ชวนมาทำความรู้จักพืชอาหารเพื่อปรับฐานความเข้าใจให้ตรงกันก่อนค่ะ
อ่าน: 3221พักมือไปครู่ใหญ่ๆจึงกลับมาเบิกโรงต่อ แหม! ชื่นใจจังค่ะ บรรดาแควนตามมากันตรึม ขอขอบคุณแม่ยกที่ช่วยแหย่ประเด็น และก็ขอขอบคุณสปอนเซอร์คนสำคัญ ชายหนุ่มเจ้าของท้องเรื่องที่ได้ให้ทุนมาเปิดโรงละครแห่งนี้ขึ้นมา สำหรับค่าสปอนเซอร์ที่เพิ่งเพิ่มมาให้เพื่อให้นำมาใช้ในการเล่นละครเรื่องนี้ได้อีกนั้น ขอกระซิบดังๆว่า ขอเก็บไว้ก่อนนะค่ะ เอาไว้มีจังหวะจะนำออกมาใช้ในองค์ที่เกี่ยวข้องแน่นอนพันเปอร์เซ็นต์ค่ะ ที่ฉันยังไม่นำออกมาใช้ด้วยว่าเงินมันใหญ่ มันยังแพงเกินไปที่จะนำมาใช้ในจังหวะนี้ค่ะ ใช้ไม่ถูกจังหวะคนดูขาดทุนแย่ค่ะ ขอฝากแบงค์ไว้เป็นทุนก่อน เบิกโรงไปถึงตอนไหนที่นำมาใช้ได้จะนำออกมาใช้แน่นอนค่ะ
เวลาฉันเจอคนไข้ แล้วถามประวัติการกินอาหาร ดูเหมือนทุกคนจะกลัวถูกฉันดุว่า ด้วยจะรีบบอกว่า ป้าไม่กินของมันๆ พี่กินน้อยนิดเดียว แม้แต่เจ้าหน้าที่ก็จะมีออกตัวแบบเดียวกับคนไข้เดี๊ยะเลย ทำไมเขาต้องกลัวฉันน่าขันจริงๆเลย ถ้ามันจะเป็นอะไรไปตัวเขาเองไม่ใช่หรือ เป็นตัวฉันซะเมื่อไร ไยจึงมากลัวฉันเล่า ไปกลัวเป็นโรคดีกว่ามั๊งจะได้มีอะไรขึ้นมาบ้างค่ะ เฮ้อ! คนเรานี่แปลกนะ
ในบันทึกก่อนๆได้บอกเรื่องอาหารตามธงไว้ให้หลายหมวดแล้ว ขอทวนก่อนนะค่ะ มีหมวดผัก หมวดไขมัน หมวดเนื้อสัตว์ ที่ขมวดให้มาสู่ เคล็ดลับของคำว่า “พืชครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง” แล้วตามมาด้วยหมวดของเกลือ น้ำตาล เพื่อทำความเข้าใจ มาก-น้อยคืออย่างไรทำได้แล้วใช่ไหมค่ะ
บันทึกนี้จะขอทำความเข้าใจเรื่อง “พืช” และ “ผัก” ค่ะ บอกกันแล้วนะค่ะ ว่าจะใช้ข้อความรู้แบบระดับประถมเพื่อไม่ให้จำเยอะ แต่เอาไปใช้กินได้อย่างปลอดภัย ได้ good flow เรื่องของสุขภาพกันอ่ะ ขอยืนยันในหลักการนี้ว่ายังแน่นไม่เบี่ยงออกนอกลู่นอกทางค่ะ ในเมื่อจะใช้ความรู้ในระดับง่ายๆอย่างนี้ ก้ควรจะต้องมีการทำความใจเรื่องคำ ในบันทึกที่เขียนฉันใช้คำว่า “พืช” กับทุกๆอย่างที่มีแหล่งผลิตจากสิ่งมีชีวิตที่เราเรียกว่า “พืช” นะค่ะ ดังนั้น ข้าว มัน ผลไม้ ผัก นมถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ ก็คือพืชทั้งหมดเลย ส่วนอะไรที่นำมาแปลงต่อจนดูไม่ออกว่ามาจากพืช เช่น น้ำตาล นั้นนะค่ะ ฉันแยกมันออกไปไว้ต่างหากตามที่ธงมันแยกนะค่ะ
ประเดิมกันก่อนตามหลักวิชาวิทยาศาสตร์ก็แล้วกันนะค่ะ พืชในที่นี้ฉันหมายถึง พืชทุกชนิดที่ใช้ กิ่ง ใบ ต้น ราก ดอกหรือเมล็ดเป็นอาหารได้ค่ะ แล้วนำมาใช้แบ่งออกตามธงโภชนาการอีกต่อ ลองดูหน่อยนะค่ะ ธงแบ่งไว้อย่างไร ธงแบ่งพืชเป็น 3 หมวด คือ ข้าว ผัก ผลไม้ การแบ่งนี้ซ่อนไว้ซึ่งนัยเรื่องการเป็นแหล่งเชื้อเพลิงมากน้อยที่นำไปใช้ในการสันดาปด้วยค่ะ
ในส่วนของขั้นบนสุด นอกจากข้าวแล้วนั้น มีพืชกินราก และพืชที่กินเมล็ดได้ รวมอยู่กับมันด้วย แล้วก็ยังมีแป้งซึ่งแท้จริงคือ ข้าว รากพืชรากหรือเมล็ดที่ถูกนำไปแปลงร่างอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ธงจัดกลุ่มเช่นนี้เพื่อให้เกิดความสะดวกในการจดจำเรื่องราว ว่าแหล่งเชื้อเพลิงหลักนั้นอยู่ในอาหารกลุ่มใดบ้างค่ะ การจัดกลุ่มเช่นนี้มีประโยชน์ในเรื่องการนำปใช้ร่วมในการรักษาคนไข้เบาหวาน โรคอ้วน เพื่อลดน้ำตาลและน้ำหนักได้ด้วยนะค่ะจะบอกให้ เอาไปใช้ยังไงใจเย็นๆก่อนท่าน เดี๋ยวละครถึงองค์ท่านก็จะได้รู้
สำหรับในองค์นี้ ขอคุยเรื่องการสันดาปในร่างกายก่อนค่ะ เวลามีไอร้อนเราจะมองหาเตาไฟใช่ไหมละค่ะท่าน เราบอกว่าเรากินอาหารไปเพื่อส่งเชื้อเพลิงให้กระบวนการสันดาปใช่ไหม ท่านเคยสงสัยมั๊ยค่ะว่าร่างกายมันเอาเชื้อเพลิงไปสันดาปอย่างไร ตอนนี้ฉันจึงจะมาเล่าเรื่องกระบวนการ logistics ของเชื้อเพลิงอาหารภายในร่างกายกันหน่อยเพื่อให้เข้าใจว่าเชื้อเพลิงมันมาจากส่วนไหนของอาหารที่กินเข้าไป ใช้มันทั้งดุ้นหรือว่าแปรรูปเป็นถ่านค่ะ
เมื่อคนพูดกันถึงระบบ logistics กันนั้น มันหมายถึงอะไร บางคนอาจจะยังไม่รู้ จึงขอยกเอาคำอธิบายตามความหมายที่คุณวันชัย ศารทูลทัต ไปบรรยายไว้ที่ วปอ. เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2548 มาให้อ่านค่ะ
โลจิสติกส์ มีความหมายในทางทหาร คือ การส่งกำลังบำรุง หรือ การลำเลียงยุทธปัจจัย
โลจิสติกส์ ในภาคการขนส่งในเชิงธุรกิจ หมายถึง การเคลื่อนย้าย จัดเก็บ กระจายสินค้าจากแหล่งผลิตไปจนถึงผู้รับมอบปลายทาง
กระบวนการของโลจิสติกส์ คือ การบูรณาการให้สินค้าเคลื่อนย้ายจากต้นทาง ( Source of Origin) ไปยังผู้บริโภคปลายทาง (consumer origin) ได้อย่างทันเวลา ( Just in time) และมีประสิทธิภาพ
กระบวนการเคลื่อนย้ายสินค้า จะรวมตั้งแต่ การขนส่งสินค้า (Cargoes carriage) การเก็บรักษา (Warehousing) การกระจายสินค้า (Cargoes Distribution) รวมทั้งกระบวนการข้อมูลข่าวสาร (MIS)และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และยังมีกิจกรรมอื่นๆอีกมากที่เกี่ยวข้อง อาทิ การบรรจุ (packaging) การ Clearing พิธีการศุลกากร การบริหารท่าเรือ การจัดการสถานที่ บรรจุสินค้า การจัดการขนส่ง เป็นต้น
การที่ฉันเอาเรื่องของกระบวนการโลจิสติกส์มาเอ่ย ก็เพราะว่าในร่างกายคนเรามีการขนส่งเชื้อเพลิงที่ซับซ้อนค่ะ จะให้เข้าใจง่ายๆก็ต้องหาอะไรที่พอจะนึกภาพออกจากชีวิตประจำวันมาใช้เปรียบเทียบค่ะ บันทึกนี้ก็เลยดูเหมือนจะออกแนวไปนอกเรื่องของอาหาร ไม่นอกเรื่องค่ะท่าน ขอเปรียบเทียบให้เข้าใจละกัน ดูจากความหมายของกระบวนการโลจิสติกส์ จะมีสินค้าเคลื่อนย้ายจากต้นทางไปปลายทาง สินค้าที่เคลื่อนย้ายต้นทางนี้ก็คือ อาหารที่กินเข้าไปก่อนการเคี้ยว กลืนและย่อยค่ะ
ในระหว่างการขนส่งยังมีการจัดการสินค้าใหม่เพื่อกระจายออกไปให้กับผู้รับปลายทาง คือ เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ ก่อนจะมีการจัดการสินค้าใหม่จะมีพิธีศุลกากรผ่าน 2 ด่านด้วยค่ะ ด่านแรกตรวจสอบรายละเอียดเพื่อส่งให้ด่านที่ 2 แปรรูปให้แล้วมีการบรรจุใหม่เพื่อคัดแยกและส่งต่อไปสู่ผู้รับปลายทางคือ เซลล์ อาหารหมวดข้าว แป้งที่ผ่านด่านที่ 1 ไปสู่ด่านที่ 2 จะได้รับการแปรรูปเป็นถ่านที่ที่เก็บไว้ในร่างกายได้ ในวงการแพทย์เราเราเรียกมันว่า “กลูโคส” ค่ะ ใช่แล้วค่ะ เจ้าถ่านที่ว่านี้ เป็นน้ำตาลในร่างกายนะเอง น้ำตาลนี้แหละค่ะ ที่พวกฉันทั้งหมอและพยาบาลใช้เป็นสัญญาณดักจับการเป็นโรคเบาหวานค่ะ ใช่ค่ะ ใช่ ฉันกำลังบอกท่านว่า คนเป็นโรคเบาหวานที่หมอพยาบาลบอกว่า น้ำตาลในเลือดคุมได้หรือไม่ได้นั้น คือ การคุมปริมาณถ่านในเลือดของเขาคนนั้นค่ะ
เล่ามาถึงตอนนี้ เห็นมั๊ยค่ะว่า ทำไมฉันต้องใช้โลจิสติกส์มาเปรียบเทียบ เอาละค่ะผ่านด่านที่ 2 มาแล้ว เชื้อเพลิงถูกแปรรูปให้ขนส่งง่ายให้อยู่ในรูปของถ่านแล้วนะค่ะ ยังต้องขนส่งถ่านไปเผาค่ะ จึงจะได้พลังงานความร้อนออกมา ถ่านนี้จะถูกเคลื่อนย้ายจากด่านที่ 2 ไปที่หน้าห้องคือเปลือกเซลล์ค่ะ แล้วผู้นำส่งก็จะเคาะประตูห้องขอขนถ่านไปส่งให้ถึงหน้าเตาซึ่งอยู่ในเซลล์ค่ะ ตอนที่เคาะประตูห้องขอขนถ่านเข้าบ้านนะค่ะ ยังมีด่านต้องผ่านอีกค่ะ การจะผ่านด่านนี้ได้ต้องบอกรหัสผ่านกับยามเฝ้าประตูห้องให้ถูกค่ะ ถ้าหากบอกรหัสผ่านผิดละก็ผู้ขนส่งก็ต้องแบกถ่านนี้วนเวียนไปในเลือดเรื่อยเปื่อยก่อนค่ะ ถ้าบอกรหัสถูกยามเฝ้าประตูก็จะเปิดประตูให้ขนถ่านเข้าไปวางในห้องได้ค่ะ คนขนถ่านนี้ทำหน้าที่ดีมากเลยค่ะ รับจ๊อบ 2 หน้าที่เลย คือ ขนส่งจากด่านที่ 2 มาให้ด่านที่ 3 แล้วก็ส่งถ่านเข้าเตาเผาให้ด้วยเลย แล้วถ้ามีถ่านเหลือใช้ ยังทำหน้าที่เอาถ่านไปฝากเก็บไว้เป็นถ่านสำรองเป็นการกระจายสินค้าไปเก็บเพื่อให้มีพื้นที่จัดการสินค้าได้สะดวกตลอดเวลาด้วยค่ะ
เล่าเรื่องมาตั้งยาว เพียงเพื่อจะบอกว่า สินค้าต้นทางคือ อาหารที่จะใช้เป็นแหล่งพลังงานนั้น กินเข้าไปแล้วยังต้องถูกแปรรูปก่อนจึงจะนำไปใช้ในกระบวนการสันดาปได้ และสินค้าแปรรูปที่ได้ก็คือ ถ่านในร่างกาย คือ น้ำตาลกลูโคสนี่เอง
« « Prev : ทำ…มา…หา..กิน..เพื่ออะไรกัน
Next : ชวนมาทำความรู้จักแหล่งอาหารกันต่อ » »
3 ความคิดเห็น
พวกน้ำตาลกลูโคสนี่ กินปุ๊บ หายเพลรยปั๊บเลยนะคะ ไวมากๆ
หายเพลียค่ะ ขอโทษ แต่ก่อน ร่างกายไม่ค่อยมีแรง ตอนงานมากๆ ต้องทานหวานนิดๆ ทั้งที่ไม่ชอบเลยค่ะ
#1 #2 ยังมีเรื่องผลของน้ำตาลที่กินเข้าไปแล้วจะเป็นยังไงมาเล่าให้ฟังค่ะ