เบาหวานกับการปรับตัวเรื่องอาหารการกิน

โดย สาวตา เมื่อ 14 มกราคม 2009 เวลา 19:16 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิต สุขภาพ, อาหารกับสุขภาพ #
อ่าน: 3655

ค้างเรื่องที่อ้ายเปลี่ยนบอกว่า กลับไปหงสานะจะเตรียมเรื่องเสบียงกินยามหิวไว้รอ และบอกมาว่าเลือกเตรียมแครกเกอร์จืดที่ทำจากโฮลวีทไปกินยามหิวดีกว่า

อ่านแล้วเดาไปได้หลายมุมมองค่ะเรื่อง “เผื่อหิว” ของอ้ายเปลี่ยน เนื่องจากเดาไม่ออกว่า กิจกรรมประจำวันของอ้ายนะมีอยู่รูปแบบใดบ้าง จึงขอแลกเปลี่ยนกับอ้ายไปทีละมุมตามที่มีประสบการณ์จากคนไข้ก็แล้วกัน

มุมหนึ่ง คือ เรื่องหิวบ่อยที่อ้ายเอ่ยมาให้ฟัง ซึ่งเป็นเหตุทำให้ เดี๋ยวหยิบเดี๋ยวหยิบกล้วยน้ำว้าสุกนึ่งที่แช่ตู้เย็นมากิน ในมุมนี้ขอถอดความรู้มาบอกว่า เหตุที่หิวบ่อยเกิดจากการนำน้ำตาลไปใช้ไม่ดี มีน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้วก็ยังบอกว่าไม่มีนะ ขอให้กินเข้าไปให้อีก วิธีแก้ได้บอกมาแล้ว เรื่องการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น ซึ่งเหมือนเติมอากาศเข้าไปให้เตาเผาน้ำตาลในเซลล์นะมันเผาน้ำตาลได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ได้น้ำตาลที่มีคุณภาพดีสำหรับให้ร่างกายใช้ง่าย และ ทำให้เตาไม่พังไปซะก่อนเพราะว่าเผานานจนเตาร้อนเกินไป

วันนี้ไปกินข้าวกลางวันกับครอบครัว(ซึ่งปกติกลางวันไม่ใคร่ได้มีโอกาส สำหรับวันราชการ) แล้วเห็นคนข้างกายเขากินอาหารเร็วๆด้วยความหิว มันทำให้แวบขึ้นมาได้เออ! ยังไม่ได้บอกเทคนิคอ้ายเรื่องการปรับวิธีกินเพื่อลดปัญหาการหิวก่อนเวลากินมื้อต่อไปค่ะ

 วิธีการไม่ยากก็อีแค่ฝืนนิสัยออกจากไข่แดงจากนิสัยเดิมๆ นั่นคือ “ให้เคี้ยวช้าไว้ ช้าไว้ ยิ่งช้าเท่าไรยิ่งดี เคี้ยวจนอาหารแต่ละคำที่อยู่ในปากนะโดนน้ำลายพร้อมฟันย่อยละเอียดซะจนเหมือนจะละลายอยู่ในปากในรูปน้ำ”  วิธีได้ผลค่ะ รับรองว่าถ้าทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ คือ ช้าพอ จะมีประสิทธิผล คือ กินอาหารครบ 4-5 ชั่วโมงจึงจะเริ่มหิวค่ะ 

ไม่เชื่อก็ควรเชื่อว่าวิธีนี้แก้กินแล้วหิวบ่อยได้ชะงัด และมันก็ยังให้ผลพลอยได้เรื่องระบบขับถ่ายดีอีกด้วย ที่เคยลำบากเรื่องถ่ายนะจะถ่ายคล่องปรื๋อทุกวันๆ โดยไม่ต้องเบ่งด้วยขอบอก แล้วคนที่อ้วนนะ ยังใช้เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักได้ด้วยหนา

วิธีการอีกเรื่องที่อยากชวนอ้ายให้ฝืนใจลองทำดู นั่นคือ เวลาหิว ให้เตือนตัวเองไว้ว่า ฝืนใจอีกนิดเพื่อรอผลให้กลไกธรรมชาติทำงาน คือ กลไกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนะมันมีสวิทช์เตือนเรื่องการขาดน้ำตาลและป้องกันตัวโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว นั่นคือ มันมีเสบียงเก็บไว้ในร่างกายและตับอยู่บางส่วน หากว่าเมื่อไรที่ร่างกายขาดน้ำตาลและเตือนด้วยอาการหิวแล้วเจ้าของยังดื้อไม่กินเติมเข้าไป ธรรมชาติก็จะใช้กลไกของระบบประสาทอัตโนมัติส่งสัญญาณบอกให้ไปขนน้ำตาลจากกล้ามเนื้อและตับมาอุ่นและเติมน้ำตาลให้มีใช้  ความหิวที่เตือนๆอยู่ก็จะรู้สึกลดลงไปหรือไม่ก็กลายเป็นไม่รู้สึกหิวเลย

พี่เดาว่ากลไกนี้ของอ้ายน่าจะไม่ใคร่ถูกใช้ และเดาว่าเมื่อไรที่มีอาการหิว อ้ายจะไม่รอช้ารีบกินอะไรเข้าไป ด้วยถูกใส่โปรแกรมในสมองเอาไว้ว่า คนเป็นเบาหวาน ระวังอย่าให้น้ำตาลในเลือดต่ำ เพราะจะเป็นอันตรายได้ถึงชีวิต แล้วถ้าคิดว่า จะเป็นลมเมื่อไรก็ให้อมน้ำตาลช่วยชีวิตให้เร็ว  ซึ่งการเขียนโปรแกรมนี้ใส่ไว้ในสมองอ้าย มันขาดส่วนสำคัญคือ วิธีประเมินอาการน้ำตาลในเลือดต่ำให้ได้ถูกต้อง 

เมื่อไรประเมินแล้วใช่เลยอมน้ำตาลเพื่อป้องกันอันตรายเรื่องของชีวิต เมื่อนั้นก็จะไม่พบปัญหาน้ำตาลในเลือดคุมยากค่ะ  แต่ว่าคนไข้เบาหวานส่วนใหญ่มักจะกลัว และด้วยขาดการเขียนโปรแกรมส่วนสำคัญใส่ไว้ให้ หรือ ใส่ไว้แล้วแต่มีไวรัสความกลัวไปบล็อกไว้ คนไข้จึงมักจะมีปัญหาเรื่องน้ำตาลสูงในเลือดโดยหาสาเหตุไม่ใคร่ได้ เพราะกลัวเป็นลมทีไรหาของใส่ปากทุกทีไป จนเมื่อไล่เรียงละเอียดโดยการจับเข่าคุยให้ลำดับเรื่องราว จึงค้นพบสาเหตุที่เล่ามานี้พบ 

พี่ไม่รู้ว่าอ้ายจะเหมือนคนไข้ที่เล่ามานี้หรือเปล่า ถ้าเหมือนก็ให้ปรับใส่โปรแกรมซะใหม่ใส่โปรแกรมแอนตี้ไวรัสความกลัวเข้าไปซะหน่อยก่อนจะลองฝืนตามที่แนะนำ  โปรแกรมแอนตี้ไวรัสความกลัวนี้คือ เตรียมอะไรที่มีน้ำตาลมาไว้ใกล้มือเมื่อหิวแล้วจะลองฝืนดู พร้อมกับตามดูอาการของตนเอง หากว่าจะมีเรื่องน้ำตาลเกิดขึ้น เบื้องแรกเลยคือ ชีพจรเร็วขึ้นๆกว่าธรรมดาและมีอาการคล้ายตาลายเกิดขึ้น เมื่อชีพจรแรงและเร็วขึ้นๆอีก จะมีอาการใจสั่นให้รู้สึก 

การเป็นลมหมดสติเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำน่ะ มันไม่ได้เกิดปุบปับหรอกค่ะ มันจะมีอาการเตือนให้รู้จนผ่านไปสักครู่หนึ่งแล้ว หากเจ้าตัวยังไม่เข้าใจว่ากำลังเตือน ยังคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาอยู่ นี้แหละที่จะเกิดเรื่อง จึงเตือนสติอีกครั้งว่า อย่าเอาอะไรใส่ปากด้วยความกลัวหมดสติ เพราะว่านั่นยิ่งทำให้สติแตก เพราะค่าน้ำตาลในเลือดสูงปรี๊ดๆคุมไม่ได้เลย

พูดถึงอาการหมดสติที่เกิดปุบปับเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำ คนมักจะคิดว่าเป็นเรื่องไม่มีอาการก่อน ความจริงแล้วไม่ใช่ค่ะ เจ้าตัวนะรู้และมีเวลาฝืนตัวเพื่อแก้ไขทัน หากว่าสติอยู่กับตัวค่ะ เรื่องที่ชวนลองให้ฝืนเรื่องหิว ก็เป็นเรื่องรู้ตัวอยู่ว่าจะเจออะไร เตรียมพร้อมการแก้ไขไว้ใกล้มือแล้ว เตรียมพร้อมขนาดนี้บวกกับความกลัวด้วย จะไม่มีความไวปานกามนิตหนุ่มช่วยตัวเองให้ทันได้หากเป็นเรื่องน้ำตาลในเลือดต่ำจริงๆละก็ เสียฟอร์มจริงๆ 

เผื่อเกิดทีเผลอพลาด เพื่อกันพลาดเตรียมพร้อมคนรอบข้างไว้ด้วยก็ดี เขาจะได้ช่วยเอาน้ำตาลใส่ปากให้ได้ เมื่อใส่ด้วยตัวเองไม่ได้เพราะว่าหมดสติไปแล้ว ขอให้มั่นคงตรงเรื่องที่ไม่หยิบอาหารที่ให้น้ำตาลใส่ปากหากไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินและมิใช่มื้ออาหารตามเวลาประจำค่ะ มั่นคงได้ตรงนี้ก็ชนะศึกเรื่องน้ำตาลควบคุมไม่ได้ไปเปลาะหนึ่งแล้วค่ะ

ทีนี้มาที่ความรู้สึกหิวอีกที อ้ายเคยได้ยินผ่านหู “โบราณว่าหิวจนเอวกิ่ว แต่หามีอะไรกินไม่ เลยเอาน้ำลูบท้องไปก่อน” บ้างมั๊ย เทคนิคให้เอามาใช้นะค่ะ ถ้าหิวแล้วทนความรู้สึกไม่ได้ ให้ดื่มน้ำอุ่นๆ(ถ้ามี)หรือน้ำเปล่าอุณหภูมิห้องเข้าไปลูบท้องก่อนจะผ่อนเรื่องความรู้สึกหิวให้สบายขึ้นได้ค่ะ

หากว่าหิวจัดจนฝืนไม่ไหว เวลาเริ่มกินนะให้ ใช้วิธีเคี้ยวให้ช้าไว้ ช้าไว้ เช่นกัน เมื่อร่างกายรับรู้น้ำตาลที่ย่อยได้จากอาหารคำแรกที่กลืนเข้าไป กินต่อไปไม่กี่คำ ก็จะหายหิวได้

 นี่คือมุมแรกที่เสนอมาเพื่อลองใช้ดูค่ะ ในเรื่องการจัดการความหิวจนต้องตุนเสบียงของอ้าย

มุมที่สอง คือ การหิวระหว่างมื้อของวัน  แล้วออกไปทำงานออกแรงกลางแจ้ง  อันนี้ถ้าจะหาเสบียงติดตัวไปแก้หิว เสนอให้ใช้กล้วยน้ำว้า หรือผลไม้ป่าที่มีรสฝาดที่หาได้ค่ะ เพราะว่าแครกเกอร์นะดูมันน้อยนิดก็เหอะนะค่ะ แต่มันเล็กพริกขี้หนูน่ะ แค่สองชิ้นนะค่ะ น้ำตาลขึ้นพรวดเท่าๆกินข้าวเพิ่มอีกมื้อเลยนะค่ะ ถ้าไม่ใช้กล้วยน้ำว้าใช้กาแฟชงเองใส่น้ำตาลอีควลจะดีกว่าหรือถ้าหากเป็นเรื่องทำงานที่ใกล้หาที่สั่งกินได้ ข้าวต้มปลาย่างดีกว่ากล้วยน้ำว้าค่ะ

มุมที่สามคือ การหิวหลังมื้อเย็นหรือช่วงกลางคืน ให้กินกาแฟใส่อีควล หรือข้าวต้มดีกว่าแครกเกอร์ค่ะ  หรือจะใช้เมี่ยงคำ หรือ ส้มตำ ที่ปรับสูตรแล้วก็ได้ค่ะ  (ส้มตำปรับสูตรที่เสนอให้ปรับและกินคือ  กินส้มตำปูแทนตำไทย ถ้ากินตำไทยให้ใส่ถั่วลิสงให้น้อยไว้ หรือไม่ใส่เลย)  ตำมังสะวิรัติไม่ใส่ถั่วนี่แหละใช้ได้เลยค่ะ ใช้ได้ทุกมื้อด้วยนะขอบอก

มุมที่สี่ คือ การหิวกับการออกกำลังกาย อันนี้มีเรื่อง “ต้อง” ประเมินตัวเองก่อนลงมือหน่อยนะค่ะ เพื่อความปลอดภัยระหว่างการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกายประเภทหนักๆอย่างแอโรบิกที่อ้ายบอกว่ากลับไปหงสาแล้วจะไปเริ่มทำอ่ะค่ะ  เรื่องที่ให้ระวังตัวคือ การมีน้ำตาลในเลือดสูงที่ห้ามไปออกกำลังกาย และ การกินอาหารหรือยากับเวลาออกกำลังกาย

การไปออกกำลังกายเมื่อน้ำตาลในเลือดสูงมากๆจะมีผลทำให้เกิดการเผาผลาญน้ำตาลที่เกิดภาวะกรดในเลือด ซึ่งเมื่อกรดตัวนี้เพิ่มจำนวนมากขึ้นทันที จะทำให้หายใจหอบเหนื่อยหรือหมดสติทันทีได้  ในขณะที่หากว่ากินยาก่อนอาหารแล้วไปออกกำลังกายในระยะห่างพอดีกับยาเริ่มออกฤทธิ์จะทำให้เกิดน้ำตาลต่ำในเลือดและหมดสติได้เช่นกัน

ข้อที่ต้องทำก่อนไปออกกำลังกาย คือ  เจาะเลือดปลายนิ้วให้รู้ค่าน้ำตาลก่อนไปออกกำลังกายเพื่อให้รู้ว่ามันสูงมากแค่ไหน เป็นระดับที่ห้ามออกกำลังกายรึไม่  เรื่องนี้ห้ามใช้แถบตรวจปัสสาวะแทนเจาะปลายนิ้วเพราะสีที่เทียบได้ไม่สามารถบอกระดับน้ำตาลในเลือดว่าสูงมากแค่ไหน บอกได้แค่ว่า สูงเกิน 180 ค่ะ  ต่อมาคือ เมื่อกินยาก่อนอาหารเข้าไป แล้วไปออกกำลังกายละก็ ให้พกน้ำตาลหรือลูกอมติดตัวไปด้วย ถ้าหากมีอาการของน้ำตาลในเลือดต่ำเกิดขึ้น (ซึ่งสอนวิธีประเมินตนเองไว้แล้ว)ให้อมทันทีอย่ารีรอช้า

ต่อมา คือ เมื่อสิ้นสุดการออกกำลังกายครั้งนี้แล้ว หากเกิดมีเหตุการณ์อมลูกอมเข้าไปด้วย จะกินอาหารมื้อนั้นๆละก็ ให้ตรวจ urine sugar ก่อนกิน เพื่อที่จะกำหนดได้ว่า มื้อนี้นะจะกินอาหารให้แป้งรวมเบ็ดเสร็จข้าวด้วยเข้าไปได้มากเท่าไรกัน เพราะว่าฤทธิ์ลูกอมเม็ดเดียวนะมันให้น้ำตาลได้เท่าๆกับข้าวมื้อหนึ่งค่ะจึงควรประเมินซะก่อนเริ่มกิน 

ดูเหมือนว่านิสัยชาวเฮนะชอบลอง(ดูผิดมั๊ยนี่) จึงเสนออ้ายให้ลองดูสักเรื่องเกี่ยวกับวัดผลการดูแลด้วยตัวเอง นั่นก็คือ ไหนๆก็มีการเจาะเลือดก่อนออกกำลังกายแล้ว ลองเจาะอีกทีหลังการออกดูทีรึ อ้ายนะจะได้รู้ว่ายาบวกการออกกำลังกายแตละครั้งนะให้ผลเรื่องน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนไปยังไง รึว่าหากขี้เกียจเจ็บตัวครั้งที่สองหลังออกกำลังกาย จะตรวจ urine sugar ก่อนและหลังการออกกำลังกายเทียบกันก็ได้ (ซึ่งสามารถใช้แทนการเจาะเลือดได้หากว่าผลน้ำตาลในเลือดเดิมๆมากกว่า 180 )

เรื่องของการเจาะเลือดก่อนออกกำลังกายที่แนะนำอ้ายนะ ก้เพราะว่าอ้ายบอกว่า urine sugar ของอ้ายนะบวก 4 นะค่ะ ต่อไปถ้าหากว่า urine sugar ให้ผลลบแล้ว ก่อนออกกำลังกายก็ไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดดูก่อนค่ะ เพราะว่าค่าในระดับน้ำตาลในเลือดที่พบว่า urine sugar ให้ผลลบ ไม่มีข้อห้ามเรื่องการออกกำลังกาย

ส่วนเรื่องผักนะจะรอข้อมูลนะค่ะ แล้วจะแนะมาอีกทีเพื่อจะได้ระวังเรื่องของการเลือกกินที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของไตค่ะ

ส่วนเรื่องของการออกกำลังกายของคนเป็นเบาหวานมีอะไร ขอเวลาเรียบเรียงความคิดก่อนแล้วจะนำมาเขียนบอกต่อไปค่ะ

« « Prev : แนะนำการปรับวิถีชิวิตของคนเบาหวาน

Next : เบาหวานกับการป้องกันโรคแถม » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 มกราคม 2009 เวลา 20:29 (เย็น)

    สุดยอดคุณหมอเลย..

  • #2 silt ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 มกราคม 2009 เวลา 20:49 (เย็น)

     เพิ่งค้นเจอครับพี่ ค่า BUN 14 mg/dl ยังไม่ถึงยี่สิบครับ

    แต่ว่าแม่หมอวิเคราะห์เรื่อง ความกลัวไฮโปฯได้แม่นยำราวกับหมอดูฟันธงทีเดียว
    ขาดการวิเคราะห์ต่อไปนิด ตรงที่ว่าเจ้าเสบียงทั้งหลายนะ อาทิเช่น ข้าวหลามกะทิ นมกล่อง ขนมปัง ที่พกพาไปนะ มันหนักนะครับ พอพกไปแล้วหิวไม่หิวก็กินเรียบทุกทีนะสิ

    ภารกิจแต่ละวันเดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยให้ออกสนามไปสมบุกสมบันเท่าไรครับ นั่งโต๊ะ บ่น ด่า วางแผนงาน เขียนรายงาน ประชุม เตรียมนำเสนองาน แปลไทยเป็นลาวลาวเป็นอังกฤษ เขียนคำกล่าวรายงาน คำกล่าวเปิดให้บรรดาท่านทั้งหลาย ให้คำปรึกษา หาคำตอบให้พวกมีปัญหาทั้งมวลประมาณนี้แหละครับ งานสนามเขาจ้างผู้ช่วยให้สามสีห้าคนครับ นานๆเขาถึงจะอัญเชิญให้ออกพื้นที่ทีหนึ่ง อย่างนี้น่าจะวิเคราะห์ต่อว่าไม่ดีแน่ๆ แถมตอนเย็นก็นิสัยไม่ค่อยดี ขี้เกียจเดินกลับบ้านแล้วเดินออกมากินข้าวอีกรอบ เลยมักนั่งจมอยู่ที่โตะทำงานจนถึงเกือบทุ่ม แล้วเดินออกไปกินข้าวแล้วค่อยกลับบ้าน เวลาเย็นๆที่พรรคพวกเขาออกกำลังกายกันก็เลยไม่ค่อยได้ไปกับเขา เดี๋ยวจะถือไม้กอล์ฟไปสักอันดีกว่าเผื่อจะติดกอล์ฟได้ไปเดินเก็บลูกกับท่านเจ้าเมืองบ้าง สนามที่นี่สวยครับเต็มไปด้วยฝูงวัวควาย เป็นสนามบินเก่าสมัยสงคราม แคดดี้(เด็กรับจ้างไปตามเก็บลูกในป่า)ก็คือเด็กเลี้ยงควายแถวนั้นเอง
    ตกลงว่ากล้วยน้ำว้ายังทานได้เนอะ ดีครับ ขอบคุณคร๊าบ

  • #3 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 มกราคม 2009 เวลา 21:52 (เย็น)

    อ้ายเปลี่ยนค่ะ  สำหรับเรื่องไต ถ้าค่าบียูเอ็นแค่นี้ พอโล่งใจได้อยู่ค่ะเรื่องการทำงานของไต

    เวลากินอาหารละก็อย่าให้หนักเรื่องโปรตีนไปมากนะค่ะ

    ถ้าหากว่ามากระบี่ตอนจัดเฮเจ็ด จะขอร้องให้เก็บตัวอย่างฉี่ทิ้งไว้ให้หน่อย เพื่อว่าจะได้จัดส่งให้น้องโอ๋ มอ. เขาช่วยหาแล็บตรวจค่าบางอย่างให้เป็นพิเศษสักหน่อย ค่าตรวจถึงจะแพงหน่อย (500 บาท) หากแต่ถ้ารู้ก็คุ้มกับเรื่องป้องกันเรื่องของไตวายค่ะ

    ฟังเรื่องเสบียงทั้งหายที่สารภาพมาน่ะ ขอหัวเราะก๊ากส์ ก๊ากส์ ก๊ากส์ ก๊ากส์ ก่อนนะอ้ายนะ มิน่าค่าเลือดมันถึงชู๊ทลงห่วงแม่นยังกะนักกีฬาบาสมือโปร เล่นกินหนักอย่างนี้นี่เล่าอ้ายจ๋าอ้ายแล้วมันจะชู๊ทไม่ลงห่วงได้ไง

    ข้าวหลามกะทิ นะขึ้นจากข้าวหลามอยู่แล้ว อีกทั้งน้ำตาลในกะทิ และที่เขาคลุกในข้าวหลามอีก เจ้านี่อย่างเดียวนะ น้ำตาลชู๊ทแบบทะลักทะลายทำแต้มแบบกรรมการให้คะแนนไม่ทันเลยนะนี่

    ขนมปังนะกินเข้าไปให้ค่าน้ำตาลเหมือนแครกเกอร์ที่บอกไว้ข้างนนะแหละค่ะ สรุปแล้วในหัวพี่ตอนนี้มีความจำแม่นแท้ว่า ขนมปัง แคกรเกอร์ ขนมจีนนะ เวลากินดูเหมือนจำนวน้อยๆนะ แต่หนึ่งหน่วยของมันเทียบผลน้ำตาลได้พอๆกับการกินข้าวแต่ละจานเลยแหละนะนี่ 

    เดี๋ยวนี้เวลาไปประชุมกินบุฟเฟ่ห์แล้วเห็นคนตักทั้งข้าวและขนมจีนไปกินพร้อมกันในจานนั้นแล้วสยองเรื่องน้ำหนักตัวและอนาคตเบาหวานของเขาค่ะ

    สำหรับนมนั้นเรื่องน้ำตาลสูงคงไม่ใช่ตัวสมคบคิดที่ทำให้ชู๊ทลูกแม่นเหมือนจับวางเท่าเจ้าสองเมนูแรกที่เล่ามาค่ะ

    ไม่ใคร่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเท่าไรนี่เล่า มิน่า……………ไอ้ที่ร้องมิน่าก็เพราะว่า….มองเห็นแล้วว่า…อ้ายกินเข้าไปมากกว่าใช้เยอะเลยนี่นา 

    เอาน่าเอาจะลงมือเคลื่อนไหวตัวทำอะไรก็ลงมือไปเถอะอะไรก็ได้ แม้แต่ร้อยยางยืดแล้วนำมาจับด้วยปลายมือสองข้างให้ตึงแล้วหุบแขนเข้าออกทั้งแนวหน้าและแนวข้างตัวนะยังใช้ได้เลยนะอ้าย ขอแค่ให้อย่าเงื้อลงมือเหอะจะได้ดีเรื่องผลเลือดดีวันดีคืนและไม่ขี้ง่วงอ่อนเพลีย แถมยังหุ่นหล่ออีกนะจะบอกให่…อิอิ

  • #4 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 มกราคม 2009 เวลา 21:53 (เย็น)

    อิอิ…ตัวลอยแล้วขอเกาะหน่อยค่ะพี่บางทรายเจ้าขา…..ว่าแล้วก็เผ่นหนีก่อนนะค่ะ….ไม่งั้นจะโดนพี่ชายเขกหัวเอา…55555


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.070759057998657 sec
Sidebar: 0.11783599853516 sec