Apr 19

บ้านห้องแถวชั้นครึ่งที่คลองหลานั้น จำได้ว่า ตอนที่ยังไม่เข้าโรงเรียนนั้น ในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ขณะที่นักเรียนเดินผ่านหน้าบ้าน ผู้เขียนจะอยู่ที่ริมหน้าต่างชั้นบนแล้วมองลงมา ก็มักจะส่งเสียงเรียกร้องความสนใจ เมื่อใครเงยหน้ามามอง ก็มักจะแลบลิ้น หรือทำตาหลุน ทำนองผีหลอกเด็กนักเรียนที่ผ่านไปผ่านมาอยู่เสมอ (คงจะทำบ่อย จึงจำพฤติกรรมเรื่องนี้ได้ 5 5 5…) จนกระทั้งได้เข้าโรงเรียน ป.๑ ห้องครูเพ็ญศรี ซึ่งเรื่องนี้เคยเล่าไว้แล้ว (คลิกที่นี้) จะคัดลอกมาไว้ที่นี้

“”" ยกเว้นพ่อแม่ซึ่งจัดว่าเป็นครูคู่แรกแล้ว เมื่อแรกเข้าเรียน ป.๑ ครูเพ็ญศรีซึ่งเป็นครูประจำชั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นครูคนแรกของผู้เขียน….

พ.ศ.๒๕๑๒ คือปีแรกที่ผู้เขียนเริ่มเข้าเรียน ป.๑ ที่โรงเรียนวัดคูขุด (เพื่อมประชานุกูล) จำได้ว่า วันแรกที่เข้าเรียนนั้น บรรดาเพื่อนชักชวนกันว่า ไปอยู่ห้องพี่ศรีดีกว่า ครูเพียรตีเจ็บ กล่าวคือ ป.๑ มีสองห้องเรียน โดยมีครูเพ็ญศรีและครูเพียรเป็นครูประจำชั้นในแต่ละห้อง ซึ่งนักเรียนสามารถเลือกเรียนได้ตามความสมัครใจ…

ครูเพียร เป็นครูผู้ชาย อายุมากแล้ว (แก่กว่าโยมพ่อ เพราะบางครั้งผู้เขียนก็เรียกว่า ลุงเพียร) ส่วน ครูเพ็ญศรี ครูผู้หญิง เป็นคนในบ้านคูขุด ซึ่งพวกเรามักจะเรียกกันติดปากว่า พี่ศรี จนกระทั้งปัจจุบัน…

สมัยนั้น ป.๑ ยังคงใช้กระดานชนวน ส่วน ป. ๒ ขึ้นไปจะใช้สมุด… และยังมีอดีตที่ผู้เขียนจำไม่ลืม เพราะวันแรกที่เข้าโรงเรียนนั้น กระดานชนวนของผู้เขียนหายไป… เล่าเรื่องว่า ในภาคบ่าย พี่ศรีจะให้วาดๆ เขียนๆ อะไรก็ได้ลงในกระดานชนวนแล้วก็นำไปส่ง ตอนเย็นเมื่อเลิกเรียนก็ไปเอาคืน แต่ตอนเลิกเรียนนั้น ผู้เขียนไปเอาคนสุดท้าย (จำไม่ได้ว่า ทำไมไปเอาคนสุดท้าย อาจเพราะไปเข้าห้องน้ำ หรือหลับอยู่ในห้อง ไม่แน่ใจ ?)

เมื่อไปที่โต๊ะครู กระดานชนวนหายไปหมดแล้ว ผู้เขียนจึงต้องเดินกลับบ้านตัวเปล่า กลับมาบอกที่บ้าน… น้าชายซึ่งเป็นน้องของโยมแม่ ผ่านมาที่บ้านก็แนะนำผู้เขียนทันทีว่า วันนี้ เพื่อนเอาของหมึง ต่อเช้า หมึงต้องเอาของเพื่อนมาสักสองอัน… แต่ตอนเย็นใกล้ๆ ค่ำ โยมพ่อก็ไปเอาคืนมาได้…. ผู้ที่เอาไปก็คือ ปุ (ผู้หญิง) สาเหตุก็คือ เพื่อนเอาของเธอไปให้แล้ว แต่เธอไม่รู้ เมื่อมาเอา เห็นมีอยู่เพียงอันเดียว เธอจึงเอาไป…

อาคารเรียนสมัยยังอยู่ ป. ๑ นั้น เป็นอาคารไม้สองชั้น ชั้นบนสามห้อง ชั้นล่างสามห้อง… ห้องผู้เขียนเรียนนั้น อยู่ชั้นล่างติดกำแพงวัดด้านตะวันตก โดยพื้นของห้องเรียนนั้นเป็นดินเหนียว มิได้เทคอนกรีต ริมด้านล่างของฝาห้องแต่ละด้านจะมีช่องโหว่ เรียกกันว่า ช่องหมาลอด แต่พวกเราเด็กๆ มักจะลอดเข้าลอดออกได้ เช่น บางคนจะเข้าห้องน้ำไม่ขออนุญาตคุณครูออกทางประตู แต่แอบลอดออกไปทางช่องใต้ฝาห้อง ก็มักจะถูกเฆี่ยน เมื่อครูจับได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเรา

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ผู้เขียนยังจำได้ตอนอยู่ ป.๑ ก็คือ ในภาคเช้าของวันหนึ่ง ครูเพ็ญศรีหาปากกาที่โต๊ะไม่พบ จึงยังไม่ปล่อยกลับไปกินข้าวที่บ้าน (ขึ้นเที่ยง) ซึ่งนักเรียนเกือบทุกคนมักจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน… ผู้เขียนไม่ได้ขโมย ดังนั้น เมื่อเพื่อนอีกห้องผ่านมาชวนกลับบ้าน ผู้เขียนจึงแอบลอดช่องหมากลับบ้านไปพร้อมเพื่อน…. เมื่อกลับมาเรียนตอนบ่าย ผู้เขียนจึงถูกครูเพ็ญศรีเฆี่ยนในข้อหากลับก่อนได้รับอนุญาต…(ส่วนปากกานั้น มิได้หายไป และมิได้มีใครขโมย รู้สึกว่าท่านจะหาเจอ หรือครูบางท่านยืมไปนี้แหละ ไม่แน่ใจ ?)

ครูเพ็ญศรีสอนอย่างไรบ้าง ผู้เขียนก็เลือนๆ ประติตประต่อไม่ค่อยจะถูก แต่ผลเชิงประจักษ์ก็คือ ผู้เขียนสามารถ อ่านออก เขียนได้ บวกเลขเป็น และได้รับการผ่านชั้นขึ้นไปเรียน ป.๒ ในปีต่อมา….

หลังจากพ้น ป.๑ ไปแล้ว รู้สึกว่าอีก ๑-๒ ปีต่อมา พี่ศรีหรือครูเพ็ญศรีได้แต่งงานแล้วก็ย้ายไปสอนโรงเรียนอื่น… ส่วนผู้เขียนเมื่อจบ ป.๕ แล้วครอบครัวก็ย้ายมาอยู่ในเมืองสงขลา จึงได้ย้ายมาเรียน ป.๖ ที่โรงเรียนเทศบาล ๓ (วัดศาลาหัวยาง) และตั้งแต่นั้นมาเกือบจะไม่ได้เจอพี่ศรีอีกเลย…

ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอ รู้สึกว่าจะเป็นที่โรงเรียนวัดกลาง ต.กระดังงา ประมาณปี ๒๕๒๙-๓๐… ซึ่งช่วงนั้น ผู้เขียนบวชได้ราวสองพรรษา ญาติคนหนึ่งซึ่งเป็นครูสอนอยู่ที่นั้นได้นิมนต์ผู้เขียนเพื่อไปพูดให้เด็กนักเรียนฟังในโอกาศวันครู จึงได้เจอครูเพ็ญศรีโดยบังเอิญ… พี่ศรีย้ายมาสอนที่นี้หลายปีแล้ว หลังจากคุยกันเล็กน้อย ก็ทราบว่าสามีของท่านเป็นอาจารย์ใหญ่อยู่ที่นี้…

ตอนนี้ ครูเพ็ญศรี หรือ พี่ศรี ถ้ายังไม่เกษียณก็คงจะใกล้ๆ แล้ว… ในโอกาสที่วันนี้ เป็นวันครู ผู้เขียนจึงนำเรื่องนี้มาเล่าเพื่อเป็นที่ระลึกถึงครูคนแรกที่สอนให้ผู้เขียน อ่านออก เขียนได้ บวกเลขเป็น

  • ครูคือคนคู่โค้ง            ความคิด
  • ควรใคร่คู่ควรคิด         คัดค้าน
  • ครองคำคู่ครองคิด      ควรค่า   คือครู
  • ควรเคาคบคำคึ้ง         เคียดแค้น   คล่อนคลาย

………….

ตำบลคูขุดคือบ้านเดิมของแม่ตามที่เล่ามาในตอนแรก… ส่วนตำบลกระดังงาคือบ้านเดิมของพ่อ ซึ่งผู้เขียนได้เคยเล่าไว้แล้ว (คลิกที่นี้) ดังนั้น จึงคัดลอกมาเป็นส่วนเติมเต็มที่นี้อีกครั้ง…

“”" แม้ผู้เขียนจะเป็นคนอำเภอสทิงพระโดยกำเนิด แต่ถ้าแยกออกไปแล้ว โยมแม่เป็นคนตำบลคูขุด ส่วนโยมพ่ออยู่ตำบลกระดังงา… ตำบลคูขุดอยู่ติดทะเลสาบ ส่วนตำบลกระดังงาอยู่ติดทะเลหลวง โดยเหตุที่อำเภอสทิงพระมีทะเลกระหนาบทั้งสองด้าน ดังนั้น พวกที่อยู่ริมทะเลสาบซึ่งมีพื้นที่ต่ำกว่าจะถูกเรียกว่า พวกบ้านต่ำ หรือ พวกโสดล่าง … ขณะที่พวกที่อยู่ติดทะเลหลวงจะเรียกกันว่า พวกเนิน หรือ พวกโสดเนิน… เพราะเหตุว่า โยมพ่อเป็นพวกเนิน ส่วนโยมแม่เป็นพวกบ้านต่ำ ดังนั้น ผู้เขียนจึงซึมซับเอาวิถีความเป็นอยู่ทั้งสองฝ่ายไว้…

แม้เด็กๆ ผู้เขียนจะเป็นอยู่และแรกเข้าเรียนที่คูขุด แต่ก็จะไปอยู่กระดังงาบ้างตามโอกาส… และโอกาสหนึ่งในแต่ละปีที่จะไม่พลาดก็คือวันตรุษจีน หรือ วันไหว้ก๋อง เพราะโยมพ่อมีเชื้อสายคนจีนอยู่หลายส่วน และพ่อของพ่อ ผู้เขียนไม่เีรียกว่า ปู่ แต่เรียกว่า ก๋อง (คือ ก๋ง นั่นเอง แต่สำเนียงใต้ออกเสียงว่า ก๋อง )

บ ้านก๋อง ตามความทรงจำในตอนเด็กๆ นั้น สภาพภายในบ้านยังมีความเป็นคนจีนอยู่มาก แต่เมื่อผู้เขียนเป็นวัยรุ่นแล้ว รู้สึกว่าความเป็นคนจีนก็สลายไปเกือบหมด (ฟังว่า โยมพ่อและน้องๆ ของท่านทุกคน สมัยก่อนก็ใช้ชื่อจีน เพิ่งมาเปลี่ยนเป็นชื่อไทยก็เมื่อแรกเข้าโรงเรียน)

บ้านก๋องในสมัยก่อนมีหลายหลัง เช่น บ้านไม้สองชั้นสองคูหา ด้านหนึ่งเป็นร้านขายของชำ ซึ่งนอกจากขายที่บ้านแล้ว คุณย่าจะนำไปขายตามตลาดนัดในหมู่บ้านใกล้ๆ ด้วย… อีกด้านหนึ่งเป็นร้านขายเครื่องยาจีนทั่วๆ ไป ซึ่งเมื่อโตขึ้น ผู้เขียนเห็นร้านขายยาสมุนไพรหรือร้านขายยาในหนังจีนโบราณแล้ว ก็มักจะนึกถึงบ้านก๋องเสมอ เช่น มีเครื่องชั่งยาโบราณ มีตะกร้าหลากชนิดใส่เครื่องยา และมีตู้ลิ้นชักเรียงขึ้นไปเป็นชั้นๆ ไว้เก็บเครื่องยาสำคัญ เวลาจะเอาก็ต้องพาดบันไดขึ้นไป… ซึ่งพวกเราเด็กๆ มักจะวิ่งไล่จับขึ้นบันไดในคราวผู้ใหญ่ไม่อยู่เสมอ….

นอกจากร้านขายของชำและขายเครื่องยาสมุนไพรแล้ว ด้านข้างจะเป็นโรงสีข้าวขนาดใหญ่พอสมควร ซึ่งผู้เขียนทันเห็นเครื่องสีเดินเครื่องอยู่ไม่เท่าไหร่นัก เพราะไม่ทันได้เป็นวัยรุ่น เครื่องสีก็หยุด แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นโกดังเก็บของแล้วก็ถูกรื้อไป… ต้นมะขามขนาดใหญ่ด้านหน้าบ้านก็ถูกโค่นลง… บ้านหลังอื่นๆ ถูกรื้อบ้าง สร้างใหม่บ้าง จนสภาพเดิมค่อยๆ หมดไป… ด้านหลังบ้านนั้น สมัยก่อนเป็นส่วนกล้วยขนาด ๑-๒ไร่ ซึ่งผู้เขียนมักจะเข้าไปเที่ยวแล้วเดินหลงเสมอนั้น ก็ค่อยๆ เล็กลงๆ….

ก๋อง มีลูก ๑๐ คน และอยู่มานานถึงเก้าสิบกว่าปี เพิ่งถึงแก่กรรมไปเมื่อ ๓-๔ ปีนี้เอง… เดียวนี้ บ้านก๋องไม่มีแล้ว เพราะถูกแบ่งออก ๔ ส่วนสำหรับลูกและหลานของก๋อง ๔ ครอบครัวที่สมัครใจอยู่บ้านเดิม ส่วนลูกคนอื่นๆ ของก๋องอีก ๖ คนก็แยกย้ายกันไปอยู่อื่น ชีวิตของก๋อง กลายเป็นเรื่องเล่าประจำตระกูลและคงจะเลือนหายไปตามธรรมดา…

ก๋องมีแนวคิดว่า ลูกหลานนั้น ถ้าอยู่ใกล้กันมักทะเลาะกัน จึงต้องการให้อยู่ห่างออกไปเพื่อจะได้พึ่งพาอาศัยกันตามโอกาส ดังนั้น ก๋องจึงวางแผนไปซื้อที่ดินไว้ในที่ต่างๆ เพื่อต้องการให้ลูกๆ ได้ไปอยู่… ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อประมาณ ๕๐-๖๐ ปีก่อน ก๋องกับก๋องอีกท่าน (พี่หรือน้องของท่าน) ชวนกันเดินทางมาซื้อที่ดินที่แถวหน้ามอ. หาดใหญ่ วันที่ตกลงจะจ่ายเงินนั้น บังเอิญก๋องมองไปที่ยอดยาง เห็นใบยางแดงและและกิ่งยางแห้ง จึงรู้ว่าน้ำใต้ดินไม่สมบูรณ์จึงขอลดราคาที่ดินลงอีก เมื่อไม่ตกลง ก๋องทั้งสองจึงชวนกันไปซื้อแถวสถานีรถไฟทุ่งลุง อำเภอสะเดา…

ฟังว่า เมื่อโยมพ่อโยมแม่แรกแต่งงานนั้น ได้ไปอยู่ที่ดินทุ่งลุงผืนนี้ แต่อยู่ได้สองเดือนก็กลับมาอยู่คูขุด โยมแม่เล่าว่า สมัยนั้น ยังไม่มีไฟฟ้า อยู่กลางสวนยางตามเกียงป๋อง (ตะเกียงน้ำมันกาด)

ประเด็นที่ดินหน้ามอ.หาดใหญ่นี้ ลูกหลานคุยสนุกๆ กันว่า ถ้าได้ซื้อแล้วตกทอดมาถึงปัจจุบัน ลูกหลานคงจะรวยระเบิด…

เมื่อก๋องยังอยู่ ก๋องก็จะทำพิธีไหว้ก๋องไหว้ศพทุกปี (มีฮ้วงซุ้ยหรือหลุมศพก๋องของก๋องที่มาจากเมืองจีนอยู่ที่ป่าช้าหน้าวัด กระดังงา) แต่เมื่อก๋องจากไป ลูกหลานของก๋องบางครอบครัวก็ยกเลิกไม่ไหว้ ซึ่งก็คงจะเป็นไปตามความสมัครใจของแต่ละคน…

อย่างไรก็ตาม ในโอกาสตรุษจีนปีนี้ ผู้เขียนก็เล่าถึงบ้านก๋องเพื่อเป็นที่ระลึกถึงก๋อง บรรพบุรุษคนสุดท้ายที่ทันเห็นก๋องในฮ้วงซุ้ยและบรรดาญาติอื่นๆ ที่มาจากเมืองจีน….

………………

อาชีพของครอบครัวที่คูขุดตอนนั้น นอกจากทำนาตามฤดูกาลแล้วก็เลี้ยงหมูเลี้ยงเป็ด ส่วนอาชีพเสริมอื่น แม่ก็รับจ้างตัดเสื้อผ้าทั่วไป และพ่อก็วางกัดหรือออกอวนหากินอยู่ในทะเลสาบเหมือนกับครอบครัวอื่นๆ … ยังมีอาชีพหนึ่งก็คือหาเพรียงขาย ซึ่งผู้เขียนเคยเล่าไว้ (คลิกที่นี้) ก็คัดลอกมาไว้ที่นี้เช่นกัน…

“”" ประมาณสองอาทิตย์ก่อน ผู้เขียนไปร่วมทอดกฐินที่วัดแหลมวัง ต.คูขุด ซึ่งเป็นดินแดนแห่งบรรพบุรุษ ก็ได้เจอกับจรัญเพื่อนเกลอระดับบรมโบราณอีกครั้ง เขาก็พาไปเที่ยวที่บ้าน ซึ่งผู้เขียนไม่ได้ไปนานเกินนาน (คงจะเกือบสามสิบปี) และเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้เจอกัน เรื่องราวเก่าๆ ระหว่างเราทั้งสองก็จะผุดขึ้นสู่คลองความคิด…

ประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๑๔ คือตั้งแต่ผู้เขียนยังไม่เข้าโรงเรียนจนกระทั้งราว ป.๑-๒ โยมพ่อของผู้เขียนกับพ่อของจรัญชวนกันไปเก็บเพรียงเพื่อนำมาให้เป็ดที่เลี้ยงไว้ และขายให้เจ้าของเป็ดอื่นๆ เมื่อไปเก็บเพรียงทั้งสองท่านก็พาลูกชายไปด้วย ผู้เขียนกับจรัญจึงเริ่มเป็นเพื่อนรักเพื่อนเกลอกันตั้งแต่นั้นมา…

สถานที่ไปหาเพรียงอยู่ในทะเลสาบสงขลาตอนใน ช่วงรอยต่อระหว่างจังหวัดสงขลากับพัทลุง จุดที่ไปหาเพรียงจะเลยเกาะแหลมกรวดออกไปแต่ยังไม่ถึงเกาะสี่เกาะห้า แถวนั้นน้ำค่อนข้างตื้น (ประมาณสะเอวของผู้ใหญ่ ) คนในท้องถิ่นเรียกกันว่า หาด ใต้แผ่นน้ำลงไปจะเป็นแผ่นหินหรือก้อนกรวดมากกว่าที่จะเป็นดินหรือทราย ซึ่งเพรียงก็จะเกาะเรี่ยราดอยู่ตามพื้นหินพื้นกรวดนี้เอง…

ชีวิตคนหาเพรียงเริ่มต้นเมื่อก่อนจะสว่าง โดยโยมพ่อจะปลุกผู้เขียนเพื่อลงเรือหางยาวแล้วก็แล่นเรือหางยาวจากบ้านคูขุด ผ่านไปทางเกาะโคบแล้วตัดเข้าคลองกูด (คลองกูดเป็นเส้นแบ่งระหว่างเกาะโคบกับเกาะแหลมกรวด) ออกจากคลองกูดก็แล่นตรงไปยังหาด ตอนนั้นแสงอาทิตย์จะส่องมาทางด้านหลังเรือ เมื่อใกล้ๆ ถึงจุดหมายก็จะเิริ่มเห็นเรือหางยาวอีกลำแล่นตาม นั่นก็คือ เรือของพ่อจรัญ

เครื่องเรือของพ่อจรัญเป็นเครื่องรุ่นใหม่ จึงมักจะมาแซงเรือของโยมพ่อก่อนจะถึงจุดหมายเสมอ แต่ก็มีบางครั้งที่โยมพ่อไปถึงก่อน และเมื่อเรือสองลำจอดเทียบเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อทั้งสองก็จะเตรียมอุปกรณ์เพื่อเก็บเพรียง…

อุปกรณ์มีอย่างเดียว จะเป็นถุงทำด้วยเนื้ออวนเก่าๆ ซึ่งเป็นตาข่ายถี่ๆ มีขนาดสอบป่าน แต่ปากถุงจะมีไม้สองข้างถ่างออกมา และไม้จะยื่นออกมาเพื่อเป็นมือจับ เวลาจะเก็บเพรียงก็ต้องลงไปในทะเล เดินถอยหลังเอามือทั้งสองจับไม้ด้านบน ส่วนเท้าทั้งสองในน้ำก็ค่อยๆ กวาดเพรียงเข้าไปในถุง เมื่อได้พอสมควรก็จะนำขึ้นมาถ่ายใส่เรือครั้งหนึ่ง ทำเช่นนี้เรื่อยไปในแต่ละวัน…

คุณพ่อทั้งสองจะทำงานก่อนตอนเช้าพักหนึ่งแล้วจะทานอาหาร… ส่วนผู้เขียนกับจรัญ เมื่อเรือจอดก็จะนำเอาข้าวห่อซึ่งคุณแม่ทั้งสองเตรียมมาให้มาอวดกันว่า วันนี้ ของใคร แกงอะไร … ซึ่งกับข้าวเกือบทุกวันที่ขาดไม่ได้ก็คือปลาทอดกับไข่เป็ด…

ผู้เขียนกับจรัญจะมีอุปกรณ์เล็กๆ ซึ่งผู้ใหญ่ทำไว้ให้ด้วย แต่เราทั้งสองก็จะเล่นเสียมากกว่า เล่นไล่จับกันในน้ำบ้างบนเรือบ้าง เบื่อๆ เหนื่อยๆ ก็ขึ้นเรือมากินข้าว แล้วก็นั่งคุยกันตามประสาเด็ก แล้วก็ลงน้ำ แล้วก็ขึ้นมากิน คุยกัน เป็นอย่างนี้ทุกวัน จนกระทั้งตะวันบ่าย เมื่อผู้ใหญ่ขี้เกียจแล้ว จึงแยกย้ายกันกลับมา…

หากวันไหนจรัญไม่มา วันนั้นผู้เขียนค่อนข้างจะหงอยเหงา เพราะต้องอยู่คนเดียว ลงไปเก็บเพรียงได้นิดหน่อยก็เบื่อ เล่นโดดน้ำอยู่คนเดียวก็เบื่อ หลับอยู่ในเรือตื่นหนึ่งแล้ว โยมพ่อก็ยังไม่เลิก… และแม้นวันไหนผู้เขียนไม่ไป จรัญก็คงจะเป็นเหมือนๆ กับผู้เขียน…

ตะวันบ่ายคล้อยก็มาถึงบ้านคูขุด โยมพ่อก็จะนำเพรียงไปส่งตามเล้าเป็ดต่างๆ ที่สั่งไว้ โดยตวงเป็นปี๊บ ถ้าจำไม่พลาดรู้สึกว่าปี๊บละ ๒ บาทนี้แหละ (ค่าเงินมากเหลือเกินสมัยนั้น) โดยเทใส่ในเล้าเป็ดไว้เลย (เล้าเป็ดมักจะอยู่ติดน้ำเรือเข้าถึง)

อาชีพเก็บเพรียงมาขาย ตามที่เล่ามา นอกจากโยมพ่อของผู้เขียนกับพ่อของจรัญแล้ว ก็ไม่เห็นเคยมีใครทำ ต่อมาทั้งสองก็เลิกทำ จำสาเหตุตอนนั้นไม่ได้ เคยถามโยมพ่อ เมื่อโตแล้ว ท่านว่า เพรียงน้อยลง ช่วงที่ไปหานั้นเพรียงมากเป็นพิเศษ ตอนนี้โยมพ่อของผู้เขียนกับพ่อของจรัญก็ถึงแก่กรรมไปสิบกว่าปีแล้วทั้งสองท่าน…

ผู้เขียนกับจรัญเข้าเรียนป.๑ ห้องเดียวกัน เมื่อผู้เขียนย้ายมาอยู่ในเมืองตอนอยู่ ป.๖ ก็ไม่ค่อยได้เจอกัน หลายๆ ปีกว่าจะ้เจอและได้นั่งคุยกันนานๆ สักครั้ง เป็นความทรงจำสมัยเป็นเด็กตอนไปหาเพรียงกับพ่อ…

อนึ่ง จรัญจบแค่ ป.๗ ก็ออกเรียน ตอนนี้มีครอบครัวแล้ว มีลูก ๓ คน ลูกสาวคนโตเรียนอยู่ มอ. ใกล้จะจบแล้ว ผู้เขียนก็รู้สึกปลื้มใจในความสำเร็จของเพื่อน…

…………….

สรุปว่า “อาตมาเป็นไผ” ตอนนี้ นำเรื่องที่เคยเล่าไว้มาลงใหม่ แม้จะไม่เชื่อมต่อเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ก็หวังว่ากัลยาณมิตรในลานปัญญา คงจะใช้จินตนาการเชื่อมต่อกันได้…

Oct 07
  • แก๊ซน้ำตา มาแล้วโว้ย แก๊ซน้ำตา
  • ใครโวยมา แก๊ซน้ำตา เอามั้ยโว้ย
  • ใครทำถูก ใครทำผิด ใครโอยโอย
  • มาแล้วโว้ย แก๊ซน้ำตา รัฐสภาไทย
  • ก๊ซน้ำตา สร้างน้ำตา เพื่อน้ำตา
  • ไหลรินมา น้ำตา จากกายใจ
  • แก๊ซน้ำตา ทำไม ใช้ทำไม
  • เหตุไฉน  ใยใช้  แก๊ซน้ำตา
Sep 28

อ่านเรื่อง มือตบ (คลิกที่นี้) ก็ต้องยกย่องสำหรับผู้ใช้คำนี้คนแรก เพราะเป็นการสร้างคำขึ้นมาจากภาษาไทยแท้ๆ กล่าวคือ คำว่า มือ และคำว่า ตบ เป็นคำโดด มีพยางค์เดียว และเมื่อมาผสมกัน ( มือ+ตบ = มือตบ) มือตบก็เป็นคำผสมที่มีความหมายใหม่ขึ้นมาทันที นั่นคือ เป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งเลียนแบบลักษณะของ มือ และทำให้เกิดเสียงดังเหมือนกิริยาที่เรียกว่าการ ตบ

มือตบ ถ้าจะวิเคราะห์ศัพท์โดยเลียนแบบวรรณกรรมบาลี ก็น่าจะเป็นไปทำนองว่า…

  • อุปกรณ์ใดมีลักษณะคล้ายมือ เพื่อใช้ในการตบ ดังนั้น อุปกรณ์นั้น ชื่อว่า มือตบ
  • อุปกรณ์ที่ชื่อว่า มือตบ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ก่อให้เกิดเสียงดังประดุจการตบด้วยมือ
  • อุปกรณ์คล้ายมือด้วย ใช้สำหรับตบด้วย ดังนั้น ชื่อว่า มือตบ
  • บุคลใช้มือตบเพื่อให้เกิดเสียงดังโดยประการใด ย่อมใช้อุปกรณ์นี้สั่นเพื่อให้เกิดเสียงดังโดยประการนั้น ดังนั้น อุปกรณ์นี้ ชื่อว่า มือตบ

อนึ่ง คำว่า มือตบ เป็นคำที่สร้างขึ้นจากคำไทยแท้ เข้าใจง่าย และติดตลาดอย่างรวดเร็ว เหมือนกับคำว่า มือถือ. พัดลม. ฟอกเงิน. ฯลฯ ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปยึดติดกับคำเดิมจากภาษาต่างด้าว และไม่จำเป็นต้องค้นหาคำบาลีสันสกฤตสวยหรูมาตั้งใหม่ ซึงคำเหล่านั้นยากต่อการเข้าใจ เขียนก็ยาก จำก็ยาก เอาไปใช้คือพูดหรือเขียนสื่อกับผู้อื่นก็ยาก…

ผู้เขียนยกย่องด้วยใจสำหรับผู้สร้างคำง่ายๆ เหล่านี้มาใช้ เพราะทำให้เข้าใจได้ทันที ซึ่งต่างกับนักวิชาการผู้เป็นระดับปราชญ์ราชบัณฑิตย์ฯ ที่สร้างคำยากๆ เข้าใจยาก ทำให้เรื่องง่ายๆ กลายเป็นเรื่องยาก และเป็นเรื่องน่าเบื่อไปในที่สุด…

Sep 05
  • เหนื่อยหน่ายนักพักเถิดประชาวอน
  • หลายขั้นตอนผ่านมาน่าอดสู
  • ความเห็นต่างร่างแถลงแปลงสารสู้
  • อดทนอยู่ทำไมใครบงการ
  • คนหนึ่งนั้นหนึ่งใจหนึ่งความคิด
  • โลกวิปริตผิดหรือถูกควรปลูกสมาน
  • อนาธิปไตยเพราะไร้ธรรมาภิบาล
  • ปรับปรุงการเทพหรือมารงานบ่งชี้
  • ตนเตือนตนทุกคนรู้ควรสำเนียก
  • เหตุไฉนเรียกร้องเค้าหรือเราดี
  • เราคนไทยควรสละเพื่อชาติพลี
  • รบต่อยตีกันเองนักเลงทราม
  • ควรคำนึงถึงประเทศถึงเศรษฐกิจ
  • ควรโน้มจิตคิดสงบจบคำถาม
  • คำพ่อหลวงน้อมใส่เกล้าทุกเขตคาม
  • แม้นทำตามดังว่ามาน่าดีเอย ฯ
Sep 03
  • ส่ำสัตว์กระจัดกระจายเกลื่อน
  • บิดเบือนกระทบกระแทกโถม
  • หันซ้ายหันขวาตามแรงโน้ม
  • เร่งโหมโรมรันฟันแทงยิง
  • เกลียดเค้านักรักพวกข้าทั้งนั้น
  • ดึงดันฉันถูกดั่งผีสิง
  • พูดย้ำซ้ำซากฟังจนชิน
  • ช่วงชิงทิ้งหนีรุกเข้าไป
  • กฎหมายกฎหมู่กดกูหรือ
  • กูชื่อกลุ่มนี้มีไรไหม
  • ไม่ออก ! ไม่ออก ! จะทำไม ?
  • ออกไป ! ออกไป ! มึงออกไป !
  • ติดคุก ! ติตคุก ! ต้องติดคุก !
  • นึกสนุกกันหรือฤาไฉน
  • บ้านนี้เมืองนี้เป็นอะไร
  • ทำไม ? ทำไม ? เป็นอย่างนี้ !
Sep 02

ทางออก ทางออก ทางออก

  • เห็นมั้ย ? ทางออก
  • เห็น
  • เห็น
  • ข้าก็เห็น

ออกไปซิ ออกไปซิ ออกไปซิ !

  • ไม่ออกโว้ย !
  • ไม่ออกโว้ย !
  • ข้าก็ไม่ออกโว้ย !

ทางออก ทางออก ทางออก

  • ทางนี้ ก็เป็นทางออก
  • ทางโน้น ก็เป็นทางออก
  • ทางนั้น ก็เป็นทางออก
  • เห็นมั้ย ? เห็นมั้ย ?
  • นั่นเป็นทางออก
  • ออกไปซิ
  • ออกไปซิ
  • ออกไปซิ
  • …ไม่ออก !
  • …ไม่ออก !
  • …ไม่ออกโว้ยยย !

ไม่ออกหรือ ?

  • อืมมมมม….
  • ก็อยากจะออก…
  • แต่…
  • ไม่ออกโว้ย !
  • ไม่ออกไว้ยย !
  • ไม่ออกโว้ยยยย !
Aug 06
  • ไป เถิดไปที่โน้น                ที่ไหน
  • ไม่ ไม่ได้ดั่งใจ                  แห่งข้า
  • กลับ มาอย่าเลยไป            จงอยู่ ที่นี้
  • หลับ หน่อยแต่อย่าช้า         เร่งสร้าง ความเพียร
  • ไม่ เลิกแม้พลาดพลั้ง           แห่งข้า
  • ตื่น ตื่นจงตื่นมา                 เร่งเร้า
  • ฟื้น เถิดอย่ามัวช้า              รีบเร่ง ดำเนิน
  • ไม่ นิ่งเฉยเร็วเข้า               เร่งสร้าง ความดี
  • ี ความดีมั่นไว้                  จำเริญ
  • หนี ความชั่วอย่าเพลิน         จักช้ำ
  • ไม่ หยุดอยู่นานเกิน            เพราะมั่ว มัวเมา
  • พ้น ไม่พ้นตอกย้ำ              แน่แท้ บารมี
Jul 25

คุยเล่นๆ กับคุณโยม..(คลิกที่นี้) ว่าน่าจะใช้ชื่อว่า Logos เมื่อคุณโยมนำไปใช้ ก็ควรจะเขียนถึงนิดหน่อย ตามที่พอจะผ่านมาบ้าง (ผู้สนใจศัพท์นี้ คลิกที่นี้)

ตั้งแต่แรกเจอศัพท์นี้ ก็สงสัยเรื่อยมา เพราะนำไปใช้หลากหลาย และในส่วนที่แปลมาเป็นภาษาไทยก็ยากที่จะเทียบเคียงได้ เช่น จิต ความรู้ คำศัพท์… บังเอิญตอนเรียนปรัชญาตะวันตกกับอาจารย์ฮันท์ (ชาวเบลเยียม) ท่านเอาบทความสั้นๆ เกี่ยวกับศัพท์นี้มาให้แปล แม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องนัก แต่ก็พอมั่วไปได้บ้าง…

ตามที่พอจำได้ ปรัชญาเทววิทยาบอกว่า God สร้างสรรพสิ่งด้วย Logos … ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า Logos ต่างจาก God อย่างไร ? ซึ่งตามบทความบอกว่าในอดีตนั้น บางคราว Logos มีความสำคัญยิ่งกว่า God … จนกระทั้งมีผู้เปรียบเทียบว่า God นั้น เปรียบดังดวงอาทิตย์ ส่วน Logos นั้น คล้ายๆ กับแสงของดวงอาทิตย์…

ดวงอาทิตย์นั้นมีความร้อนแรงอย่างมาก เพียงแต่แสงเท่านั้น ก็ทำให้โลกสามารถเป็นไปได้ฉันใด… God ก็ฉันนั้น มีพลังอำนาจสูงสุด การสร้างโลกหรือสรรพสิ่งก็คล้ายๆ การสะท้อนออกมาของแสงจากดวงอาทิตย์เท่านั้น นั่นคือ God มีพลังยิ่งกว่า Logos …

อนึ่ง เมื่อถือเอาตามนี้ ก็อาจแปล Logos ได้ทำนองว่า..

  • Logos แปลว่า คำพูด หรือ คำศัพท์…… นั่นคือ God สร้างสรรพสิ่งด้วยคำพูด
  • Logos แปลว่า จิด เจตจำนง หรือ ความคิด….. นั่นคือ God สร้างสรรพสิ่งด้วยเจตจำนง
  • Logos แปลว่า ความรู้ หรือ ปัญญา …… นั่นคือ God สร้างสรรพสิ่งด้วยปัญญา
  • ฯลฯ

รวมความว่า Logos คือคำที่รวมเอาซึ่งพลังสร้างสรรค์ของ God ฉันใด… ผู้ใช้ชื่อนี้ก็ย่อมบ่งบอกว่าเป็นผู้มีพลังสร้างสรรค์ยิ่งยวด ฉันนั้น