ฝึกการพูด  เมื่อโอกาสดี ๆมาให้ฝึกแบบนี้  ถ้าทิ้งเสียมันคงไม่ผ่านมาอีก   ใครจะนินทาก็ช่างหัวมัน ฟะ

พรุ่งนี้ลุย   โดยที่ไม่ต้องมีพี่เลี้ยง  เอ่อแต่ว่า…..มันจะไหวไหมเนี่ย ?

 

ดอกสะเลเต_กิจกรรมบำบัดผู้ติดสารเสพติด

Post to Twitter Tweet This Post


พิธีสวดภาณยักษ์

6 ความคิดเห็น โดย aphsara เมื่อ 19 เมษายน 2011 เวลา 10:36 (เย็น) ในหมวดหมู่ อยากเล่า #
อ่าน: 4390

อาทิตย์ที่แล้วได้มีโอกาสไปเป็นเจ้าภาพถวายน้ำปานะในโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนที่วัดในตัวอำเภอ   เหลือบไปเห็นป้ายประชาสัมพันธ์  เชิญชวนเข้าร่วมพิธีสวดภาณยักษ์   เป็นการไล่เคราะห์  เสนียดจัญไร  คุณไสย สารพัดสรรพคุณ โห ดีขนาดนี้ต้องเดินไปอ่านซ้ำใกล้ ๆ   แอบคิดในใจพระท่านทำอย่างนี้เป็นอาบัติหรือเปล่านะ     เมื่อถึงวันทำพิธีดิฉันก็คว้าจิ๊บดำคู่ใจ  เข้าร่วมพิธีด้วย  ไม่ใช่อยากสะเดาะห์เคราะห์อะไรหรอกค่ะ  แต่เพราะแม่ มารดาบังเกิดเกล้า อยากเข้าร่วม ดิฉันก็ต้องเข้าร่วมด้วย  แม่มีเหตุผลมากมายที่คนเป็นลูกห้ามมีเหตุผลโต้เถียง  และอีกเหตุผลอีกอย่างที่คนหัวแข็งอย่างดิฉันเข้าร่วมพิธีกรรมนี้ เนื่องจากอยากรู้ อยากเห็นค่ะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นสักที     ทันทีที่เข้ามาในวัด  โอ้โห คนแน่นขนัด ศาลาที่ว่าใหญ่ ยังดูคับแคบไปถนัดตา  ในบริเวณพิธีมีด้ายสายสินญ์ห้อยลงมาเพื่อเอาคล้องที่หัวคนเข้าร่วม  คน

พิธีสวดภาณยักษ์

ที่เข้าร่วมพิธีต้องนั่งให้ตรงกับด้าย  คนในศาลาวัดเต็ม   ล้นทะลักออกมาข้างนอกเต๊นท์เต็มไปหมด  ก่อนเข้าในศาลา ทางวัดจะให้บูชาผ้าขาว ดอกไม้  ธูปเทียน ในราคาทีี่แตกต่างกัน ตามกำลังวันเกิด สะเดาะห์เคราะห์ให้รถก็อีกราคาหนึ่ง วันนั้นคนเกือบสองพันคน รถยนต์เต็มวัด  คิดว่าน่าจะได้เงินจากพิธีนี้มากพอสมควร  กว่าจะได้เริ่มพิธีสวดก็เกือบ 2 ทุ่ม  ขั้นแรกในการสวด พระท่านจะสวดมนต์บทชัยมงคลคาถา  ดิฉันนั่งฟังบทสวดแล้วดูจิตตนเองไปเรื่อย ๆ รู้สึกว่าสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน  เป็นสุขได้ท่ามกลางฝูงชนห้อมล้อมมากมาย  แต่พอขึ้นบทสวดภาณยักษ์ ปรากฏว่าเสียงที่สวดเป็นเสียงดังสูง ๆ ต่ำ ๆ คล้าย ๆ ปลุกเร้า ในใจรู้สึกหงุดหงิดขึ้นโดยฉับพลัน  ใจเต้นตึก ๆ ชักเริ่มกลัว  ในขณะที่สวดบทภาณยักษ์ไป จะมีพระสงฆ์นั่งอยู่มุมศาลา 4 มุมเพื่อพรมน้ำมนต์ ไปเป็นระยะ สวดไปสักพัก  เด็กผู้ชายที่นั่งด้านหลังศาลาเกิดอาการทำท่าแปลก ๆ วิ่งกระทืบเท้า วิ่งฝ่าฝูงชนที่นั่งออกมา  เหยียบคนนั่งร่วมพิธีไปหลายราย  เพราะคนแออัดกันมาก  ดิฉันรีบจับกล้องขึ้นมาถ่ายภาพทันที 

สวดภาณยักษ์

กลุ่มผู้ชายที่ช่วยในงานพิธีหลายคนรีบเข้ามาช่วยจับ  แล้วพระท่านก็เดินมาพรมน้ำมนต์  ประพรมจนเกือบอาบก็ว่าได้  แล้วเจ้าตัวคนนั้นก็ลุกขึ้นท่าทางเหมือนคนพึ่งฟื้น   แล้วก็ไปนั่งที่เดิม ทำพิธีต่อ   ไม่นานนักก็มีรายอื่น ๆ ทำท่าทางเพี้ยน ๆ ขึ้นอีกหลายราย

สวดภาณยักษ์

บางรายส่งเสียงกรี๊ด ๆ บางรายสั่นเทิ้มเหมือนเจ้าหรือผีเข้า   ดิฉันได้รับคำอธิบายว่า คนที่มีอาการแปลก ๆ เพราะว่าเค้าอาจจะถูกคุณไสย  หรือบางรายไปเรียนคุณไสย หรือสักยันต์ คนสุรินทร์เรียกว่า พวกเล่นของ  พวกเรียนวิชา  ก็เลยทำให้มีอาการต่าง ๆ

สวดภาณยักษ์ 

ในขณะที่วิ่งถ่ายรูปหลายราย  ดิฉันได้กลิ่นเหล้า  แต่บอกแหล่งไม่ได้  กลับจากงานพิธี  ก็เลยได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม  วิทยาศาสตร์อธิบายว่า  เหตุที่เกิดอาการแปลก ๆ เพราะเป็นอุปาทานหมู่  งานนี้ใครต้มใครไม่รู้แน่   แต่ที่รู้ ๆ วัดได้เงินเข้าเยอะมาก สามเณรน้อยจะมีค่าภัตตาหาร  ค่าน้ำปานะ หรือวัดอาจจะสร้างห้องน้ำ หรือสร้างศาลาได้อีกสักหลัง

ดิฉันเคยชวนญาติ เพื่อนร่วมงาน  มาช่วยถวายภัตตาหาร น้ำปานะ  ปฏิบัติธรรม  ชวนยากเหลือเกิน  จนหลายครั้งท้อใจ ขึ้นสวรรค์คนเดียวก็ได้(วะ)   แต่ครั้นวัดจัดงานแบบนี้ขึ้น  แทบไม่ต้องชวนคนเข้าวัด คนและเงินไหลเข้าวัดง่ายเหลือเกิน  ดิฉันเริ่มเข้าใจพระมากขึ้น   วิธีการชวนคนเข้าวัดมีหลายวิธี นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง  ที่เหมาะกับคนอีกกลุ่มหนึ่งในพุทธศาสนา 

สาธุ ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยค่ะ 

Post to Twitter Tweet This Post


สงกรานต์สุขสันต์

5 ความคิดเห็น โดย aphsara เมื่อ 16 เมษายน 2011 เวลา 9:04 (เย็น) ในหมวดหมู่ อยากเล่า #
อ่าน: 4872

วันสงกรานต์   เป็นเทศกาลที่ไม่ชอบเอาเสียเลย  เนื่องจากมีประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำนักในช่วงวัยสาวที่ผ่านมา  ต้องบอกว่าวัยสาวที่ผ่านมา เพราะมันนาน….มาแล้ว  แต่สาว ๆ วัยรุ่นสมัยนี้กลับเห็นเป็นเรื่องชอบใจ    ใส่กางเกงสั้น ๆ เสื้อสีขาวบาง ๆ ขับมอเตอร์ไซต์ร่อนผ่านไปผ่านมาให้เหล่าวัยรุ่นชายประแป้งแบบถึงลูกถึงคน   บางส่วนยึดถนนที่รถกำลังวิ่งผ่านไปมาเป็นลานดิสโก้เธค  เปิดเพลงเสียงดัง เต้นด้วยท่าเปรตขอส่วนบุญ  เหมือนจะประกาศศักดาบอกว่าข้าพึ่งถูกยมทูตปล่อยมาขอส่วนบุญ เห็นแล้วเพลิงโทสะในตัวพุ่งปรี๊ดแข่งกับอุณหภูมิของโลก    ต้องตั้งสติอยู่นานเพื่อไม่ให้เท้าเหยียบคันเร่งพุ่งชนเหล่าเปรตเหล่านี้เพื่อช่่วยงานยมทูตเก็บกวาดวิญญาณคืนสู่ขุมนรก  ตามประสาคนมีน้ำใจ  

แต่เหรียญมีสองด้าน   โลกก็มีหลายมุม  ดิฉันจึงได้เก็บอีกมุมของความประทับใจในวันสงกรานต์มาเก็บไว้ที่ลานปัญญา  เป็นสงกรานต์สุขสันต์ค่ะ

สงกรานต์สุขสันต์

เช้าตรู่ของวันที่ 14 เม.ย.ดิฉันได้ตื่นแต่เช้าตรู่  เตรียมไปทำบุญตักบาตรที่วัด  หยิบผ้าถุงไหมมาใส่ ให้รู้สึกว่าเป็นหญิงไทยโบราณ  เข้ากับเทศกาลแบบไทย ๆ แต่งหน้าอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ  เพราะถ้าหากวันไหนรู้สึกว่าตัวเองสวย วันนั้นมีความสุขทั้งวันค่ะ  พระท่านบอกว่า ราคะจริต  รู้ และก็ยอมรับ แต่ยังเปลี่ยนไม่ได้เจ้าค่ะ  

ไปถึงวัดได้ทำบุญตักบาตร  และถวายผ้าป่าร่วมสร้างห้องน้ำที่วัด  อิ่มบุญกันถ้วนหน้า  นอกจากนี้ยังมีความสุขจากการได้ทักทายเพื่อนพ้องพี่น้อง  ที่ได้ไปทำงานที่ไกล ๆ แล้วกลับมาในเทศกาลวันสงกรานต์ ได้เจอกิ๊กสมัยเรียนก็งานนี้หล่ะค่ะ

 DSC05955

จำได้ตอนเด็ก ๆ เคยไปแอบนั่งดูคู่หนุ่มสาวที่เค้าช่วยกันก่อกองทราย  เห็นเค้ากระหนุงกระหนิง ดูแล้วน่ารัก  เป็นความทรงจำที่ดิฉันเก็บไว้ตั้งแต่เด็ก ๆ  มาปีนี้ได้มีโอกาสก่อกองทรายเองบ้าง   ถึงแม้จะไม่มีคู่เหมือนคนอื่น ๆ แต่ก็รู้สึกสุขใจนัก

สงกรานต์สุขสันต์

กิจกรรมสุดท้ายคือการรดน้ำดำหัว  ก่อนหน้าที่จะรดน้ำดำหัวทั้งพระประธาน  พระสงฆ์ และผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน

สงกรานต์สุขสันต์ 

พระท่านได้กล่าวนำขออโหสิกรรมพระพุทธ  พระธรรมและพระสงฆ์   ดิฉันสุขใจเป็นอย่างยิ่ง  เพราะตนเองเคยคิดไม่ดีกับพระสงฆ์  เนื่องจากเคยเห็นท่านทำอะไรที่มันน่าจะไม่เหมาะกับสถานะสงฆ์   แต่ดิฉันสำนึกได้ว่าตนเองไม่ควรจะคิดแบบนั้น  คิดอยากขอขมาท่านเรื่อยมา  แต่ไม่กล้า  มาวันนี้ได้ขอขมาท่านเรียบร้อยแล้ว  รู้สึกปลอดโปร่งใจชะมัด

สงกรานต์สุขสันต์

อยากให้เทศกาลวันสงกรานต์มีภาพกิจกรรมดี ๆ แบบนี้หลงเหลือไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน  ให้เป็นเทศกาลแห่งความสุขในแบบไทย ๆ อย่างแท้จริงจังเลย

Post to Twitter Tweet This Post


บันทึกแรกในลานปัญญา

8 ความคิดเห็น โดย aphsara เมื่อ 19 มีนาคม 2011 เวลา 3:53 (เย็น) ในหมวดหมู่ อินเตอร์เน็ต #
อ่าน: 3540

รู้จักลานปัญญาครั้งแรกจากการค้นหาข้อมูลสำหรับการใช้ Microsoft word ในการเขียนบันทึกในเวบบล็อก    ต่อจากนั้นก็จด ๆ จ้อง ๆ จะสมัครสมาชิก  เขียนบทความที่นี่ดีไหมน๊า   แอบผ่านมาอ่านหลายบทความ จนเริ่มจะมั่นใจในตัวเองขึ้น  สาเหตุคือ ชื่อว่าลานปัญญา กลัวไม่มีปัญญาเอาอะไรมาแบ่งปันกะผู้รู้ทั้งหลายเนี่ยสิ 

 บทความแรกในลานปัญญา

เมื่อเริ่มมั่นใจ  วันนี้สมัครซะเลย  หลังจากนั้นทดลองใช้ Windows Live   Writer  โปรแกรมช่วยเขียนบทความตัวโปรด  เขียนบทความที่ลานปัญญา  ปรากฏว่า สามารถใช้เขียนบทความได้ด้วย   แจ่มจริง 

 

บทความแรกในลานปัญญา

เพราะ Windows  Live  Writer   ช่วยให้สามารถเตรียมข้อความหรือรูปภาพ  คล้าย ๆ ใน Microsoft word ได้ แต่ทว่าลูกเล่นเพียบ 

บทความแรกในลานปัญญา

เสร็จละ สำหรับบันทึกแรก 

Post to Twitter Tweet This Post



Main: 0.14074802398682 sec
Sidebar: 0.0083110332489014 sec