มาตรการลดไข้หวัดใหญ่

โดย สาวตา เมื่อ 8 พฤษภาคม 2009 เวลา 9:35 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิต สุขภาพ, ดูแลสุขภาพ, สิ่งแวดล้อม #
อ่าน: 2122

เล่าเรื่องของไข้หวัดใหญ่เอาไว้บ้างแล้ว ก็ขอบันทึกเอาไว้ต่อว่า ไอ้เจ้าโรคที่กำลังเดินทางอยู่ในประเทศอื่น แล้วประเทศไทยกำลังเตรียมพร้อมรับมือนั้นมันมีอะไรที่รู้จักแล้วบ้าง

ชื่อเสียงที่ใช้เรียกหา มีหลายชื่อนะขอบอก ผู้สื่อข่าวเขาเรียกกันว่า “ไข้หวัดใหญ่2009″ กันนะ ในตอนแรกที่สื่อกันนั้น ก็เรียกกันว่า ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก ซึ่งก็ทำให้ประเทศเม็กซิโก เขาประท้วงประเทศไทยที่ไปกล่าวหาเขา ซึ่งคุณหมอที่เป็นผู้แทนของเราก็ได้ชี้แจงจนเกิดความเข้าใจว่าที่ใช้ชื่อเรียกอย่างนั้นไปนะ มิได้จะให้เป็นตราประทับให้เสียหายอย่างใด เมื่อเข้าใจแล้วก็มีการทำข้อตกลงว่าจะเรียกชื่ออย่างไรไม่ให้เกิดตราประทับที่ทำให้ใครเกิดความเสียหาย สุดท้ายลงเอยที่ชื่อเรียกว่า “ไข้หวัดใหญ่ เอ เอช1เอ็น1″

ชื่อนี้สื่อความหมายว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ที่เพิ่งเอะใจว่ามีการระบาดจากเชื้อสายพันธุ์ใหม่ แล้วการศึกษาทางพันธุกรรมเฉลยว่า เจ้าเชื้อมันเป็นสายพันธุ์ใหม่จริงๆ มันมีผสมของสารพันธุกรรมข้ามหมู่เหล่าเดิม ปนเปอยู่ด้วยสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่คนมักเป็นอยู่ประจำ แล้วยังมีสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ของนกและหมูมาอยู่ด้วย มันมาปนเปกันได้อย่างไรไม่มีใครรู้ ตอนนี้รู้แต่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์อะไรเลยแม้แต่หมูนะ ไม่เหมือนอีตอนที่ไข้หวัดนกมันเกิด มันสามารถระบุแบบฟันธงได้เลยว่าสัตว์ปีกนะแหละที่เป็นแหล่งแพร่โรคของเชื้อไข้หวัดนกหละ

ในส่วนของการแพร่ของเชื้อพันธุใหม่นี้ทำให้เกิดพื้นที่เกิดโรค 3 แบบ

แบบแรกก็คือ นำเข้าเชื้อมาจากพื้นที่อื่น โดยคนที่เดินทางไปในพื้นที่ที่เกิดโรคก่อนแล้ว แล้วนำติดตัวเข้ามานะเอง ประเทศนั้นๆก็เลยได้โรคจากคนเดินทางเข้าไปในประเทศ

แบบที่สอง ก็คือ เชื้อนะมันอยู่ในคนที่นำเข้ามาให้แล้วนะ แล้วแพร่ไปสู่ผู้คนเมืองอื่น ด้วยการที่นำพาตัวเองเดินทางไป ก็เลยทำให้เกิดการแพร่ไปในหลายพื้นที่เป็นหย่อมๆไง

แบบที่สาม ก็คือ เชื้อแพร่ทั้ง 2 แบบ ทำให้เกิดคนเป็นโรคอย่างกว้างขวางและแพร่ไม่หยุด ประเทศอย่างนี้เลยมีงานมากหน่อย

สำหรับประเทศไทยที่ตื่นตัวขึ้นนั้น เป็นด้วยเหตุผลทำนายกันว่า จะมีการแพร่แบบแรกเกิดขึ้นก่อน ก็เลยใช้วิชา “ชิงลงมือก่อนได้กำไรกว่า” ทำงานป้องกันไม่ให้โรคนำเข้ามาสู่ประเทศไทย และก็ทำงานได้ผลทำให้รู้ว่า มีผู้เข้าข่ายสงสัยเข้ามาในประเทศไทยแล้ว รายงานตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.2552 บ่งว่า มีผู้คนที่เดินทางแล้วสงสัยถูกกักตัวไว้ตรวจหาว่านำเชื้อเข้าประเทศไทยมารึไม่จำนวน 38 คน เป็นผู้ที่ได้รับการตรวจยืนยันทั้งหมดแล้วว่าเข้าข่ายควรเฝ้าดูว่าจะแพร่โรคได้ 13 คน และเมื่อดูแลไปแล้ว ทำการตรวจยืนยันไปแล้วก็สรุปให้ใจชื้นได้ว่า ยังไม่มีใครในกลุ่มทั้งหมดนี้นำเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้เข้ามา

แต่การพบเรื่องนี้ ไม่สามารถยืนยันว่าเชื้อนี้ยังไม่เข้าประเทศไทย เพราะว่าเชื้อมันแพร่ในประเทศเม็กซิโกตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว และประเทศไทยก็มีคนเข้ามาด้วยฐานะนักท่องเที่ยวมากมายที่ไม่มีใครรู้ว่า ผู้คนเหล่านั้นผ่านแดนดังกล่าวมารึไม่อย่างไร

สำหรับผู้คนที่สามารถนำเข้าเชื้อโรคนี้มาให้กับประเทศไทย นั้นก็คือ กลุ่มที่เดินทางไปในประเทศต่างๆที่มีรายงานแล้วว่าเกิดโรคขึ้นแล้ว และทุกๆวันก็มีประเทศใหม่ๆที่มาเข้าแถวขึ้นบัญชีเป็นประเทศเกิดโรคนะ อย่างเมื่อวานนี้นั่งประชุมกันอยู่ ต้นชั่วโมงแจ้งว่ามี 23 ประเทศแล้วนะ ปลายชั่วโมงก็มีข่าวแจ้งชื่อประเทศใหม่ขึ้นบัญชีอีกหนึ่งแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

ฟังเรื่องเล่าสถานการณ์แล้วหนาวอยู่นะ สมัยหนึ่งที่ได้พบและเจอะเจอปัญหาสึนามิคลื่นยักษ์ มีอะไรหลายอย่างที่ได้เรียนรู้กับความตื่นตระหนกและคลื่นมหาชนที่รุกเข้าสู่พื้นที่สถานบริการ แล้วคราวนี้นะ ติดจากคนสู่คน ถ้าคนตื่นตระหนกอย่างนั้น ยิ่งกว่าแก้ปัญหาม็อบซะอีก

แล้วหากคราวนี้มีคนทำงานสาธารณสุขป่วยเป็นโรคปอดบวมแค่รายเดียวละก็ เขาให้ถือว่าเป็นเรื่องราวรายงานสถานการณ์ระบาดซะด้วยนะ

อันเรื่องราวข้างต้นที่เล่าเอาไว้ เพียงแค่อยากบันทึกไว้ว่า เป็นเรื่องสำคัญ การที่ยอมปล่อยให้เกิดโรคขึ้นกับใครในประเทศไทยนั้น ถือว่าทำร้ายประเทศไทยชัดๆเลยนะ จึงเอามาบอกเล่า ว่ารักประเทศชาติละก็ โปรดจงช่วยกันดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อด้วยเถอะนะ

มาตรการแน่นอนที่สามารถลดเสี่ยงได้ ได้เล่าไปแล้วในเรื่องราวบันทึกก่อน บันทึกนี้ขอมาเล่าในเรื่องที่อยู่ของเชื้อภายในตัวคนให้ได้รู้กันไว้ เพื่อทำความเข้าใจเหตุใดแนะนำให้ปฏิบัติตัวอย่างที่เล่าไป

อย่างที่เล่าแล้วว่าเชื้อโรคนั้นติดต่อผ่านจากคนสู่คนโดยอากาศหายใจ สาเหตุที่ติดได้ก็เพราะคนที่ป่วยนั้นมีเชื้อโรคอยู่ในเสมหะ หรือ น้ำมูก เวลาไอ จาม เจ้าสิ่งเหล่านี้ มันกระเด็นปนเปื้อนลอยอยู่ในอากาศจากแรงที่พ่นมันออกมาจากตัวไง คนที่ไม่ป่วยหายใจอากาศที่อยู่ห่างจากตัวในรัศมี 1 เมตรเข้าไปก็ติดได้ ถ้าหากว่าคนป่วยอยู่ในบริเวณนั้นด้วย แหละนี่คือช่องทางที่รับเชื้อโดยตรงนะ

วิธีป้องกันก็คือให้คนป่วยที่มีอาการของน้ำมูก ไอ จาม ปิดปากปิดจมูกเวลาไอจาม รวมทั้งให้ใช้หน้ากากอนามัยปิดปากปิดจมูก เพื่อให้คนอื่นเขาได้รู้ว่าตัวเองมีปัญหาทางเดินหายใจอยู่นะ แล้วการทำอย่างนี้ยังช่วยลดแรงที่พาเสมหะและน้ำมูกพุ่งไปไกลได้ด้วย

ก็ด้วยน้ำมูก เสมหะ มันเป็นแหล่งเชื้อโรคอยู่ ดังนั้นจึงยังมีทางอ้อมที่ติดได้ เคยเห็นกันไหม นิสัย “เช็ดแล้วป้าย” อย่างนี้แหละที่แพร่โรคได้นะ เพราะว่าป้ายตรงไหน ใครไปจับตรงนั้น ติดมือมาแล้วเจ้าเชื้อโรคนั้นนะ เมื่อเอามือมาจับจมูกบ้าง โบกพัดแก้ร้อนบ้าง ประกันได้ไหมว่าไม่สูดหายใจ ไม่กระเด็นเข้าตา ไม่กระเด็นเข้าปากไป ด้วยสาเหตุนี้ ผู้คนจึงสามารถติดเชื้อผ่านทางการหยิบจับอะไรก็แล้วแต่ที่ใช้ร่วมกันแบบสาธารณะ แม้แต่ของส่วนตัวก็ใช่ว่าจะไม่เปื้อนจากการเช็ดแล้วป้ายด้วยนะ

วิธีป้องกันก็เลยแนะนำว่า ล้างมือนะล้างมือ หลังหยิบจับอะไรก็ตามที่มีโอกาสใช้ร่วมกับคนอื่น แก้วน้ำ ลูกบิดประตูตรงไหน ราวจับเดินทั้งหลาย ราวรถเมล์ รถไฟฟ้า โทรศัพท์ ผ้าเช็ดมือ ต่างๆเป็นต้น ล้างมือไว้เหอะ ป้องกันได้หลายโรค อย่าลืมกันนะ ล้างมือ ล้างมือ

รู้วิธีป้องกันแล้วก็ควรเข้าใจอาการป่วยอย่างไรให้สงสัยไว้ว่าจะได้รับเชื้อมา ดูเรื่องอาการง่ายๆก็คือ ไข้ ไอ จาม น้ำมูก ปวดเมื่อยร่างกาย ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เจ็บคอ คลื่นไส้ ท้องเสีย อาเจียน อย่างนี้ บวกกับประวัติไปคลุกคลีกับคนที่เดินทางมาจากประเทศเกิดโรค อย่างนี้ให้สงสัยเอาไว้ก่อนว่า ติดเชื้อมาแล้วหละ รีบไปหาหมอนะ หมอที่พูดถึงเป็นสถานีอนามัยที่อยู่ใกล้ๆก็ได้นะค่ะ หรือว่าเกิดโรคหลังคลุกคนเป็นหวัดเพียงไม่เกิน 3 วันก็มีไข้แล้ว อย่างนี้ก็ควรไปให้หมอดูแลและวินิจฉััยเพื่อค้นหาสาเหตุให้นะ

พึงอย่าคิดว่าอาการหวัดแค่นี้ ไม่เป็นไรหรอกนะ นอนพักก็หาย กินน้ำก็หาย ดูแลตัวเองก็ได้ด้วยซื้อยากินเอง ก็อย่างที่บอกว่าเกิดโรคแล้วจะเป็นต้นเหตุให้เกิดการระบาดแล้วทำร้ายประเทศไทยนะ ถ้าทำลงไปแล้วมาเสียใจทีหลังมันไม่ดีหรอกนะ เหตุด้วยเพราะว่าอดีตนะแก้ไขไม่ได้ ปัจจุบันนี้ซิที่ทำไปเหอะ หากว่าทำแล้วเป็นเรื่องดีที่สุดที่ทำได้

ยังมีอีกเรื่องที่ขอเล่าไว้ว่าทำไมเขาจึงให้กักตัวไว้ 7 วัน เหตุผลก็คือ เพื่อป้องกันไม่ให้คนรับเชื้อคนนั้น แพร่เชื้อไปให้คนอื่น จึงต้องขอร้องขอกักตัวเอาไว้ ทีนี้ก็ยังมีประเด็นเรื่องของที่กัก หากว่าคนติดเชื้อเยอะทีนี้ละยุ่งๆๆๆๆแน่ มาตรการที่ใช้ก็จะแปรเปลี่ยนไป เปลี่ยนเป็นขอร้องให้อยู่กับที่ได้ไหม อยู่แต่ในบ้าน ไม่ไปไหนๆ ที่ซวยไปด้วยก็คือผู้อยู่ร่วมบ้าน ไปไหนไม่ได้ขอให้อยู่บ้านนะ ทำงานที่บ้าน กินอยู่แต่ในบ้าน จนกว่าจะมีคนมาบอกว่าปลอดภัยต่อคนอื่น

สำหรับโรงเรียน หากว่ามีเด็กป่วย เตรียมตัวไว้เลยว่ามีการขอร้องให้โรงเรียนปิด เพื่อลดการแพร่โรคในระหว่างนักเรียนนะ ครูทั้งหลายก็ไม่ให้ออกจากบ้านมาด้วย เพราะถือได้ว่าคลุกคลีกับเด็กที่ป่วยซะแล้ว

ในเรื่องการรักษา เนื่องจากเป็นไวรัส ยาฆ่าเชื้อตรงๆ จึงหายากมากเชียว ยาที่มีอยู่ซึ่งใช้กับไข้หวัดนกนั้น จึงมีมาตรการควบคุมไว้ใช้ในรายที่จำเป็นภายใต้ความเห็นคุณหมอ ด้วยเหตุผลว่า ต้องระวังการดื้อยาและผลด้านลบที่ยาทำให้เกิด เพราะว่ามันเคยเกิดถึงขั้นทำให้คนตายจากฤทธิ์ของมันเนื่องจากนำไปใช้โดยไม่ได้จำเป็นสักนิดเลย ป่วยแค่นิดหน่อยก็ใช้ไปแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มันบอกให้รู้ว่ายานั้นไซร้เป็นสารเคมีช่วยคนแต่ก็ฆ่าคนได้เช่นกันนะคุณหมอ จึงเป็นอุทาหรณ์สอนใจมากๆในเรื่องความตระหนักและชั่งการตัดสินใจใช้ยาเท่าที่จำเป็น และคนที่บอกได้ว่าจำเป็นรึไม่ ควรเป็นผู้เชียวชาญในเรื่องการป่วยมิใช่หรือ

เล่ามาเพื่อให้เห็นว่า เรื่องราวครั้งนี้ เป็นเรื่องของผู้คนที่พึงร่วมกันรับผิดชอบประเทศไทยด้วยกัน ด้วยการเตรียมความพร้อมและตัดสินใจเรื่องราวทั้งหลายด้วยมาตรการทีเหมาะสมในความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติค่ะ

อ่านเรื่องกันแล้ว หากคิดแบบตื่นตระหนก ก็จะพลั้งเผลอบอกข่าวเล่าออกไป ยิ่งเล่าจะยิ่งลือ เพราะคำพูดที่เพี้ยน จึงขอความร่วมมือในการไตร่ตรองและมีสติก่อนพูด ขอย้ำนะค่ะว่าประเทศชาติจะไปได้สวยในเรื่องนี้รึไม่ เป็นเรื่องร่วมมือร่วมใจทำในสิ่งที่ไม่เกิดผลลบต่อประเทศชาติและสังคมนะค่ะ

นำเรื่องนี้มาบอกเล่าเพื่อเตรียมพร้อมร่วมกัน รับมือศึกใหญ่ในเรื่องโรคระบาดให้กับประเทศชาติที่รักของเรา ภายใต้ความสามารถที่ทุกท่านล้วนมีอยู่ อีกทั้งเพื่อให้มีเวลาใคร่ครวญ ไตร่ตรองตั้งสติ แล้วตััดสินใจลงมือทำอะไรที่เหมาะควรตามหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับผู้คนทั้งหลายที่อยู่ในวิถีได้เหมาะควร

อ้อ! แล้วข้อมูลการแพร่โรคในต่างประเทศก็บอกให้รู้ว่า เมื่อผู้ใหญ่มีเชื้อ ก็แพร่โรคไปยังเด็กๆแล้วทำให้เด็กป่วยด้วย เหตุนี้แหละจึงทำให้ควรตื่นตัวหันกลับมาดูแลกันและกันให้ดี ทั้งในครอบครัว บ้าน โรงเรียน และสังคมแคบๆต่างๆ เพราะว่าโรคนี้มันแพร่ระบาดจากคนสู่คนนะ สำคัญมากนะ ถ้าเผลอเรอว่า “ไม่เป็นไรหรอก” เมื่อไร เป็นเรื่องได้ทันทีนะ ขอบอก

8 พ.ค.2552

« « Prev : เล่าเรื่องไข้หวัดใหญ่

Next : สู้กระแสไข้หวัดใหญ่ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "มาตรการลดไข้หวัดใหญ่"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.032263994216919 sec
Sidebar: 0.066457033157349 sec