ขุดคลอง”บาราย” แก้นำท่วมกทม. (ราคาถูก)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 10 January 2012 เวลา 7:03 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1348

วิธีแก้น้ำท่วมกทม. (และ เมืองอื่นๆ) แบบราคาถูก

 

ผมได้เคยเสนอวิธีนี้ไปแล้ว แต่คราวนี้มาเสริมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น  วิธีการคือ การขุดคลองแบบ “บาราย” คือ ขุดดินแล้วเอาดินมาถมเป็นคันคูสูงสองข้าง (ได้สองต่อคือความลึกและความสูง) อาจขุดลึกสัก 10 เมตร กว่าง 100 เมตร คันดินสูงอีก 5 เมตร  ดินละแวกนี้แม้จะเป็นดินอ่อนแต่มีเทคโนโลยีที่สามารถทำให้เป็นดินแข็งได้โดยไม่ยากนัก

 

การยกคันดินสูงแบบนี้จะทำให้เกิดหัวน้ำ (head) ที่สูงทำให้ช่วยให้เกิดการไหลที่รวดเร็ว

ที่ต้นน้ำตรงที่แยกจากเจ้าพระยา (ซึ่งจะแยกตรงไหนก็ต้องมาว่ากันอีกที)  ให้มีประตูน้ำและโรงสูบน้ำขนาดใหญ่ กำลังปั๊มคำนวณแล้วน่าจะประมาณ  150 เมกะวัตต์  เพื่อสูบน้ำให้ได้ 2000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อให้ได้สูงหัวน้ำ 5 เมตร  ทั้งนี้ต้องมีโรงไฟฟ้าเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ซึ่งโรงไฟฟ้านี้จะมีราคาตกประมาณ 5,000 ล้านบาท แต่ทว่า ในยามที่น้ำไม่ท่วมเราก็สามารถขายไฟให้กฟผ. ได้ หรือขายให้กับอุตสาหกรรมรอบๆ ได้ ซึ่งในตอนน้ำท่วมโรงงานพวกนี้ก็ต้องหยุดทำงานอยู่แล้ว  (แต่พอมีระบบนี้น้ำก็ไม่ท่วม พวกเขาก็ไม่ต้องหยุด..ฮา แบบนี้เราขอร้องให้เขาหยุดก็ได้ เพราะถ้าเขาไม่หยุด น้ำจะท่วม… ฮาฮา )

 

อาจสร้างเฉพาะฝั่งตะวันตกที่มีค่าเวนคืนที่ดินต่ำกว่าฝั่งตะวันออก แต่แม้ฝั่งตะวันออกก็ทำได้ ถ้าเรามีการบริหารทีดี เช่น รัฐบาลรับประกันว่าค่าที่ดินริมคลองจะสูงขึ้นมาก (อย่างน้อยสองเท่า) ดังนั้นให้เวนคืนฟรี สำหรับคนมีที่น้อย ก็ให้แบ่งที่ดินคนที่มีมากมาให้ตามสัดส่วน (หรือรับประกันว่าจะได้ค่าขายที่ดินในอนาคตที่มีการขายที่)   …ค่าทีดินจะสูงขึ้นเพราะจะมีถนนตัดผ่านคู่ขนานกับคลอง (โดยอาจใช้ดินคันคูนั่นแหละทำถนน  หรืออาจใช้ดินแข็งจากที่อื่นก็สุดแล้วแต่)  …ซึ่งจะทำให้มีทั้งถนนและลำน้ำ เหมาะสำหรับสร้างโรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่บ้านจัดสรร อีกทั้งการเลี้ยงปลาในกระชัง การกีฬาทางน้ำ จะตามมา …อย่าลืมทำสวนสาธารณะริมคลองบนคูน้ำด้วยนะครับ  เรียกว่ารายได้เพิ่มมหาศาลสำหรับคนอยู่ริมคลองนี้  ดังนั้น ไม่ต้องเสียเงินค่าเวนคืนที่ดินแต่ประการใด

 

ตกลงเราจะเสียแต่ค่าขุดคลอง ซึ่งผมได้เสนอวิธีขุดด้วยรถไฟไว้แล้วในบทความก่อน (หัวผาลขุดดินแบบนี้ผมออกแบบไว้แล้ว ทดลองในเสกลเล็ก เอาไปขุดหัวมันสำปะหลังได้ดีมาก คือ ใช้แรงน้อย หัวมันไม่หัก ไม่หลุด เหมือนหัวผาลแบบเก่า)

 

ส่วนค่าบำรุงรักษาเช่นขุดลอกคลองสักปีละครั้ง ก็ไม่ยาก ผมเสนอให้ใช้เรือสองลำ ลากจูงแขนหัวสูบแบบขวางเต็มลำน้ำ ทำการสูบดูดดินโคลน ปีละครั้ง  เวลาที่เหลือ เรือสองลำนี้ก็เอาไว้เป็นเรือนำเที่ยว ล่องไปตามลำคลอง เป็นภัตตาคารลอยน้ำก็ได้ หรือเอาไว้ขนสินค้าไปออกท่าเรือ โดยที่รถบรรทุกสินค้านั้นห้ามวิ่งเข้ามาชั้นใน แต่ให้เอาสินค้ามาลงเรือตรงบริเวณแถวๆ โรงสูบน้ำที่หัวคลองนั่นแหละ

 

การขุดคลองยาว 100 กม. แบบนี้ราคาพร้อมโรงไฟฟ้าไม่น่าเกิน 50,000 ล้านบาท แถมได้ประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติมมามากหลาย  กล่าวคือในยามปกติที่น้ำไม่ท่วม ก็สามารถใช้เป็นระบบชลประทานเกษตร และการป้อนโรงงานอุตสาหกรรมริมคลอง  ยังการประมง  การท่องเที่ยว การคมนาคมทางน้ำ และทางบก (ถนนริมคลอง)  ที่จะมาพร้อมกับลำคลอง

 

…เรียกว่าได้ประโยชน์หลายต่อมาก  เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในตัวเองทั้งสิ้น ..แล้วได้การป้องกันน้ำท่วมมาเป็นของแถมฟรี

 

ผิดกับการขุดอุโมงค์น้ำที่ทางสภาวิศวกรเสนอ ซึ่งผมว่านอกจากจะราคาแพงแล้ว ยังไม่มีอรรถประโยชน์อื่นเพิ่มเติม  ยังการบำรุงรักษาอุโมงค์นั้นก็ใช่ว่าจะถูกกว่าการขุดลอกคลองนะครับ

 

…คนถางทาง (๑๐ มกราคม ๒๕๕๕)

 

 


สารพัดไฟที่แยงตา (ขับไปบ่นไป ๗)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 9 January 2012 เวลา 6:37 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1672

สารพัดไฟที่แยงตา (ขับไปบ่นไป ๗)

 

หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน ต่างไม่ทำหน้าที่ของตน ปล่อยปละละเลยเรื่องไฟติดรถ และ ไฟริมถนน … ผมเชื่อว่าเรื่องนี้เรื่องเดียวน่าจะส่งผลถึงร้อยละ 50 ของอุบัติเหตุทั้งหมด  (ผมเคยได้ยินแว่วๆ ว่าการมองไม่เห็น ไม่ชัด เป็นสาเหตุอุบัติเหตุถึง 70% ด้วยซ้ำไป)

 

เรื่องรถไฟตาบอด หรือไฟไม่สว่างพอนั้นไม่ต้องพูดถึง มีมากหลายทั้งรถยนต์ มอไซค์ รถเข็น รถพ่วงข้างมอไซค์  อีแต๋น  ซี่งก่ออบห.ได้มาก แต่รถที่มีไฟที่ติดดี แต่ติดไฟผิด ซึ่งทำให้แยงตารถคันอื่นและก่ออบห. ก็มีมากหลาย

 

ที่เห็นมากที่สุดคือไฟตาหน้ารถสูงเกินไป ทำให้แยงตารถที่สวนมา ซึ่งไฟหน้านี้สูงได้ด้วยสามสาเหตุคือ หนึ่ง รถบรรทุกของหนักด้านท้าย ทำให้ท้ายต่ำหน้าสูง สองไฟหน้ารถไม่ได้รับการปรับแต่งตำแหน่งให้ถูกต้อง  และสามเจ้าของรถจงใจปรับไฟให้สูงขึ้น เพื่อมองเห็นได้ไกลขึ้นโดยไม่สนใจสวัสดิภาพผู้อื่น

 

ผมเคยเอารถไปตรวจ ตรอ. (สถานตรวจรถเอกชน)  เพื่อต่อทะเบียน แล้วผมขอให้เขาช่วยแต่งไฟหน้ารถให้ด้วย เขาบอกผมหน้าตาเฉยว่าตั้นแต่เปิดกิจการมาได้ประมาณสิบปี ผมเป็นคนแรกที่ขอให้ปรับไฟหน้ารถ

 

 แต่เขาก็ยอมรับว่าทางกรมฯเขาก็บัญญัตินะว่าในการตรวจ ตรอ. ให้ตรวจไฟหน้ารถด้วย …ปรากฎว่าร้านนี้ก็มีเครื่องตรวจวัดไฟหน้าว่าสูงไปหรือไม่กะเขาด้วย (คงมีเอาไว้รับการตรวจจากเจ้าพนักงานกรมฯตอนเปิดร้านเท่านั้นเอง จากนั้นไม่ได้ใช้อีกเลย)  แต่พนักงานไม่มีความรู้ในการปรับแต่งไฟ  พวกเขาปล้ำแต่งไฟหน้ารถผมกันอยู่นานประมาณครึ่งชม.ก็ก็ไม่สำเร็จ  (ทั้งที่ควรใช้เวลาประมาณ 5 นาที)  ในที่สุดผมทนรอไม่ไหว ประกอบกับกลัวว่าไฟตาผมมันจะบิดเบี้ยวไปกว่าเดิมมากกว่านั้น  จึงบอกพวกเขาว่าต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยววันหลังไปหาทางปรับแต่งเอาเองก็ได้  (ซึ่งผมว่าผมแต่งเองได้ไม่ยากนักหรอก แต่ต้องการถนนจริงที่ว่างๆ ในเวลามืดๆ)  

 

ที่ usa รถต่อทะเบียนแม้เป็นรถใหม่ก็ต้องวัดไฟหน้าเสมอ เพราะของพวกนี้มันคลาดเคลื่อนได้ตามอายุกาการใช้งาน  ไฟหน้าที่สูงแยงตาผู้อื่นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะทำให้ตาพร่าและลดวิสัยทัศน์ในการขับขี่

 

ไฟแยงตาที่หนักหนามากอีกอย่างคือ ไฟตัดหมอก ซึ่งส่วนใหญ่ 99.9% ประเทศไทยเราไม่มีหมอก ถึงมีบ้างก็หมอกบางๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟตัดหมอกแต่ประการใด แต่นั่นแหละคนไทยเรามักเป็นนักบริโภคที่โง่และบ้าเห่อเสมอ..เห็นเขามีเราต้องมีกะเขาบ้าง ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนดูถูกหรือไม่ได้รับคำชม  และพอติดแล้วก็ต้องเปิดไฟตัดหมอกให้เขารู้ด้วยว่า “กรูก็คนมีสตังค์พอจะซื้อไฟตัดหมอกเหมือนกะมรึงเหมือนกันนะโฟ้ย”  (ผมเห็นที่ไรอดภาวนาในใจไม่ได้ว่า ขอให้ไอ้พวกนี้มันมองไม่เห็นซึ่งกันและกันและชนกันให้ตายหมดประเทศคงจะดี อิอิ)

 

ไฟตัดหมอกนั้นวิศวกรเขาออกแบบไว้ให้ใช้ส่องในระยะใกล้กับหน้ารถมาก และใช้เมื่อขับรถช้ามากยามหมอกลงจัด หรือ มีหิมะตกหนัก พอเปิดไฟนี้แสงมันจะได้ไม่สะท้อนมาเข้าตาเรา อีกทั้งช่วยให้พอมองเห็นระยะใกล้ อีกทั้งให้รถที่สวนมามองเห็นเราและกะระยะเราได้ถูกเนื่องจากแสงไฟมันจะกระจายไปรอบทิศ โดยไม่มีการหักเหสะท้อนกลับเข้าแยงตาตนเองแบบแสงของไฟตารถธรรมดา

 

แต่การเปิดไฟตัดหมอกในขณะที่ไม่มีหมอกนั้นแทนที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยกลับกลายเป็นการช่วยเพิ่มอุบัติเหตุเพราะมันไปแยงตารถที่สวนมานั่นเอง รวมทั้งส่งผลให้เจ้าคนขับรถเองก็มองเห็นถนนได้น้อยลงด้วยเพราะมันเกิดการสะท้อนแสงจากถนนระยะใกล้มาเข้าตาเจ้าของเสียเอง…นี่มันโง่ยกกำลังสองเลย..เอ้ายกกำลังสามก็ได้คือ มันเปลืองไฟและเปลืองน้ำมันรถมากขึ้นกว่าปกติ (หลอดไฟก็เสื่อมมากกว่าปกติอีกด้วย)

 

ผมเก็บสถิติบ่อยๆว่าวันนี้รถออกใหม่จะติดไฟตัดหมอกประมาณ 70% ในจำนวนนี้จะเปิดไฟตัดหมอกตอนกลางคืนเสีย 90%  ..ผมไม่โทษคนพวกนี้หรอกแต่โทษหน่วยงานของรัฐมากกว่าที่ไม่รณรงค์ให้เลิกใช้กัน หรือใช้เฉพาะเวลาจำเป็นเท่านั้น  แค่เอาป้ายไปติดเตือนตามริมถนนก็ช่วยได้มากแล้ว ดีกว่าเอาภาษีเราไปทำป้ายโฆษณาหน้าผู้กำกับการตำรวจท้องที่ที่นิยมติดกันเกร่อ เพื่อประโยชน์อะไรก็ไม่รู้

 

อ้อ..มีกฎกระทรวงคมนาคม ห้ามเปิดไฟตัดหมอกโดยไม่จำเป็นด้วยนะครับ  ไอ้พวกด่านรีดไถเงินกั้นถนนนั้น ถ้ารีดไถไอ้พวกนี้บ้างก็คงดี ขอสนับสนุน

 

อีกพวกคือพวกไฟซีนอน ซึ่งเป็นไฟตารถที่ให้แสงส่องสว่างมาก เป็นไฟสีขาวออกน้ำเงิน เห็นติดกันประมาณสัก 10%  ของรถทั้งหมดเห็นจะได้ ไฟแบบนี้มันดีสำหรับเจ้าของคนขับ แต่มันเลวสำหรับรถที่สวนมา เพราะมันแยงตามาก ใน usa มีการบ่นกันมากในเรื่องนี้ทำให้ไฟซีนอนไม่เป็นที่นิยม (คนขับเขาละอายใจไปเอง ไม่กล้าซื้อมาติด)  ส่วนเมืองไทยเราบ่นกันปากฉีกก็คงไม่มีใครฟังหรอก

 

ว่าไปแล้วการติดไฟซีนอนนั้น ถ้าติดให้ดี ตรงตามหลักวิชาการ มันก็โออยู่หรอก เสียแต่ว่าเมืองไทยเราวิชาการมันต่ำ ก็ติดกันผิดๆ แม้แต่ใน usa ก็ยังติดกันผิด จนคนบ่นกัน จนไม่มีใครกล้าติดกัน ทั้งที่ไม่ผิดกฎหมาย

 

ไฟสารพัดรูปแบบ ทั้งไฟท้าย ไฟหน้า ไฟหลัง คนไทยเราจะหาซื้อมาติดกันเต็มคันรถไปหมด มีหลากสีไปหมด เช่น ไฟสีเขียวติดท้ายรถ ไฟสีฟ้า สีม่วง มีกระพริบด้วย ไฟราวพราวรอบคัน (โดยเฉพาะรถบรรทุก และรถบัส) ไฟพวกนี้ทำให้สับสน ก็ช่วยเพิ่มอุบัติเหตุอีก และผมเชื่อว่าผิดกฎหมายแน่ๆ  

 

แต่ด่านตำรวจท่านก็กักด่านตรวจดู แล้วก็ปล่อยไปทุกราย ไม่เห็นว่าอะไร..เออแปลกดีประเทศไทย (สงสัยพวกรถ ตร. ก็ติดกะเขาด้วย ..อยากโก้กะเขาบ้าง โก้แบบโง่ๆ กันทั้งประเทศ)

 

 

ไฟติดรถก็แย่แล้ว ยังไฟริมถนน และกลางถนนอีกที่แยงตาอีก  โดยเฉพาะที่มาจากร้านค้า โรงงานริมทาง ที่ชอบเอาไฟหลากหลายเฉดสีมาติดไว้ให้แยงตาคนขับรถ ไฟพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เพื่อจะบอกว่า ถึงร้าน บริษัท ของฉันแล้วนะ ดังนั้นมันต้องแยงตาให้มากๆ จึงจะเป็นที่สังเกต  บางแห่งทำเป็นไฟกระพริบด้วยซ้ำ  ที่สำคัญคือด่านตำรวจเองก็เอากะเขาด้วย มีตั้งแต่ไฟกระพริบ ไฟหมุน สีเหลือง เขียว ขาว ฟ้า  จ้ามากจ้าน้อยต่างกันไป บางด่านทำเป็นไฟราว สรุปคือไร้มาตรฐาน จนประชาชนไม่สามารถบอกได้ว่าข้างหน้ามีอะไรแน่ จะได้เตรียมตัวรับสถานการณ์ได้ถูกต้อง ซึ่งช่วยลดอุบัติเหตุ

 

เกิดมาเป็นคนไทยใช้ถนน อันตรายรอบด้าน ขับรถมายาวไกลหลายสิบรอบประเทศไทย  รอดตายมาเล่าเรื่องได้ในวันนี้ แสดงว่าผมคงทำบุญไว้โขอยู่  (แต่พอเล่าแล้วไประบุความผิดจนท.ผู้เกี่ยวข้อง ถ้าเขาหมั่นไส้มากๆ ผมอาจจะอายุสั้นก็ได้นะ หึหึ)

 

…คนถางทาง ( ๙ มค. ๕๕)


เมืองไทยใหมเอี่ยม (๕..เริ่มต้นที่ไหนดี)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 8 January 2012 เวลา 6:09 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1285

เมืองไทยใหม่เอี่ยม ๕

 

 

เมืองไทยเราวันนี้มีของเก่าดีๆที่สะสมไว้มาก แต่ของใหม่ที่ไม่ดีที่แทรกเข้ามาก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะส่วนหลังนี้กำลังมีแรงแซงหน้าส่วนแรกไปแล้วก็ว่าได้  ส่งผลให้สังคมไทยเรากำลังเคลื่อนไปสู่ความน่าสะพรึงกลัวในหลายประการ

 

การจะสร้างเมืองไทยใหม่เอี่ยม  (หรือ “นิวไทยแลนด์” ตามสำเนียงภาษานอกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์) นั้น ถ้าถามกันไปมาว่าลึกๆแล้วจะเริ่มต้นกันที่ไหน ก็มักมาลงกันที่เด็ก (อนาคตของชาติ)  แล้วผมขอถามต่อว่า เด็กมาจากไหน..ก็ต้องตอบว่าพ่อแม่และครู (แม่พิมพ์ของชาติ)  ถ้าถามต่อว่า..แล้วพ่อแม่และครูถูกสร้างมาจากไหน…อ้อ..รร.ฝึกหัดครูงัย     แต่เรามีรร.ฝึกหัดพ่อแม่ไหม  อีกทั้งรร.ฝึกหัดครูนั้นมาจากไหน 

 

ดูเหมือนว่ายิ่งถามลึกลงไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งตอบยากขึ้นทุกที ..อีกสองสามวันก็จะถึงวันเด็กแห่งชาติ(อีก)แล้ว ท่านนายกฯก็คงรีดคำขวัญหรูๆ ออกมาให้เด็กๆและพ่อแม่ชื่นชมกันต่อไปอีกวาระ  แต่ที่ผ่านมาผมยังไม่เคยเห็นรัฐบาลชุดไหนที่คิด วางแผน  และทำ เพื่ออนาคตของชาติกันอย่างจริงจัง เป็นระบบ สักที  อย่างมากก็คิดกันได้แบบฉาบฉวยเพียงแค่ต่ออินเทอร์เน็ต แจกไอแพ็ด  เท่านั้นเอง 

 

ก็ธ่อ..จะเอาอะไรกันหนักหนากับนักการเมืองส่วนใหญ่ที่จ้างตั้งกันมา

 

ผมได้เคยเสนอให้จัดให้มี “วันคนแก่แห่งชาติ”  ด้วยเห็นว่าคนแก่นั่นแหละคืออนาคตของชาติที่แท้จริง เพราะท่านเป็นคณะกรรมการวางแผนบริหารจัดการเด็กๆ รวมทั้งจัดสรรนโยบาย  ลองช่วยกันคิดหน่อยสิครับว่าในวันนี้ จะเปิดสถานที่ราชการอะไรให้ชม หรือมีนิทรรศการอะไรบ้าง (เมรุเผาศพวัดสำคัญ  นั่งเก้าอี้นายก หรือประกวดเรียงความ “ถ้าข้าพเจ้าได้เป็นนายก” )

 

แต่อนิจจจา..วันนี้คนแก่ไทยเรานั้นไม่อาจหวังเป็นที่พึ่งได้เลย เพราะเห็นมีแต่คนแก่โลภโมโทสัน ที่รวยเท่าไรไม่รู้จักพอ คนแก่ที่ไม่เคยปล่อยวาง  ไม่เสียสละ ให้อภัย ยอมเจ็บปวดแต่คนเดียว คนแก่ที่เงินเต็มกระเป๋าซื้อคะแนนเสียงได้แต่วิสัยทัศน์สั้นกระจู๋  คนแก่ที่มีทั้งเงิน ดีกรี ป.เอกจากนอก และอำนาจมหาศาล (ประธานคณะกรรมการสำคัญหลายชุด) แต่สุดงก หวงตำแหน่ง อำนาจ และไม่ยอมฟังความเห็นใคร  (นอกจากทฤษฎีฝรั่งเก่าๆที่เคยเรียนมาและที่ปรึกษาฝรั่งต่างชาติที่จ้างมา)

 

คนแก่แบบนี้เต็มประเทศ ..แล้วแบบนี้ “อนาคตของชาติไทย” มันจะเหลืออะไรไว้ให้เราหวังได้หรือ

 

เมืองไทยใหม่เอี่ยม ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์วาดหวังไว้นั้น ตราบเท่าที่เรายังมีคนแก่แบบเดิมๆเป็นคนกำหนดแนวทางและกติกาแล้วไซร้  ผมว่ามันน่าสะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่าเมืองไทยแบบเดิมๆ เสียอีก

 

เมืองไทยใหม่เอี่ยมที่ดีๆนั้น ผมว่าไม่อาจกำหนดได้หรอกว่าต้องเริ่มต้นที่ใคร แต่ถ้าพูดรวมๆ ก็ต้องว่ามันต้องเริ่มพร้อมกันทุกจุดนั่นแหละ ทั้งเด็ก คนหนุ่มสาว สื่อมวลชน ครู พระ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมือง

 

มีหลายท่านเสนอว่า เราต้องพึ่งตัวเอง  อย่าไปหวังพึ่งนักการเมืองเลย เพราะพวกนี้มันซื้อเสียงมา มันก็ต้องถอนทุนกันเป็นส่วนใหญ่  ..ซึ่งอันนี้พูดอีกก็ถูกอีกอยู่นั่นหละ แต่ถ้าเราได้นักการเมืองดีๆ มาช่วยเสริม (หรือถึงขนาดมานำเสียเอง) มันก็ยิ่งดีไปใหญ่ไม่ใช่หรือ

 

คำถามคือ เราจะสร้างนักการเมืองดีๆได้อย่าไร ถ้าเราทำได้ อะไรๆมันก็ง่ายนิดเดียว  เปรียบเสมือนการสร้างคานงัดที่ทุ่นแรง ทำให้เราไม่ต้องลงแรงดีดงัดสังคมมากเกินไป ซึ่งมันอาจเกินกำลังของเราด้วยซ้ำไป

 

ผมเห็นว่า การลงแรงสร้างนักการเมืองและระบบการเมืองที่ดีนั้น มันเป็นคานงัดที่ง่ายกว่าการสร้างเมืองด้วยตัวเอง (พึ่งตนเอง) หลายร้อยพันเท่า

 

พวกฝรั่งนั้นเขาสร้างระบบการเมืองด้วยมือของเขาเอง แต่ของไทยเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวก “คณะราษฎร์” เพียงหยิบมือเดียวที่จบนอกและเห่อฝรั่ง ไปถอดเอายอดชฎาปชต. ฝรั่งมาสวมให้ละครการเมืองไทย แล้วบอกเราว่า เอ้า..สูเจ้าเป็นปชต. แล้วนะ  จากนี้ไปขอให้จงเจริญเหมือนฝรั่ง

 

ผมขอเสนอว่า เมืองไทยใหม่เอี่ยม ที่ง่ายที่สุดต้องเริ่มที่การเมืองใหม่เอี่ยม ที่ปรับปชต.ฝรั่งให้เข้ากันได้กับลักษณะนิสัยของสังคมไทย  พึงระลึกด้วยว่า ปชต. นั้นมีทั้งแบบทางตรง (เลือกตั้ง) และแบบทางอ้อม ซึ่งแบบหลังนี้ฝรั่งไม่รู้จักแต่สังคมไทยเราใช้กันมาช้านานแล้วด้วยซ้ำไป แม้ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชแต่สมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์

 

ผมได้เขียนบทความนำเสนอระบบปชต.ที่สอดคล้องกับสังคมไทยไว้มากหลาย  แต่ได้รับคำด่ามากกว่าคำชมสิบเท่า  เช่น หาว่าล้าสมัย (ไม่เหมือนฝรั่ง)  สวนกระแส (กระแสฝรั่ง)  ไม่เป็นประชาธิปไตย (ทั่งที่เป็นปชต.มากกว่าปชต.ฝรั่งเสียอีก)

 

ความหวังของเมืองไทยใหม่เอี่ยมเรามีศูนย์รวมอยู่ที่ “คนไทยในแถวหน้าๆ”   ที่ต้องคิดกันให้ออกสักทีว่า การลอกระะบบปชต.ฝรั่งเขามาใช้ทั้งดุ้นแบบที่ผ่านมานั้น มันคือระบบที่กำลังทำลายชาติไทยอย่างรุนแรงที่สุด เพราะมันนำมาซึ่งการซื้อเสียงถอนทุน ที่ซึ่งไม่อาจกระทำได้ในระบบฝรั่ง เพราะคนฝรั่งเขามีนิสัยอิงตน (ปัจเจกชนนิยม)  ซึ่งต่างจากคนไทยเราโดยสิ้นเชิงที่มีนิสัย “อิงอำนาจ”

 

…คนถางทาง (๘ ธ๕. ๒๕๕๔)


วิธีขับรถให้ปลอดภัย

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 8 January 2012 เวลา 7:30 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2676

ผมได้อ่านบทความ “วิธีขับรถให้ปลอดภัยช่วงวันหยุดยาว”  จาก นสพ. ออนไลน์ฉบับหนึ่ง ซึ่งมีทั้งสิ้น ๑๐  ข้อ  ผมอ่านไปก็ขำไป เพราะ 10 ข้อนี้มีเพียงข้อ 6 ข้อเดียวเท่านั้นที่ตรงกับหัวข้อเรื่อง (วิธีขับรถ) แม้กระนั้นก็ตรงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะอีกครึ่งหนึ่งไปบอกให้พกใบขับขี่ ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับ “การขับรถให้ปลอดภัย”   ขอตัดตอนมาลงเฉพาะหัวข้อดังนี้ครับ

1.เข็มขัดนิรภัย
2.สำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบ ควรใช้ที่นั่งสำหรับเด็กและคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
3.ควรปรับที่ วางศีรษะให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และผู้นั่งรู้สึกสบายมากที่สุด

4.ไม่ควรวางสิ่งของด้านบนหรือรอบ ๆ ที่เก็บถุงลมนิรภัย
5.ผู้ขับขี่ควรทำความรู้จักและความคุ้นเคยกับรถและอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยก่อน ออกเดินทาง
6.ขับรถอย่างมีความรับผิดชอบ เคารพกฎหมายและมีความรู้เรื่องระดับความเร็วของแต่ละสถานที่ นอกจากนี้ควรพกใบขับขี่และรายละเอียดของประกันติดรถไว้เสมอ
7.วางแผน ล่วงหน้าก่อนออกเดินทาง

8.จัดสิ่งของหรือกระเป๋าที่หนักที่สุดให้อยู่ใต้สุด หรือเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น

9.ถึงแม้ว่าช่วงหยุดยาวจะเป็นช่วง แห่งการเฉลิมฉลองก็ตาม แต่กฎทองที่ ผู้ขับขี่ทุกคนควรจำไว้คือ “อย่าขับรถ ในขณะเมาเหล้า”

10.หากรู้สึกเหนื่อยให้หยุดพัก

ผมจะลองเสนอวิธีขับรถให้ปลอดภัยตามวิธีของผมบ้าง (ซึ่งใช้ได้เสมอแม้ในช่วงนอกวันหยุดยาว)

1. ขับรถแบบ “ระแวงภัยไว้ก่อน” ซึ่งหมายถึงขับไปก็คาดการณ์ล่วงหน้าถึงอันตรายตลอดเวลาจนเป็นนิสัย ซึ่งมันมีเรื่องที่จะต้องคาดการณ์นับร้อยเรื่องทีเดียว เช่น ทางเลี้ยวซ้ายข้างหน้า เป็นป่าทึบบดบังทัศนวิสัย ทำให้มองไม่เห็นระยะไกล อาจมีรถจอดตายอยู่ริมทาง (หรือมีหินกั้นล้อรถสิบล้อวางทิ้งไว้) ถ้าขับเร็วเกินไปและไม่ระวังเตรียมการณ์เบรกไว้ล่วงหน้าบ้าง พอเจอเข้า มันโผล่ท้ายออกมา รถอีกด้านก็สวนมาพอดี หักหลบขวาก็ไม่ได้ เบรกก็ไม่ทันแล้ว หรือเบรกทันรถก็เซ ก็ชนเปรี้ยง หรือ เช่น อย่าไปคิดว่ารถที่อยู่ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างๆ มันขับรถเก่ง เราจะปาดหน้ามันเร็วๆ มันก็คงเบรกทันหรอก แต่ควรคิดแบบปลอดภัยไว่ก่อนว่า เพื่อนร่วมถนนทุกคนเป็นมือใหม่หัดขับให้หมด ดังนั้นการทำอะไรต้องเผื่อความอ่อนหัดของผู้อื่นไว้ด้วย ดังนี้เป็นต้นแล

2. อย่าเปลี่ยนเลนโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นให้ให้สัญญาณไฟเสมอเมื่อเปลี่ยนเลน (รถจำนวนมากเปลี่ยนเลนแซงแบบกะทันหันโดยไม่ให้สัญญาณ ก่ออันตรายได้มาก)

3. อย่าขับจี้ก้นคันหน้าเกินไป แต่ควรเว้นระยะห่าง สูตรของผมคือห่างคันหน้าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของความเร็วที่ขับ เช่น ถ้าขับมา 100 กม./ชม. ควรเว้นระยะอย่างน้อย 50 เมตร (ที่ usa เขามีกฎ 12 วินาที ซึ่งผมว่ามันมากเกินไป 6 เท่า) …นิสัยคนไทยชอบขับจี้ก้นกันมากจริงๆ แต่สภาพถนนเมืองไทยมีอะไรที่จะต้องเบรกตัวโก่งกระทันหันอยู่เสมอ เช่น หมาแมวไก่ตัดหน้า ถนนเป็นหลุมใหญ่ หมาเน่านอนตายกลางถนน ด่านตำรวจ พอคันหน้าเบรกกะทันหัน หรือหักหลบกระทันหันคันหลังก็ชนท้ายเพราะเบรกไม่ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคันหน้าเป็นรถใหญ่เช่น รถบัส รถบรรทุก ที่บังทัศนวิสัยเราหมด

4. อย่าขับรถเร็วเกินไป..บางท่านคิดว่ารถตัวเองดีเหยียบ 120 ยังนิ่งเฉยเลย แต่การขับเร็วจะทำให้เบรกไม่ทันเช่น หมาตัดหน้า มอไซค์ตัดหน้า หรือเวลาหักหลบเลี้ยวแล้วรถเสียหลักได้ง่าย อีกทั้งถ้ายางแตกกะทันหันรถก็เสียหลักได้ง่าย นอกจากนี้ขับเร็วมากจะทำให้เปลืองน้ำมัน

5. อย่าขับรถช้าเกินไป …ขับเร็วเกินไปนั้นพอเข้าใจได้อยู่ว่าก่อเกิดอุบัติเหตุอย่างไร แต่ขับช้าเกินไปนั้นอาจก่ออบห.มากกว่าขับเร็วเสียอีก ทั้งนี้เพราะรถคันอื่นเขาต้องแซงเราบ่อยมาก ซึ่งการแซงนั้นทำให้ก่ออบห.ได้มาก โดยเฉพาะบนถนนสองเลนที่การจจ.แออัด การขับที่ดีที่สุดคือ “ไหลไปกับการจราจร” การขับช้าเกินไปก็เปลืองน้ำมันด้วยนะครับ (การขับที่ประหยัดน้ำมันที่สุดสำหรับรถเก๋งเครื่องเบนซินคือ ที่ความเร็วรอบเครื่องประมาณ 2500 รอบต่อนาที ซึ่งสำหรับโตย้าวิออสก็ประมาณ 90 กม.ต่อ ชม. พอดี)

6. อย่าเปิด “ไฟผ่าหมาก” เมื่อผ่านสี่แยก …สังเกตว่าคนไทยจำนวนมากมักมีนิสัยนี้ (โรคโง่ผนวกเห็นแก่ตัวระบาดหนัก) โดยหารู้ไม่ว่าคนที่อยู่ทางขวาคุณเขาจะเห็นแต่ไฟเลี้ยวขวา ส่วนคนอยู่ทางซ้ายก็จะเห็นแต่ไฟเลี้ยวซ้าย ดังนั้นเขาก็คิดว่าคุณจะเลี้ยวขวา หรือ ซ้าย ส่วนคุณคิดว่าเขาทั้งสองต่างรู้ชัดว่าคุณจะผ่าหมาก แบบนี้หมากแตกกระจายตายไปหลายพันรายแล้วนะ สิบอกให้เอาบุญ

7. อย่าเปิดไฟตัดหมอก ไฟอื่นๆ โดยไม่จำเป็น…เพราะมันแยงตาคนขับที่สวนมา พอเขามองเห็นไม่ชัดเพราะไฟแยงตาก็เกิดอบห.ได้มาก ไฟซีนอนสีขาวก็จ้ามากเกินไป (เพราะติดผิดหลักวิชาการ) ให้เลิกใช้ซะ คุณอาจมองเห็นได้ดีมากขึ้น แต่มันแยงตารถทีสวนมา ทำให้เขามองทางไม่เห็น ก็อาจหักหัวรถเข้ามาชนคุณตายได้นะ (กรรมตามสนองคนโง่ที่เห็นแก่ตัว แต่มันไปทำให้คนอื่นเขาตายด้วย ยิ่งบาปยกกำลังสองเลยนะ)

8. ให้ทางรถที่ออกมาจากถนนอื่น…เขามีทางเร่งนิดเดียวเพื่อเร่งตัวออกมาขนานกับถนนที่คุณกำลังขับ ถ้าเลนขวาว่าง ควรตีออกให้ทางเขา ถ้าไม่ว่างก็ควรชะลอ พร้อมตีไฟเลี้ยวซ้ายบอกเขาว่าให้ทางนะ ส่วนคนที่กำลังออกก็ควรเร่งความเร็วให้ขนานกันแล้วเปลี่ยนเลนออกไป ไม่ใช่มัวอ้อยอิ่งอยุ่นั่นแหละ ก็ยิ่งก่ออบห.ได้มาก

9. อย่าจอดรถตรงเลนเร่งตัว…เห็นมากจริงๆ ที่รถจอดตรงเลนเร่งตัว (ตามข้อ ๘) โดยเฉพาะรถบรรทุก สองแถว แต่รถเก๋งก็มีบ้างเช่น จอดส่งลูก ซื้อไก่ย่าง (เห็นรถตร.จจ.วิ่งผ่านไปมาก็ไม่ลงไปจับปรับ) การจอดแบบนี้มันอันตรายมากที่สุด เพราะเลนนี้เขาเอาไว้ให้รถเร่งตัว ซึ่งผู้ขับจะต้องจรดสายตามองกลับหลังไปที่รถเร็วที่วิ่งขนานมาด้านหลัง อาจมองไม่เห็นรถที่จอด หรือมองเห็นก็ทำให้เขาเร่งตัวไม่ได้ ทำให้ต้องตีออกแบบช้าๆ แล้วอาจไปชนกับรถเร็วบนถนนหลัก

10. การจอดรถข้างทาง ไม่จำเป็นไม่ควรจอด (เช่นผู้ชายจอดยืนเยี่ยวทั้งที่ปั๊มเขาก็มีเป็นระยะถี่ๆ อดกลั้นซักนิดก็ไม่ยอม มักง่ายเข้าว่า) หรือจอดซื้อผลไม้ ไข่ปิ้ง โรตีสายไหม ฯลฯ แต่ถ้าจำเป็นให้จอดให้ชิดซ้ายให้มากที่สุด อย่าให้ล้นออกมาบนผิวจราจร เห็นจำนวนมากจอดล้นออกมาครึ่งคัน ทั้งทียังมีไหล่ถนนเหลืออีกมาก อย่างนี้ต้องให้สิบล้อเมายาเสยเสียให้เข็ดหลาบจำ

11. เมื่อจอดรถแล้ว ก่อนเปิดประตูรถลงมาให้ดูด้วยว่ารถหลังเขาตามมาหรือเปล่า …คนไทยจำนวนมากมักง่าย และไม่ระแวงภัย เปิดประตูออกมาแบบกว้างๆ โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ มีรถมอไซค์มาเสยประตูขณะกำลังเปิดอยู่บ่อยๆ

12. ก่อนเลี้ยวซ้ายออกจากซอย อย่ามองแต่รถทางขวา ให้ระวังรถมอไซค์และรถยนต์ที่วิ่งสวนทางมาตามไหล่ถนนทางซ้ายด้วย …ผมเองเกือบเสยไอ้พวกนี้บ่อยๆ เดี๋ยวนี้พัฒนานิสัยระแวงภัยได้แล้ว เราอยู่ในสังคมไร้วินัยและเห็นแก่ตัว ต้องรู้รักษาตัวรอดด้วยจะเป็นยอดดี

13. เมื่อเห็นไฟแดงข้างหน้า ให้ปล่อยคันเร่ง แล้วปล่อยให้รถไหล แตะเบรกแต่เนิ่นๆ ถ้าเบรกมีปัญหาเรายังมีเวลาแก้ไขสถานการณ์ เช่น ดึงเบรกมือ ใช้เกียร์ต่ำช่วยชะลอรถ ..สังเกตเห็นคนไทยส่วนใหญ่ จะเร่งรถ แล้วไปเบรกแรงๆ เอาที่ใกล้ๆ ไฟแดง ซึ่งมันโง่ได้ใจจริงๆ เพราะเร่งไปก็ไปไม่พ้นอยู่ดี ต้องติดเท่ากัน แถมเปลืองน้ำมัน เบรกสึกมาก และ ถ้าเบรกแตกก็ชนกันระเนนาด เพราะปรับตัวไม่ทัน เห็นมามากที่เบรกแตกชนกันที่สี่แยกไฟแดง

14. อย่าฟังวิทยุ เพลง คุยกัน กิน ในรถ …เพราะมันทำให้ด้อยสมาธิในการขับ ทำให้อาจหลบหลุมไม่ทัน หรือ ทับหมาเน่า หรือ ชนก้นค้นหน้าที่เขาเบรกอย่างกระทันหัน เพราะพอขาดสมาธิมันก็ทำให้เวลาในการสนองตอบน้อยลง …โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าอบห.ส่วนใหญ่เกิดจากผู้ขับที่ “ชำนาญ” เพียงส่วนน้อยที่เกิดจาก “มือใหม่หัดขับ”

15. อย่าขับรถกินเลน…โดยเฉพาะเข้าโค้งเลี้ยวขวา…นิสัยคนไทยชอบทำแบบนี้จริงๆ (ร้อยละ 80 ก็ว่าได้) ซึ่งมันอันตรายต่อรถที่เขาเลี้ยวซ้ายสวนมามาก โดยเฉพาะโค้งที่ทัศนวิสัยต่ำเช่น มีป่าไม้บัง

16. อย่าแซงคิวตรงที่วกกลับ (ยูเทิร์น) …การแซงคิวคันอื่นนั้นนอกจากเป็นมารยาทที่ทรามมากแล้ว ยังก่ออบห.ได้มากทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เพราะไปบังตารถคันอื่น (ที่เขามาก่อน) ทำให้เขามองไม่เห็นรถที่วิ่งมาทางซ้ายด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอารมณ์ด้วยที่ถูกแซงคิวหน้าด้านๆ เช่นนั้น

17. เร่งตัวให้เร็วที่สุดเมื่อวกกลับ (ยูเทิร์น )…รถจำนวนมากพวกวกกลับเสร็จก็ทำอ้อยสร้อย ไม่รีบเร่งตัวออกไป ทำให้รถที่เขาตามมาต้องเบรกตัวโก่ง ในกรณีที่มือใหม่ หรือ ขาดสติ (เพราะฟังเพลง คุย เหม่อ) ก็ชนกันตายมามาก

18. เช่นเดียวกับข้อ 17 เวลาออกจากปั๊ม ก็ต้องรีบเร่งตัวด้วยนะ อย่าทำอ้อยสร้อย

19. ตัดสินใจแซงให้ดี..ให้ทันกาล โดยเฉพาะถนนสองเลน แล้วมีรถช้าขวางหน้า เราต้องแซงในขณะที่ควรแซง (กะระยะรถสวนมาให้กำลังพอดี) ถ้าเราแซงช้าเกินไปแบบว่า “กลัวอยู่นั่นแหละ” รถที่ตามหลังมาเขาจะรำคาญแล้วทำการแซงซ้อนคัน ซึ่งก่อเกิดอบห.ได้มาก แต่การแซงที่เร็วเกินไปก็ก่ออบห.ได้มากพอกัน ของแบบนี้ต้อง”สายกลาง” เป็นดีที่สุด

20. เปิดไฟหรี่ ไฟหน้า ในเวลาโพล้เพล้ แต่เนิ่นๆ (ทั้งตอนเย็นและตอนเช้า) ..สังเกตดูคนขับไทยส่วนใหญ่จะรอจนมืดสนิทแทบมองไม่เห็นทางจึงจะเปิดไฟหรี่หรือไฟหน้า ซึ่งเป็นอันตรายมาก การเปิดไฟแต่เนิ่นๆ นั้นไม่ใช่เพื่อให้เราเห็นทาง แต่เพื่อให้คนอื่นเขามองเห็นเรา โดยเฉพาะรถที่สีมืดๆ (ซึ่งเป็นที่นิยมมาก) ตามสถิติอบห. อบห. จำนวนมากเกิดเวลาโพล้เพล้ (ยิ่งเมืองไทยยิ่งมากกว่าปกติเพราะมีชาวนาชาวไร่เดินทางกันมากในช่วงนี้ ใช้รถอีแต๋น อีตุ้ย ที่ไม่มีไฟ วิ่งช้าจำนวนมาก รวมทั้งมอไซค์ไม่มีไฟ) ยามฝนตกก็เช่นกัน แม้ตกเบาๆ ก็ต้องเปิดไฟ เพราะกระจกรถจำนวนมากจำเป็นฝ้า ทำให้เขามองเห็นเราไม่ถนัด เปลี่ยนเลนออกไปชนกันได้ง่ายๆ

21. บีบแตรเตือนรถคันอื่น (โดยเฉพาะมอไซค์) อย่างพอดี สังเกตว่าคนไทยเราวันนี้มีแตรเอาไว้บีบด่า (เมื่อเหตุการณ์เกิดไปแล้ว) แทนที่จะเอาไว้บีบเตือนไม่ให้เหตุการณ์เกิด …มอไซค์ต้องบีบเตื่อนให้มากที่สุดเพราะพวกนี่ส่วนใหญ่เป็นวัยรุนหรือชาวบ้านนอกที่ไม่ค่อยรู้และหรือเคารพกฎจราจร ..ทราบมาว่าอบห. 70% เกิดขึ้นจากรถมอไซค์เป็นสาเหตุ ผมเจอกับตา และ พบกับตนเองบ่อยๆ ที่รถมอไซค์เลี้ยวขวาจากเลนซ้ายอย่างกะทันหัน โดยไม่ให้สัญญาณใดๆ

22. ขับกลางคืน ถนนสองเลน รถสวนมาไฟสูงแยงตามาก มองทางไม่เห็น จะทำไงดี วิธีการของผมคือ ผ่อนเครื่องช้าลงไว้ก่อน เอาไฟลงต่ำ (อย่าไปเปิดสูงใส่มันจะยิ่งไปกันใหญ่ อย่างน้อยเรามองเห็นก็ยังดี ถ้ามันก็ไม่เห็นด้วยจะยิ่งไปกันใหญ่) จรดสายตาไปที่เส้นขาวขอบถนนด้านซ้าย แล้วรักษาทิศของรถด้วยเส้นขอบถนนนั้น (เสียแต่ว่าถนนไทยส่วนใหญ่นั้นไม่มีการทาสีเส้นถนนเมื่อมันจาง แบบนี้ก็ต้องหาแนวอื่นเป็นที่พักสายตา)

23. ขับกลางคืน ถนนสองเลน การแซงแล้วมีรถสวนมานั้น ต้องกะระยะรถที่สวนมาให้ดี บางท่านมีกฎว่า ให้มองที่ไฟหน้า ถ้าไฟหน้าคู่บีบตัวกันเป็นไฟดวงเดียว แสดงว่ามีระยะห่างพอ ให้แซงได้ ..อนึ่งควรระวังด้วยว่า รถไฟตาเดียวที่สวนมานั้นเป็นรถมอไซค์แน่ๆ ไม่ใช่รถสองตาแต่ตาบอดข้างหนึ่ง จนเหลือตาเดียว (แบบนี้ชนกันตายมาก็มาเหมือนกัน)

24. ขับกลางคืน ควรเรียนรู้การใช้ไฟสูงให้ถูกวิธี จะช่วยลดอบห.ได้มาก เช่น ขับคนเดียวไม่รบกวนผู้อื่นควรเปิดไฟสูง เข้าโค้งกลางป่าควรตีไฟสูงต่ำสลับกัน (เพื่อให้รถที่สวนมารับทราบ) ก่อนแซงควรกระพริบไฟสูงต่ำให้รถคันหน้ารับทราบ แต่พอเราถูกแซง เราต้องหลบไฟต่ำให้เขาด้วย (ไม่แยงตาเขาเข้ากระจกหลัง) ถ้าทัศนวิสัยข้างหน้าไม่ดี เราก็สามารถดึงไฟสูงเพื่อมองไกลสัก 1 วิ ก็ได้

25. เรียนรู้กฎจราจร เช่น ทำการตัดหน้าแบบรู้สิทธิตนเอง (กฎจราจร) เช่น ตรงสี่แยก หรือ สามแยก เราต้องการเลี้ยวขวาเข้าถนนอีกสายที่ตั้งฉากกัน แล้วมีรถจากฝั่งขวามือเราก็จอดรอเลี้ยวขวาอยู่ด้วย ซึ่งทำให้เส้นทางของทั้งสองตัดกัน (และชนกันบ่อยด้วย) ถามว่าถ้าไม่มีไฟสัญญาณใครควรให้ทางใคร (ถามมาหลายรายแล้ว ส่วนใหญ่ตอบว่าไม่รู้ หรือตอบผิด)

…เอาแค่นี้ก่อนนะครับ จริงๆแล้วยังมีอีกมากหลาย ทางที่ดีกรมการขนส่งทางบกและหรือตำรวจจราจรควรรณรงค์ผ่านทีวีให้คนไทยขับรถให้ปลอดภัยด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งควรกำหนดไว้ในข้อสอบใบขับขี่ด้วยก็จะดี


ดองเขมรด้วยเกลือสยาม

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 6 January 2012 เวลา 10:44 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2088

เขมรไม่ใช่ขอม…หลักฐานด้านเกลือ

 

ผมได้เขียนบทความทำนองว่า ขอมคือสยาม  และเขมรไม่ใช่ขอม  ไว้มากหลายนับสิบตอนยาวๆ  โดยได้อ้างหลักฐานและแนวคิดไว้พอควร ไม่ได้สักแต่เพียงโมเมเขียนเอามันแบบคลั่งเชื้อชาติ

 

วันนี้ (๖ มค. ๒๕๕๕) ผมขอเน้นย้ำเรื่อง เกลือ อีกเรื่องหนึ่ง เพราะสองสามวันที่ผ่านมานี้เพิ่งคิดปะติดปะต่อได้อีกนิดหน่อย

 

โจว ต้ากวน ทูตการค้าจีนที่นครวัด (คศ.  1296)  เมื่อปลายรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมัน ๙ ได้บันทึกไว้ว่า อาณาจักรขอมมีเทคโนโลยีผลิตเกลือจากน้ำทะเลโดยการใช้ความร้อน  (อ้างอิง “A Record of Cambodia” Peter Harris, Silkworm book, 2007, isbn: 978 974 9511 244, chapt. 21, p.75)

 

การผลิตเกลือดังกล่าวนั้นผมเดาว่าก็คงใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ในการทำนาเกลือแบบไทยเรานั่นเอง แต่…แต่ทำไม 600 ปีผ่านไป ชาวเขมรจึงผลิตเกลือไม่เป็น ??? ทั้งนี้เพราะมีหลักฐานระบุว่าต้องนำเข้าเกลือจากสยาม….ซึ่งเรื่องนี้ผมได้รับการบอกกล่าวเล่าขานยืนยันมาจากสองแหล่งโดยมิได้นัดหมาย

 

แหล่งแรกคือ จากชาวบ้านที่ อ.พิมาย  จ.นครราชสีมา  ที่เขาจะบริจาคเกวียนพิมายให้ผม  เราคุยกันถึงอดีตของเกวียนเล่มนี้ (ซึ่งสวยงามมากๆ) ท่านเล่าว่าเกวียนนี้เป็นของปู่ของท่าน ปู่ท่านเล่าให้ท่านฟังว่าสมัยปู่ (คงประมาณพศ. ๒๔๖๐) กองคาราวานเกวียนจากพิมายได้บรรทุกเอาของไปขายเมืองเขมรซึ่งมีสินค้าสำคัญอยู่เพียงสองอย่างคือ ผ้าไหมและเกลือ ส่วนขากลับก็บรรทุกเอาปลาแห้งปลาเค็มกลับมาขายที่พิมาย

 

เรื่องนี้ตรงกับคำให้การของคุณแม่ผมทุกประการ คือท่านเล่าว่าสมัยท่านเป็นสาวรุ่นวัยกะเตาะ (ราวพศ. ๒๔๙๐)  ท่านนั่งรถไฟจาก อ.วัฒนานคร จ.ปราจีนบุรี  ไปซื้อปลาจาก อ. ศรีโลภณ (จ. พระตะบอง) เพื่อเอามาขาย (เขมรมีปลามาก ราคาถูกมาก)   ท่านเห็นมีการบรรทุกเกลือใส่รถไฟไปขายทีเมืองเขมรมาก  เพราะเขมรทำเกลือไม่เป็น ต้องซื้อจากสยามเท่านั้น

 

นี่แสดงว่าชาวเขมรสมัยนั้นคงไม่สามารถผลิตเกลือใช้เองได้ ซึ่งแปลกมาก เพราะขอมนครวัดเคยผลิตได้มานานแต่อดีต อีกทั้งประเทศเขมรก็ติดทะเลเป็นแนวยาวมาก  ถ้าแขมรเป็นลูกหลานขอมก็ต้องย่อมผลิตเกลือเป็นสิ เพราะเกลือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิต มีหรือที่พ่อแม่จะไม่ส่งผ่านความรู้อันสำคัญยิ่งนี้ไปสู่ลูกหลาน

 

นี่เป็นหลักฐานโดยอ้อมที่สำคัญที่สนับสนุนทฤษฎีที่ผมตั้งไว้ว่า เขมรมาไล่ฆ่าขอมออกไปหมด จนทำให้ขอมหนีมาอยู่ที่อยุธยา…แล้วหอบเอาเทคโนโลยีต่างๆไปด้วย รวมทั้งการทำเกลือ จึงส่งผลให้เขมรทำเกลือไม่เป็น

 

ทอผ้าก็ไม่เป็น นับเลขก็นับได้เพียงแค่เลขห้า…ดังนี้แล

 

….คนถางทาง  (๖ มค. ๒๕๕๕)

 

 

 



Main: 0.17925381660461 sec
Sidebar: 0.018081188201904 sec