คณิตคิดลับระดับปอสี่

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 9 April 2011 เวลา 7:27 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1967

คณิตคิดลับระดับปอสี่เพื่อทำดี “ไม่เลือกใคร”

ถ้าผมได้มีโอกาสเป็นครูสอนเลขคณิตพื้นฐานให้เด็กปอสี่ ผมจะตั้งโจทย์เลขดังต่อไปนี้:

โจทย์ข้อที่ 1) ในการเลือกตั้งทั่วไปแต่ละครั้ง คนไทยมาออกเสียงเลือกตั้งอย่างมากที่สุดประมาณ 30 ล้านคน ถ้านักเรียนต้องการได้คะแนนเสียงจำนวนร้อยละ 51 เพื่อให้ได้เสียงข้างมากเด็ดขาดในการจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่ต้องตั้งรัฐบาลผสม ถามว่าจะต้องใช้เงินสักเท่าใดเพื่อซื้อเสียงเหล่านั้น ถ้าต้องซื้อเสียงเสียงละ 500 บาท

เชื่อว่าเด็กปอสี่ที่ตั้งใจเรียนวิชาเลขสักหน่อยคงตอบได้ไม่ยากนักว่า 3901.5 ล้านบาท ..ถ้าท่านผู้อ่านตอบว่า 7650 ล้านบาท ด้วยการเอา 30 ล้าน คูณ 0.51 คูณ 500 ก็แสดงว่าตอบผิดนะครับ

ตัวเลขจริงๆ จะน้อยกว่า 3901 เสียอีกเพราะในหลายพื้นที่ถ้าได้คะแนนเพียง 30% ก็ชนะแล้ว เนื่องจากมีผู้สมัครมากกว่าสองคนที่แย่งคะแนนเสียงกันอยู่แล้ว

โจทย์ข้อ 2): จำนวนเงินที่ต้องใช้ซื้อเสียงดังกล่าวในข้อที่ 1) คิดเป็นร้อยละเท่าไรของเงินกำไรที่นักเลือกตั้งจะหาได้จากการกุมอำนาจรัฐ 1 ปี ทั้งนี้สมมติว่าพวกเขามีรายได้จากการกินหัวคิว 30% ของงบประมาณชาติซึ่งมีจำนวนประมาณ 1.5 ล้านล้านบาทต่อปี

เด็กปอสี่จะตอบได้ไม่ยากนักว่า..ประมาณ 0.867% ของรายได้ใน 1 ปี (ไม่นับรวมเงินเดือน และ สวัสดิการจากภาษีของพวกเรา รวมทั้งเกียรติ..สายสะพาย)

เมื่อเทียบบัญญัติไตรยางศ์แล้วหมายความว่า ลงทุนซื้อเสียงไป 1 บาท ภายใน 1 ปีได้เงินคืนมา 115.34 บาท ซึ่งถือว่าได้กำไร 114.34 เท่า หรือ 11,400.34 % โอย..จะมีการลงทุนอะไรดีไปกว่านี้

นักธุรกิจทั่วไป ถ้าใครฉลาด..เก่ง..เหนือฟ้าจนทำกำไรจากธุรกิจแบบสุจริตโดยไม่โกงลูกค้า แม้กำไรเพียง 10% ก็จะได้รับการซูฮกก้องวงการแล้วว่าเก่งหนักหนา แต่คนพวกนี้ทำกำไร 11,400 % ..วาว!!

แบบนี้น่าช่วยกันเสนอคณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบล ให้ยกรางวัลโนเบลสาขาธุรกิจให้กับนักการเมืองไทยจะดีไหม (..อย่าเพิ่งหัวเราะเยาะ เพราะพวกสวีเดนนี้เขามีอารมณ์ขันแบบเสียดสีที่ลึกล้ำ ถ้าเขาให้รางวัลแบบนี้ รับรองว่าการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงแน่นอน การปฏิรูปการเมืองไทยแบบง่ายๆ อาจต้องอาศัยรางวัลโนเบลแบบเสียดสีนี่เอง)

นี่คิดแบบว่า พวกเขาครองประเทศหนึ่งปีนะ แล้วถ้าครอง 2-3-4 ปีล่ะ?? เด็กปอสี่ลองคำนวณดูว่าจะได้กำไรสักเท่าไร (อย่าลืมลบต้นทุน 1 บาทด้วยนะ)

ที่ว่ามานี้ ยังไม่รวมรายได้ทางอ้อมจากเบี้ยใบ้รายทาง เช่น ส่วยจากนักธุรกิจรายใหญ่ กลาง เล็ก และนักธุรกิจข้ามชาติ เช่น บริษัทน้ำมัน อาวุธ เคมี อาหาร เหล้า บุหรี่ รถยนต์ คอมพิวเตอร์ ยาบ้า โทรคม สื่อสาร ที่ต้องมาขอลายเซ็นให้อนุมัติโครงการต่างๆ รวมถึงส่วยจากการโยกย้ายข้าราชการ

ก็รวยกันอื้อซ่าบ้าระห่ำแบบนี้ จึงไม่แปลกเลยว่า ทำไมถึงมีเงินซื้อพวงหรีดไปแจกทุกงานศพ ใส่ซองหนาในทุกงานกฐิน ผ้าป่า ส่วนงานบวชก็ส่งหมากพลูบุหรี่ให้ทุกคนที่มางาน แถมฝากลูกเข้าโรงเรียนได้หมดที่ร้องขอเข้าไป (เพราะใช้เงินและหรืออำนาจซื้อผอ.รร.ไว้ได้หมดแล้ว) เงินเหล่านี้เป็นรายจ่ายของคนพวกนี้ ที่พวกเขาเต็มใจจ่าย เพราะจ่ายให้ตายเพียงใดก็ไม่ถึง 1 บาทของกำไร 114.34 บาทที่ได้มา ขนหน้าแข้งไม่พอร่วง..ว่างั้นเถอะ แต่มันจะส่งผลให้พวกเขาได้ต่อวงจรอุบาทว์อย่างไม่รู้จบถึงลูกหลาน แถมได้บุญคุณจากคนทั้งบางอีกต่างหาก นี่มันเป็นโกงระดับจิตวิญญาณเชียวนะ ซึ่งน่ากลัวมากจริงๆ

คำนวณให้ดูแบบเด็กปอสี่อย่างนี้แล้วยังจะบูชาการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยตะวันตก..แบบหนึ่งคนหนึ่งเสียง..ตามที่นักวิชาการชี้นำให้พวกเรานิยมชมชื่นกันหนักหนาอีกต่อไปหรือ

คราวหน้านี้ท่านใดกา “ไม่เลือกผู้ใด” เอาใจผมไปเลยหนึ่งดวง

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คิดเป็นแบบสัดส่วนเงินของงบประมาณประเทศ แล้วถ้าพวกสมาคมนักธุรกิจต่างชาติเขาคิดจะซื้อประเทศไทย ..ผ่านการซื้อนักการเมืองไทย.. ด้วยการรับภาระซื้อเสียงแทนนักการเมืองไปเสียเลยล่ะ ?

ถ้าพวกเขาจะลงขันกัน 3901.5 ล้านบาท เพื่อซื้อนักการเมืองข้างมากของประเทศไทย ผมขอตั้งโจทย์ถามรมว. และ อดีต รมว. กระทรวงการคลัง รวมทั้งนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ระดับด๊อกทั้งหลายในหอคอยงาช้างไทยทุกคนว่า พวกเขาต้องใช้เงินร้อยละเท่าไรของรายได้ที่พวกเขาดูดไปจากหยาดเหงื่อแรงงานคนไทยทั้งประเทศ

ตอบ…ประมาณ ร้อยละ 0.055

ถามว่าถ้าคุณมีรายได้ 100 บาท แล้วต้องจ่ายเงินประมาณ “ครึ่งของครึ่งสตางค์” เพื่อซื้อประเทศไทยให้เป็นของคุณ ที่คุณจะบงการให้ซ้ายหันขวาหันได้หมด คุณจะเสียดายเงินนี้ไหม

(หมายเหตุ คำตอบนี้คิดจากสมมติฐานที่ผมได้คำนวณไว้นานแต่ พศ. ๒๕๔๓ แล้วว่ารายได้ประชาชาติไทยจำนวนประมาณ 10 ล้านล้านบาทนั้นเป็นรายได้ของนายทุนต่างชาติถึง 70%..ไม่เชื่อเชิญลบหลู่ได้)

ข้อคิดส่งท้าย:
พรรคการเมืองไทยที่ต้องการชนะการเลือกตั้งควรทำดังนี้
1) ให้ช่องโหว่ในการลดหย่อนภาษีต่อคนรวยให้มากที่สุด
2) ให้ศูนย์การค้าหรูต่อคนชั้นกลางให้มากที่สุด
3) ให้คำมั่นสัญญาต่อคนจนให้มากที่สุด


เมื่อข้าพเจ้า (วิศวกรเครื่องกล) โต้นักวิชาเกรียนไทยในประเด็นการค้าเสรี

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 6 April 2011 เวลา 3:28 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2819

(ตัดมาจากข่าวในแนวหน้า ออนไลน์) 26 ตค. 2549

ดร.นิพนธ์ พวศกร นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ กล่าวถึงเรื่องความขัดแย้งในธุรกิจค้าปลีก และแนวคิดของกระทรวงพาณิชย์ที่จะออกกฎหมายมาควบคุมการขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ว่า ประเด็นที่จะต้องพิจารณาครอบคลุมหลายๆ ด้าน เพราะขณะนี้เหมือนกับว่าจะเน้นในมุมมองของกฎหมายที่ต้องการการออกกฎหมายสักฉบับเพื่อห้ามไม่ให้ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ขยายสาขาได้โดยอิสระ โดยยกประเด็นผลกระทบร้านค้าของชำขนาดเล็กมาเป็นประเด็นหลัก ซึ่งตนเห็นว่าเรื่องนี้อย่าเอาเรื่องความชาตินิยมมาใช้กันมากจนลืมมองความเป็นไปของโลก และระบบการค้าเสรีในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสภาพที่เป็นรัฐบาลเฉพาะกาลไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรที่จะออกกฎหมายอะไรที่ยังมีประเด็นถกเถียงกันมาก มีผลกระทบต่อหลายฝ่าย และยังหาทางออกได้ไม่ชัดเจน ทำให้ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเร่งพิจารณาในเรื่องการออกกฎหมายกันมากขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีการรับฟังข้อมูลความคิดเห็นจากหลายๆ ฝ่ายเลย ทั้งนี้ แนวทางการแก้ปัญหาเรื่องธุรกิจค้าปลีกนี้ ควรจะยึดแนวทางสมานฉันท์ อย่าเอาแต่ฟังความข้างเดียวหรือใช้อารมณ์ในเรื่องของชาตินิยม การอ้างอิงตัวเลขที่ไม่รู้ว่าเป็นข้อเท็จจริงมากน้อยแค่ไหน

….คนเราถ้าไม่ชาตินิยมแล้วจะนิยมอะไรไม่ทราบครับ นิยมต่างชาติให้เขามาครอบครองประเทศเราหรือฯ พวกฝรั่งนั้นเขาชาติยมกว่าเราเยอะ แล้วมาหลอกเราว่าชาตินิยมไม่ได้ เพื่อให้เราหลงคารม ผมฟังธงมานานแล้วว่า ใครที่ไม่ชาตินิยมก็ไม่มีทางที่จะรักตัวเอง ครอบครับ และไม่มีทางรักคนอื่นได้เลย การจะรักคนอื่นได้นั้น ต้องรักตัวเองเสียก่อน ท่านนักวิชาการท่านอย่าตะแบงทำเป็นเสรีนิยมเลยครับ มันไม่โก้นักหรอก ในสายตาของคนที่เขารู้ทัน

ด้าน ดร.พัชรี สิโรรส อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ต้องมองที่ประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก ส่วนความขัดแย้งของผู้ค้านั้น ต้องแยกก่อนว่า ใครบ้างที่มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับกรณีนี้ และใช้แนวทางสมานฉันท์เข้าแก้ปัญหา คือ หาทางประนีประนอมให้ทุกฝ่ายมีที่ยืน ไม่ใช่ใช้วิธีออกกฎหมายมาบังคับฝ่ายเดียว ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาและความขัดแย้งที่ไม่รู้จบ โดยเฉพาะรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ควรรีบร้อนออกกฎหมาย หรือกฎอะไรมาบังคับภาคธุรกิจที่เป็นที่ทราบดีว่า ทุกเรื่องมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องตามธรรมชาติของการประกอบธุรกิจ

…บังคับภาคธุรกิจ? อ้อ…ท่านต้องการให้ออกกฎหมายมาเพื่อทำลายภาคธุรกิจไทยอย่างนั้นหรือ อืมม์ อย่างนี้ควรบัญญัติว่าเป็นระบบ อชาตินิยม แห่งแรกและแห่งเดียวในโลก

ขณะที่ นายปริญญา ธรรมวัฒนะ เจ้าของตลาดสดยิ่งเจริญ กล่าวว่า แม้ว่าจะมีธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ แต่เชื่อว่าโชห่วยที่มีการพัฒนาและปรับปรุงตัวเองจะไม่มีวันเจ๊ง เหมือนที่ตลาดสดยิ่งเจริญที่มีการรองรับการแข่งขันนี้มาตลอด และปัจจุบันผู้ค้ารายย่อยก็สามารถสู้กับธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ได้ ด้วยการรวมตัวกันในการสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิต ซึ่งวิธีนี้จะเป็นแนวทางที่ดีกว่า การออกกฎหมายมาบังคับ เพราะหากต่างฝ่ายต่างมุ่งแต่จะเป็นผู้ได้ประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว ความขัดแย้งก็จะไม่รู้จบ

…แหมท่านครับ กำลังวางแผนเปิดร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ หรือ กำลังจะไปร่วมทุนกะเขาหรือเปล่าครับ เพราะที่ท่านพูดมานี้มองไม่เห็นเลยว่าท่านจะได้ประโยชน์อะไรกะเขาด้วย เพราะถ้าห้ามค้าปลีกข้ามชาติ ยังไงคนก็จะมาซื้อของในตลาดของท่านมากขึ้นอยู่แล้ว แต่ทำไมทำทีว่าไม่มีผลกระทบ อืมม์…หรือว่าท่านคือพระโพธิสัตว์ที่เห็นใจคนรวยคนจนเท่าเทียมกันหมด ถ้างั้นข้าน้อย ขออภัยที่ก้าวล่วงท่าน


ประชาธิปไตย (ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทยตอนที่ ?+1)

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 April 2011 เวลา 4:05 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2204

ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (ตอนที่ มั่ว ๑) …อิงตน vs อิงนาย

(เขียนไว้นานแล้ว …หวังว่าเอามาโพสต์วันนี้ มีนาคม ๒๕๕๔ ..คงไม่ซ้ำของเดิม สมองวันนี้จำอะไรไม่ค่อยได้ ขออภัยหากซ้ำ และขอโทษหากทำให้ระคายเคือง และขอลาพักหายหน้าไปสัก 3-4 วันครับ)

นอกจากลักษณะทางกายภาพ (ลักษณะภายนอก) ที่ฝรั่งตัวใหญ่กว่าเรา สีผิว สีผมอ่อนกว่า ตาโตกว่า ผิวหยาบกว่า และ..ที่ไม่ค่อยรู้กันคือ…ขี้ฝรั่งก็เหม็นกว่าขี้ไทยด้วย (เพราะกินแต่เนื้อสัตว์และเนยเน่ามากกว่า …ที่ไทยเราก็กำลังเอาอย่าง)

นอกจากนี้ แนวคิด (ลักษณะภายใน) และวัฒนธรรมของฝรั่ง ก็ต่างจากแนวคิดของไทยเรามากอีกด้วยมากมายนับร้อยเรื่อง (ถ้ามีเวลาและ มีกินมีใช้พอเพียง จะมาเล่าให้ฟังอีกร้อยตอน แต่ตอนนี้มีเวลาน้อยและคิดไปว่าอาจไม่พอกินในอนาคต (ไม่รู้เท่าไรจะพอ …ขอสัก 76K ก็น่าพอนะ) ก็เอาพอหอมปากคอแล้วกันนะ)

เอ้า…เอาเรื่องสำคัญสำคัญ เช่น การเมืองก่อนก็แล้วกัน เพราะการเมืองนั้นมันเป็นต้นธารที่สังเกตเห็นได้ง่ายที่สุด (ก็น้ำเน่าท่วมประเทศแบบนี้ นอกจากเห็นแล้วยังได้กลิ่นอีกด้วย)

คนไทยเราบูชาการเมืองฝรั่งกันหนักหนา เพราะเห็นว่าเป็นประชาธิปไตย (ปชต) ตามที่นักวิชาการะดับด๊อกชี้นำเรามาแต่บุราณกาล แต่หารู้ไม่ว่าปชตตะวันตก (ปชต.ตต.) .นี้มีต้นเหตุมาจากการ “เห็นแก่ตัว” ของฝรั่ง

…ส่วนไทยเรานั้นอยู่เย็นเป็นสุขกันมานานจากการ “เห็นแก่ส่วนรวม” มาโดยตลอด ตั้งแต่สุโขทัย ยันสมัยร.๖ แห่ง รศ. แต่เรากลับทอดทิ้ง หันไปหา ปชต.ตต. เหมือนเด็กแว้นโง่เง่า ที่ไม่สนใจคำสอนของพ่อแม่ผู้แก่เฒ่า หันไปหาแต่ “แฟชั่น” ตามกระแส เท่านั้นเอง

ปัจจัยสำคัญหลักที่บีบให้ฝรั่งคิดค้นระบบปชต. ขึ้นมาได้ก็คือ ปัจเจกชนนิยม (individualism) นี่เอง เพราะนิสัยฝรั่งที่บ่มเพาะกันมานาน นั้นก็คือ ระบบ “ข้านี้เก่ง ไม่ต้องฟังเอ็งก็ได้” ก็เลยต่างคนต่างแยกกันอยู่ เพราะถ้าอยู่ร่วมกันเมื่อไร ก็บรรลัยเมื่อนั้น ..แต่นี่แหละที่มันกลับทำให้ฝรั่งมาอยู่ร่วมกันแบบปชต.ตต.ได้

…เอ้า พักครึ่ง เวลา ไปหาซื้อถั่วต้ม อ้อยควั่น กินกันก่อนนะครับ เดี๋ยวยืดนิ้วแล้วจะมาพิมพ์ให้อ่านกันต่อ

..

พอต่างคนต่างอยู่ ก็ค่อยๆเพาะบ่มให้ฝรั่งเขาเรียนรู้มานานว่า ถ้าต่างคนต่างอยู่ก็ตายกันหมด (เพราะข้าศึกนับพันหมื่นแสนมันจะมาจับไปเป็นทาสเสียหมด) แต่ถ้าอยู่รวมกัน มีนายใหญ่ (กษัตริย์) สั่งการคนเดียว ก็ยอมรับไม่ได้ เพราะเราก็เก่งปานกัน สุดท้ายมันก็มาลงตัวที่ระบบ ปชต. นี่แหละ …มันเป็นระบบที่พบกันครึ่งทางนั่นแล

ปชต. เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เผ่าพันธุ์ที่มีนิสัยแบบฝรั่งอยู่รอดได้ เป็นการประนีประนอม เหตุและปัจจัยโดยธรรมชาติ ไม่ต่างอะไรกับการอยู่รอดของฝูงหมาป่า เสือ กวาง ผึ้ง ปลวก ที่ต่างก็มีวิธีเฉพาะแห่งตนทั้งสิ้น

เช่นเสือหากินเดี่ยว หมาไนหากินหมู่ มดหากินเป็นรัง นกกระเรียนสมสู่คู่เดียว ส่วนแพะภูเขาสมสู่ด้วยหัวหน้าฝูงตัวเดียวกับตัวเมียทั้งฝูง ….ทั้งหลายทั้งปวง ก็เพื่อความอยู่รอดแห่งเผ่าพันธุ์

แต่อนิจจา..วันนี้คนไทยเรากำลังโง่กว่าปลวก หมาใน และเดรัจฉานทั้งหลาย ที่ไปลอกระบบการเมืองฝรั่งมาใช้ทั้งดุ้น แล้วนิยมบูชากันหนักหนา ว่าศักดิ์สิทธิ์ ที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ …ที่ต้องมีสส. สว. มาจากการเลือกตั้งแบบหนึ่งคน หนึ่งเสียง (มีสิทธิ์เลือกตั้งแบบปัจเจกที่เท่าเทียมแบบฝรั่ง)

ทุกคนต้องมีสิทธิเท่าเทียมกันแบบฝรั่ง โดยดักดานไม่ศึกษาประวัติศาสตร์บ้างเลยว่า ผู้หญิงฝรั่งนั้น แม้เมื่อสัก 70 ปีมานี้ยังไม่มีสิทธิ์โหวตเลย เมื่อสัก 100 ปีมานี้ยังห้ามสูบบุหรี่ (เมียใครแอบสูบแล้วถูกจับได้ จะถูกลงโทษด้วยการเอามานั่งกลางเมือง หอนาฬิกา แล้วถูกผู้ชายทั้งเมืองเอาน้ำเย็นมาราดรด ในหน้าหนาวที่อุณหภูมิประมาณ 5 องศา โดยผัวตัวเองเป็นเจ้าภาพ) ส่วนผู้หญิงที่เก่งกาจด้านศาสนา ก็ถูกจับเผาทั้งเป็นไปหลายหมื่นคน ทั้งในอเมริกาและยุโรป

ส่วนไทยเราเป็นปชต.ครั้งแรก หญิงก็โหวตได้เท่าชาย (ล้ำหน้าฝรั่ง usa เสียอีก) กินหมากพลูบุหรี่ เหล้า ก็เท่าเทียมชายมาแต่กาลก่อนแล้ว ถ้าเก่งศาสนาก็กลายเป็นเจ้าแม่ มีศาลให้เห็นอยู่เต็มประเทศ แทนที่จะถูกประณามว่าเป็นแม่มด (witch) จนถูกไล่ล่าจับมาเผาทั้งเป็นนับหมื่นแสน

อย่างนี้แล้วยังจะเห่อ ปชต. ตต. ฝรั่งอีกต่อไปหรือ

…สองชาติ ใจเต็ม (๑ พย. ๕๓)


ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (..ตอนที่จำไม่ได้แล้ว)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 24 March 2011 เวลา 3:32 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2352

ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (ตอนที่ ๑..วิเคราะห์กับสังเคราะห์)

พื้นฐานของความเจริญทางวัตถุของฝรั่งในวันนี้มาจากการวิเคราะห์เป็นส่วนใหญ่ เช่น วิเคราะห์หาระเบียบของดวงดาว ยารักษาโรค โครงสร้างอะตอม และสมมติฐานของธรรมชาติ

ที่ฝรั่งชอบคิดวิเคราะห์เพราะมีพื้นฐานแนวคิดแบบเชิงเส้น (linear thinking) มานานจนนำไปสู่การนับถือพระเจ้าเพราะเข้ากันได้กับแนวคิดเชิงเส้นนั่นเอง

การคิดเชิงเส้นคือการคิดที่เป็นเหตุเป็นผลต่อกันเป็นลูกโซ่ กล่าวคือ เมื่อมีสิ่งหนึ่งก็ต้องมีสิ่งหนึ่งเกิดมาก่อนหน้านี้ ซึ่งต้องมีสิ่งอื่นอีกสิ่งหนึ่งเกิดมาก่อนหน้านั้น ไปจนถึง “จุดกำเนิด” ของสรรพสิ่ง พอตันจนคิดไม่ออกก็ยกให้เป็นการสร้างของพระเจ้านั่นแล

ส่วนพวกแตกหน่อเชิงเส้นที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็คิดไปว่าโลกมาจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ (the big bang) ออกจากมวลเข้มข้น ในระดับสสารก็วิเคราะห์หาสิ่งกำเนิดแยกย่อยกันไปจนถึงระดับเล็กกว่าอะตอมไปแล้ว

การคิดเชิงเส้นทำให้พัฒนามาเป็นคนมีเหตุผล นำสู่การคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้มาก และการคิดแบบเชิงเส้นนี้สอดคล้องกับนิสัยตรงไปตรงมา (directness) ของฝรั่งซึ่งต่างจากไทยที่คิดแบบอ้อมค้อมเฉโก

ส่วนคนไทยเรานั้นต่างจากฝรั่งมาก เพราะมักเก่งในการคิดแบบไม่เชิงเส้น (ไม่ตรงไปตรงมา) โดยเอาเรื่องหลายๆเรื่องมาต่อเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างเหลือเชื่อ เช่น การทอผ้าลวดลายมหัศจรรย์ทั้งหลาย (ผ้าโบราณฝรั่งไม่ค่อยมีลวดลาย) งานจักสานอันวิจิตร การแต่งกลอนที่มีสัมผัสนอกในวุ่นวายหลายตลบ งานศิลปะก็งอนไปงอมาเต็มไปหมด และการปรุงอาหารนั้นก็หลากรสมากในอาหารจานเดียวกัน (ส่วนฝรั่งมีรสเค็มรสเดียว) ส่วนหนังไทยเราก็ต้องมีครบทุกรส..บู๊รักโศรกตลกโป๊

การคิดไม่เชิงเส้นแบบไทยนั้นถือว่าเป็นจุดแข็งสำคัญของชาติที่ผู้วางนโยบายพัฒนาชาติพึงตระหนัก จะได้พัฒนาได้ตรงกับจุดแข็งของเรา จะทำให้เรามีเอกลักษณ์พิเศษในโลก ไม่ใช่เห็นฝรั่งเขาเจริญเพราะคิดวิเคราะห์เก่ง ก็เฮโลจะเลียนแบบเขาเสียหมด (อย่างนี้เรียกว่า เป็นคนไม่รู้จักคิด หรือ นัยหนึ่ง โง่ นั่นเอง)

เราต่างพากันประณามการสอนแบบเก่าของไทยเราว่าล้มเหลว ที่สอนแต่ให้นักเรียนจำ จำ และจำ โดยไม่สอนให้คิดมากเท่าที่ควร จนไปปฏิรูปการศึกษาให้สอนให้รู้จักคิดมากกว่าจำ โดยหารู้ไม่ว่า ในการจำนั้นถ้าทำให้ดีมันก็สอดแทรกการคิดได้ ส่วนในการคิดนั้นกว่าจะคิดอะไรออกมันก็ต้องจำอะไรไว้มหาศาล (เช่น คนที่คิดเลขได้ไวก็ต้องจำแม่สูตรคูณได้หมดและจำวิธีการคิดลัดได้มากกว่าคนอื่นนั่นเอง)

ผมเชื่อเหลือเกินว่าคนที่คิดได้เก่งที่สุดก็ต้องเป็นคนที่จำอะไรได้แม่นและมากที่สุดด้วย จากนั้นจึงเอาความรู้ที่จำไว้มาวิเคราะห์และสังเคราะห์ขึ้นให้เป็นข้อวินิจฉัยอันฉลาดปราดเปรื่องเหล่านั้น

น่าเสียดายที่สุดที่บัดนี้เราปฏิรูปการศึกษาตามฝรั่งเสียจนห้าม รร.ไทยท่องอาขยาน (แต่สูตรคูณกลับให้ท่องเหมือนเดิม นี่มันสองมาตรฐานแท้ๆ) เลยทุกวันนี้เด็กไทยเราจำก็ไม่เก่ง คิดก็ไม่เป็น ศิลปะ และความพริ้วแบบไทยก็ไม่เหลือ (เพราะไม่มีอาขยานในใจ) อีกหน่อยก็คงเป็นขี้ข้าเขาได้อย่างเดียว (ตอนนี้ก็เป็นอยู่แล้ว)

จุดแข็งของคนไทยเรานั้นคือการ จำ การคิดสังเคราะห์ และการคิดแบบไม่เชิงเส้น (แบบองค์รวม) ไม่ใช่การ ”คิดวิเคราะห์” ที่เป็นเชิงเส้นแบบฝรั่ง

ดังนั้นผมจึงขอเสนอให้รัฐบาลและผู้รับผิดชอบด้านการบริหารการศึกษาของชาติช่วยกันปฏิรูปการศึกษาเสียใหม่ ให้สอดคล้องกับลักษณะเด่นของเรา คือ ทำให้การ “คิดสังเคราะห์” เก่งเสียก่อน เพื่อเป็นบันไดไปสู่การคิดวิเคราะห์อีกที (เพื่อไปสู่สังเคราะห์อีกรอบ) กล่าวคือใช้การจำ และการคิดสังเคราะห์เป็นกุศโลบายไปสู่การคิดวิเคราะห์

ถ้าเราไปโง่ด้วยการให้คิดวิเคราะห์แบบฝรั่ง ผมว่าคงไปไม่รอดแน่ และถ้ายิ่งไปตัดตอน “การจำ” ออกไปแบบที่คิดกันผิดๆมาสิบกว่าปีแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะการจำนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งการวิเคราะห์และสังเคราะห์

พระเกจิสอนว่า..การปฏิบัติธรรมให้ได้ผลนั้นมีสองวิธีใหญ่คือ สมาธินำปัญญา (เจโตวิมุต) และ ปัญญานำสมาธิ (ปัญญาวิมุต) ถ้าใช้วิธีที่เหมาะกับลักษณะตนก็บรรลุธรรมได้เร็วกว่าที่ใช้อีกวิธีหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ได้ผลเท่ากัน

ผมเห็นว่ามันเหมือนกับการพัฒนาชาติไทย ..เราจะเอาสังเคราะห์นำวิเคราะห์ หรือวิเคราะห์นำสังเคราะห์ก็ได้ อย่าไปคิดแต่ลอกเลียนวิธีการฝรั่งกันนักเลย

สำหรับการเมืองไทยเราก็สังเคราะห์ (สงเคราะห์) กันไปมาแบบที่ว่า “ไม่มีศัตรูถาวรนั่นเทียว” การโหวตก็โหวตแบบเฉโก ในขณะที่นักการเมืองฝรั่งโหวตแบบตรงไปตรงมา ประเด็นนี้สำคัญมาก มันบอกว่าเราไม่อาจใช้ระบบประชาธิปไตยแบบตะวันตกได้ ต้องปรับระบบให้เข้ากับนิสัย “ไม่เชิงเส้น” ของคนไทยให้ดี ไม่เช่นนั้นประชาธิปไตยไม่มีวันเบ่งบานในผืนแผ่นดินไทย

และถ้าการเมืองไม่เจริญเสียแล้ว ก็คงไม่มีวันที่ประเทศไทยจะเจริญเท่าฝรั่งไปได้ อย่าว่าแต่เจริญกว่าเลย (วิเคราะห์ออกไหม?)

….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๙ ตค ๕๓)


ข้อเชิญคิดวันนี้ (๙)

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 22 March 2011 เวลา 8:56 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1755

ไม้แก่ดัดยาก

แต่ถ้าดัดได้แล้วก็คืนตัวยากเสียยิ่งกว่า
ถือว่าน่าจะคุ้มแรงกว่าไปดัดไม้อ่อนเสียอีก


ข้อคิดคณิตศาสตร์วันนี้ (๘)

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 20 March 2011 เวลา 9:12 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2565

1+0 = 0.00001
1+1 = 0.5
1+1+1 = 1


วิธีสำส่อนโดยไม่ตั้งท้องหรือติดเอดส์..รับรองผลโดยหมอ

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 17 March 2011 เวลา 10:05 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2075

เพศศึกษา

สังคมไทยกำลังเห่อฝรั่งในทุกเรื่อง แม้แต่ในเรื่องของการสืบพันธุ์ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่เราก็มีความสามารถตามธรรมชาติไม่แพ้ชาติใดในโลกมาแต่ดึกดำบรรพ์ (หมูหมากาไก่ไทยก็สืบพันธุ์ได้ดีไม่แพ้หมูหมากาไก่ฝรั่งด้วยนะ)

ขณะนี้กำลังเห่อจะให้สอนเพศศึกษากันมากๆอย่างเปิดเผยเหมือนดังในระบบการศึกษาแบบฝรั่ง โดยมองกันแต่ในแง่ดีและมักมองไม่เห็นข้อเสียกันบ้างเลย ใครๆก็ไม่กล้าออกมาคัดค้าน เพราะกลัวจะถูกรุมกินโต๊ะว่าเป็นพวกไดโนหลังเขาเต่าล้านปี

การแก้ติดโรคส์เอดส์ และหรือ ตั้งท้องก่อนวัย นั้นง่ายนิดเดียว ก็แค่เด็กหญิงรักนวลสงวนตัวแบบไทยโบราณก็หมดเรื่อง แต่ถ้าไปพูดแบบนี้ก็ถูกหมอ MD + Ph.D โห่ลั่น หาว่าคลั่งชาติไปโน่น

สังเกตดูจากรายการสอนเพศศึกษา (โดยหมอลามก) ในโทรทัศน์แล้วน่าสยดสยองมาก เพราะนอกจากจะเป็นรายการในเวลาดึกมากแล้ว ยังโจ่งแจ้งและเป็นการชี้นำตามสไตล์ฝรั่งไม่มีผิด เพราะเวลาดึกๆนั้นเยาวชนเหล่านี้ต้องเข้านอนเพื่อเอาแรงไว้เรียนหนังสือในวันรุ่งขึ้น ไม่ใช่เอามาถ่างตาดูรายการเพศศึกษาปนการชี้นำแบบนี้

ส่วนใหญ่หมอลามกเหล่านี้จะชี้นำว่า..การมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือผิดปกติแต่อย่างใด เพียงแต่ขอให้ป้องกันการตั้งท้องและการติดโรคเป็นพอ

โหย…อย่างนี้ผมว่ามันไม่ใช่วิชาเพศศึกษาแล้ว แต่มันเป็นวิชาพฤติกรรมศาสตร์มากกว่า และออกจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าพึงประสงค์อีกด้วย เท่ากับช่วยส่งเสริมให้เยาวชนชายหญิงร่วมเพศระหว่างกันโดยไม่จำเป็น กล่าวคือ..ร่วมเพศโดยไม่ต้องการสืบพันธุ์

อ้าว..ฉากด้านหลังห้องส่งที่กล้องมักซูมเข้าไปให้อ่านถนัดบ่อยๆ คือ บริษัทถุงยางอนามัย ที่เป็นผู้สนับสนุนรายการ มิน่าเล่า ไอ้หมอลามกถึงสอนว่า ขอให้ป้องกันให้ดีก็เพียงพอแล้ว ไอ้หมอเอี้ยและลามกด้วย ขอด่าแมร่งไว้ณที่นี้

ทำไมมนุษย์จึงต้องเรียนรู้อะไรให้กระจ่างหมดทุกอย่าง (เหมือนพวกฝรั่ง) ขอยกเว้นเรื่องเพศสักเรื่องหนึ่งได้ไหม ทำไมจึงต้องรีบร้อนปานนั้น ปล่อยให้กาลเวลาสอนกันเองตามธรรมชาติไม่ได้หรือ หรือ ให้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่สอนลูก จะได้เกิดสายใยระหว่างครอบครัวที่เหนียวแน่นยิ่งขึ้นกว่าในปัจจุบันที่สายใยเปราะบางจนน่าเป็นห่วง

เรื่องเพศนี้เป็นเรื่องของอารมณ์รักและอารมณ์ใคร่ที่เกี่ยวพันกันมาก มีผลกระทบทางจิตวิทยาและพฤติกรรมมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ถึงกับท่านซิกมันด์ ฟรอยด์ (นักจิตวิทยาชื่อก้องชาวออสเตรีย) เชื่อว่าเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างของความเป็นมนุษย์นั่นเทียว ผมเองก็มีความโน้มเอียงเชื่อตามฟรอยด์ด้วย ดังนั้นผมเชื่อว่าถ้าเอาเรื่องนี้มาตีแผ่หมดไส้หมดพุงจนเกินไปมันจะทำให้รสชาติของความสุนทรีย์ในการเป็นมนุษย์ต้องจืดชืดลงไปมากทีเดียว เพราะเรื่องความรักเป็นเรื่องของจิตอารมณ์อันละเอียดอ่อน ส่วนเรื่องความ”ต้องการ”ทางเพศเป็นเรื่องของความโลภตัณหาหื่นหยาบๆ

ระบบการเจริญพันธุ์มีผลต่อร่างกายมาก ดังจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมมนุษย์เปลี่ยนแปลงมากเมื่อเกิดการเปลี่ยนจากวัยเด็กสู่วัยเจริญพันธุ์ ผมเชื่อว่าการจะปลูกฝังจริยธรรมนั้นต้องทำก่อนวัยเจริญพันธุ์ เพราะขณะนั้นจิตใจยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง เปรียบดังว่าประตูยังเปิดกว้างอยู่ อีกทั้งยังมีที่ว่างพอที่จะรับเอาจริยธรรมและคุณธรรมเข้าไปบรรจุไว้ได้ แต่พอเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้วประตูจะปิดแคบลง แถมห้องยังไม่ค่อยว่างเพราะถูกบรรจุเต็มไว้ด้วยความต้องในการสืบพันธุ์เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์เท่านั้น
น่าแปลกใจว่าสังคมไทยในอดีตไม่ได้สอนเรื่องเพศเหมือนเดี๋ยวนี้ แต่ปัญหาทางเพศที่เกิดขึ้นในอดีตกลับมีน้อยกว่าปัจจุบันมาก ดูเหมือนว่ายิ่งเรียนรู้เรื่องเพศมากเท่าใดก็ยิ่งเกิดปัญหามากขึ้นเป็นเงาตามตัวมากเท่านั้น (แทนที่จะช่วยลดปัญหา)

ดูเหมือนว่าเป็นดังเช่นว่านี้ในทุกแขนงวิทยาการ จึงเป็นเรื่องน่าคิดมากว่า ทำไมมนุษย์เราจึง “ยิ่งเรียนยิ่งโง่” ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไรยิ่งมีปัญหามากเท่านั้น

หากคิดด้วยสมองจริงๆ (ไม่ใช้อารมณ์มากเกินไป) การสอนเพศศึกษาในตัวหลักวิชาของมันเองนั้นไม่ใช่ความเลวร้ายอะไรนัก เช่น สอนว่ากระบวนการเจริญพันธุ์เกิดขึ้นได้อย่างไรในร่างกายของเรา โดยอาจสอนแบบบูรณาการไปกับการสอนกระบวนการเจริญพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเปิดสอนในรายวิชาเพศศึกษาเป็นการเฉพาะ เพราะจะหลีกเลี่ยงการชี้นำไปด้วยในตัวได้ยากมาก
ถามว่าหมูหมากาไก่มันต้องเสียเวลามาสอนเพศศึกษากันไหม แต่ก็ไม่เคยเห็นมันเกิดปัญหาเรื่องเพศ เพราะสัตว์จะร่วมเพศกันเท่าที่จำเป็นเพื่อสืบพันธุ์เท่านั้น ไม่ทำกันพร่ำเพรื่อแบบมนุษย์ เราคนแท้ๆทำไมต้องมาสอนกันแบบนี้ด้วย ไม่อายสัตว์บ้างหรือไร
ปัญหาเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นจากการไม่มีความรู้เรื่องเพศของคนกลุ่มน้อย ใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเฉพาะกิจได้ไหม ทำไมต้องมาใช้งบประมาณแก้ปัญหาแบบหว่านแหทั่วประเทศ โดยตามอย่างฝรั่งอีกตามเคยเหมือนทุกเรื่อง

หรือว่าพอมีโครงการ ก็มีงบประมาณมาให้งาบ ก็มีเงินไปซื้อถุงยางได้มาก ก็มีชัยกันไปทั่ว เอ้า..ชาย…ยออออๆ เอิ๊ก

…สองเกิด ใจเต็ม (..เขียนไว้นานมาแล้ว ก่อนพศ. ๒๕๔๕)


ช่วยเหลือคนรวยได้บุญมากว่าช่วยเหลือคนจน

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 17 March 2011 เวลา 6:16 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2289

ช่วยเหลือคนรวยได้บุญมากว่าช่วยเหลือคนจน

คนรวยเป็นคนน่าสงสาร ที่น่าช่วยเหลือมากที่สุด
มากกว่าคนจนหลายเท่า
แต่ทำไมมีแต่คนต้องการช่วยเหลือคนจน
ไม่มีใครคิดถึงหัวอกคนรวยบ้างเลย

คนจนมีความสุขมากกว่าคนรวยหลายเท่าตัว เช่น
มีภาระงานน้อยกว่า
มีเวลาว่างทำการสนุกสนานมากกว่า
มีเวลานอนมากกว่า
มีความเครียดและความกังวลน้อยกว่า
ไม่น่าต้องช่วยเหลืออะไรมากนัก
ที่มีน้อยกว่าคนรวยเป็นเพียงทางด้านกายภาพเท่านั้น

อาจดูเหมือนว่าคนรวยมีความสุข เพราะมีเงินและมีเกียรติ
แต่เงินมาพร้อมกับความกังวลที่จะต้องรักษาไว้ และเพิ่มให้มากยิ่งๆขึ้นทุกวันเดือนปี
และเกียรติมาพร้อมกับความเครียด เพราะบ่อยครั้งไม่ได้รับมันมากพอจากคนรอบข้าง
เงินนำมาให้ได้เพียงความสุขกายเท่านั้น
แต่ยังมีความสุขที่สำคัญกว่าอีกสองอย่าง คือ
ความสุขอารมณ์ และ ความสุขวิญญาณ
ซึ่งเงินมักทำให้ความสุขสองอย่างนี้ด้อยลงเสมอ

เงินของคนรวยซื้อได้เพียง “ความสนุก” เท่านั้น หาซื้อ “ความสุข” ได้ไม่
ดังนั้นคนจน(ที่ฉลาดสักหน่อย)จะมีความสุขมากกว่าคนรวย แต่สนุกน้อยกว่าแน่นอน

คนจนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเงินมากนัก
พวกเขาจึงมีความสุขอารมณ์และวิญญาณสูง
เช่น แม้มีรายได้น้อยหน่อยเดียว
แต่กลับทำบุญมาก (เมื่อคิดเทียบเป็นสัดส่วนร้อยละ)
เคยเห็น กรรมกรแรงงานวันละ 120 บาท (ทำงาน 5 วัน)
ตักบาตรด้วยข้าว ปลาทู น้ำพริก คิดเป็นมูลค่าวันละประมาณ 15 บาททุกวัน (7วัน)
หรือประมาณ 17.5% ของรายได้
ลองนึกดูว่าเศรษฐีพันล้านจะต้องทำบุญตักบาตรวันละเท่าไร
จึงจะได้สัดส่วนบุญเท่าคนจน

เห็นได้ชัดว่า คนรวยทำบุญ (คิดเป็นสัดส่วนเทียบกับรายได้) น้อยกว่าคนจนหลายร้อยเท่า
ทำบาปก็มากกว่าคนจนมาก ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
คนจนทำบาปอย่างมากก็เพียงกินเหล้าเมามาย หรือ ลักเล็กขโมยน้อย
แต่คนรวยนอกจากทำบุญน้อยกว่าแล้ว ยังทำบาปในวงกว้างและลึกกว่ามาก เช่น
เอาเปรียบแรงงานคนจำนวนมาก
โกงภาษีมาก
ทำลายสิ่งแวดล้อมมาก
คงไม่แคล้ว ต้องตกนรกในชาติหน้า เป็นแม่นมั่น

หากใครอ้างว่าเป็นคนมีความเมตตาสูง
ต้องเมตตาและเห็นใจคนรวยมากกว่าคนจน หลายเท่า
เพราะพวกเขามีความทุกข์มากกว่าคนจนมากนัก
และอยู่ใกล้ประตูนรกมากกว่า

จึงขอเสนอรัฐบาลมอบนโยบาย
ให้กรมประชาสงเคราะห์ จัดตั้ง..สถานสงเคราะห์คนรวยทั่วประเทศ
เพื่อช่วยสงเคราะห์ให้มีจิตใจละมุนละม่อม
เห็นใจคนจน ไม่กดขี่แรงงาน ไม่โกงภาษี ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
จะช่วยชาติ(และคนจน ) และตนเอง ได้มาก
เพราะช่วยให้คนรวยมีความสุขใจ ที่ได้ประกอบกรรมดี
ขึ้นสวรรค์ในชาตินี้(เพราะใจมีสุขในปัจจุบัน)
และในชาติหน้า เป็นแม่นมั่น (หากมีจริง)

ที่สำคัญคือ
เมื่อช่วยให้คนรวยจำนวนน้อยเป็นคนดีมีความสุขเสียแล้ว
พวกเขาย่อมแบ่งปันความสุขเหล่านั้นมาให้คนจนได้
ทำให้ไม่ต้องไปช่วยคนจนอีกต่อไป
เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง
การช่วยเหลือคนจนเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น

การช่วยเหลือคนจนเสียเงิน ได้ผลน้อย
แต่การช่วยเหลือคนรวยได้เงิน และได้ผลมากด้วย
ได้สองต่อ
แล้วยังจะเสียสละไปช่วยเหลือคนจน หาเสียง เอาหน้า เอาบุญ อีกต่อไปทำไม
ยิ่งช่วยคนจนมากเท่าไหร่อาจยิ่งได้บาปมากขึ้นเสียอีกน่ะไม่ว่า

สองเกิด ใจเต็ม (เขียนไว้แต่ประมาณ พศ. ๒๕๔๗)


ข้อคิดวานนี้ (๓)

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 March 2011 เวลา 6:45 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1883

คนจนมีสองประเภทคือพวก_มีไม่พอ_ กับพวก _พอไม่มี_


ข้อคิดวันนี้ (๒)

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 March 2011 เวลา 5:20 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2097

คนไทยทำงานเป็นทีมไม่ได้ ยกเว้นทำความเลว



Main: 0.14239883422852 sec
Sidebar: 0.007559061050415 sec