อาหารที่คนเบาหวานพึงระวัง
อ่าน: 5919อ้ายบอกว่า หมอปรับยามาให้ใหม่เป็น
1. ยาที่จัดแทน Glucomine หมอบอกว่าระยะฮาฟไลฟ์จะสั้นกว่าช่วยป้องกันการเกิดไฮโปครับ ทาน ๑ เม็ดก่อนอาหารเช้าเย็น
2. metfomine ทาน ๑ เม็ดหลังอาหารเช้าเย็นครับ
3. ยาชนิดที่สามเห็นหมอว่าช่วยลดความดัน และช่วยไตครับ ไม่ได้เขียนชื่อไว้ทานหนึ่งเม็ดหลังอาหารเช้า
4. ยาลดไขมันในเลือด ครึ่งเม็ดหลังอาหารเย็นครับ
แล้วให้มาคุมอาหาร
ประเด็นของอาหารที่ต้องให้ความสนใจ คือ อาหารที่ให้ผลต่อน้ำตาลในเลือด และ อาหารที่ทำให้ไขมันในเลือดสูง
ประเภทแรกส่งผลให้คุมเบาหวานไม่ได้ คุมไขมันในเลือดไม่ได้ และเลือดหนืดขึ้น เป็นเหตุให้ต้องให้ยาตัวที่ 1 และ 2 เพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลเป็นพลังงานได้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพราะกินเข้าไปเยอะแต่เผาผลาญไม่ดี
ประเภทหลังส่งผลให้หลอดเลือดเสื่อมเพิ่ม และเลือดหนืดขึ้น เป็นเหตุให้ต้องให้ยาตัวที่ 4 เพื่อช่วยลดให้ต่ำลงได้เร็วๆ ซึ่งจะช่วยทำให้ชิงดำจังหวะทำลายเพิ่มให้ผ่อนลงกว่าเดิม
ความดัน 157/90 ส่งผลให้หลอดเลือดเสื่อมเพิ่ม เป็นเหตุให้ต้องให้ยาตัวที่ 3 เพื่อปรับให้ต่ำลงจะได้ไม่ทำให้เกิดการทำลายเพิ่มและผลสะท้อนการปรับตัวของเส้นเลือดจนมีการตีบ แตก ตันในเส้นเลือดเกิดขึ้น
ผลที่ปรากฎนี้ผนวกด้วยเรื่องของอาการชาที่เกิดขึ้น พี่มีความเห็นว่าอ้ายควรเพิ่มยาอีกตัวคือ แอสไพรินค่ะ จำนวนที่ให้กินคือ วันละ 1 เม็ดหลังอาหารเช้า ให้เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันเส้นค่ะ ในเมื่อหมอไม่ให้ สามารถที่จะไปซื้อยามาเพิ่มกินได้ เนื่องจากไม่ใช่ยาที่ห้ามขายแต่อย่างใดนะอ้ายนะ ยาที่ให้ไปซื้อ คือ แอสไพริน สำหรับเด็กนะค่ะ มีขายเป็นเม็ดค่ะ ถ้าหากไม่มีของเด็ก ใช้ของผู้ใหญ่ก็ใช้ได้นะค่ะ
ทีนี้มาดูเรื่องของอาหารกันบ้าง คงต้องตั้งหลักว่า อาหารพืชที่ให้แป้งนั้น ถ้าหากมีมาเป็นกับข้าว ให้เลือกว่าจะกินข้าวหรือจะกินกับข้าวนั้น ไม่เปิดทางเลือกให้กินทั้งคู่พร้อมๆกัน ยกเว้นรู้จักหลักการปรับลดชำนาญแล้ว
ขอตัวอย่างกับข้าวยอดฮิต วุ้นเส้นผัดไข่ มาคุยให้ฟังค่ะ หากมีกับข้าวอย่างนี้ จะเลือกว่าจะกินข้าวหรือกินผัดวุ้นเส้นแทนข้าว
ถ้าหากจะกินทั้งสองอย่าง โดยกินผัดวุ้นเส้นเป็นกับข้าวแล้วกินข้าวด้วย ให้ปรับลดจำนวนข้าวลงให้เยอะที่สุดค่ะ แล้ววุ้นเส้นที่กินเป็นกับนะ กินเข้าไปแล้วปริมาณไม่ควรเกินข้าวที่ปรับลดไป หากกินโดยไม่ปรับลดอะไรเลย มื้อนี้กินแล้วเด้งให้น้ำตาลขึ้นค่ะ
พูดถึงข้าว คงต้องเอ่ยเรื่องข้าวเหนียว เพราะว่าคนลาว คนอีสาน คนเหนือ กินข้าวเหนียวเป็นหลัก กินข้าวเจ้าเป็นรอง หลักการของข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ต่างกันตรงที่ กินจำนวนเท่ากันเพิ่มน้ำตาลสูงไม่เท่ากัน ข้าวเหนียวทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นสองเท่าของข้าวเจ้ากินจำนวนเท่ากัน
รูปแบบของข้าวทั้งสอง เปรียบเทียบการปรุงของชนิดเดียวกัน รูปปรุงที่ให้เม็ดสวยกับปรุงรูปต้มกับน้ำนะ รูปปรุงที่ต้มกับน้ำให้น้ำตาลในเลือดต่ำกว่ารูปที่ปรุงเม็ดสวยค่ะ
ดังนั้นหากว่ากินข้าวเจ้าต้มจะให้น้ำตาลในเลือดต่ำกว่ากินข้าวสวย ข้าวต้มที่ทำจากข้าวเหนียวให้น้ำตาลในเลือดต่ำกว่าข้าวเหนียวนึ่ง
กับข้าวรูปอื่นที่ให้ดูด้วยว่านี่คือแหล่งให้แป้งด้วยนะ นั่นคือ พวกเส้นทั้งหลาย หากจะกินพร้อมข้าว นั่นแหละตัวดีหละที่ไปเพิ่มน้ำตาลในเลือด หลักเลือกก็ให้ทำเหมือนการกินวุ้นเส้นที่เอ่ยมาแล้ว อีกพวกที่ดูไปด้วยคือแป้งชุบทอดทั้งหลายอ่ะค่ะ นี่คือแหล่งแป้งเช่นกัน ดูให้ชัดด้วยนะค่ะ นะค่ะ
อีกแหล่งที่ให้แป้งด้วยแต่มักจะลืมเพราะมองว่าเป็นผัก เหล่านี้คือรากพืชที่นำมาแปลงต่อเป็นกับข้าวทั้งหลาย ถ้าหากกินของพวกนี้เป็นกับข้าวละก็ ต้องปรับลดข้าวเหมือนการกินวุ้นเส้น
พวกเส้นอีกอย่างหนึ่งที่ อาจจะไม่คิดว่ามีฤทธิ์เหลือหลาย นั่นคือ ขนมจีนไง กินแล้วกินผักอร่อยจะตาย ขนมจีนทำมาจากแป้งเช่นกัน อย่าลืมเลยนะอ้ายเรื่องนี้จำไว้ หากกินเข้าไปแทนข้าว 2 จับขนมจีนนะแทนข้าวได้เลยหนึ่งจานเต็มๆ ดังนั้นนี่คือแหล่งที่ไม่รู้กินไปๆ กินแล้วปรากฎว่าไม่ช่วยกลับไปทำให้น้ำตาลขึ้นเพลิน
อีกแหล่งที่ถ้ากินแล้วนั้นให้กินแทนข้าวได้เลย คือ ผลไม้นะค่ะ อ้ายเปลี่ยน กินแล้วอย่างละ 7-8 คำ แทนข้าวได้แล้วเท่ากับขนมจีน 2 จับ หากว่ากินแบบของหวาน ให้เผื่อท้องเอาไว้กินแบบกินแทนข้าวนะค่ะ ไม่ควรจะกินแบบว่า กินข้าวให้อิ่มแล้วกินตามไป เพราะว่าการกินแบบหลังนี่คือประเด็นที่ทำให้น้ำตาลมันสูงขึ้นค่ะ
สรุปแล้วแนะนำให้หนักกับข้าวที่เป็นผักให้เยอะๆนะค่ะ
ส่วนว่าจะกินอาหารหลักจากข้าวหรือกับให้ดูที่ว่า กับข้าวนั้นนะ เป็นผักให้แป้ง เป็นอาหารเส้น เป็นผลไม้ เป็นอาหารชุบแป้งทอด รึเปล่านะค่ะ ถ้าหากมีกับข้าวเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดในกลุ่มที่ได้เอ่ยลักษณะมานี้ อ้ายต้องไตร่ตรองว่า จะกินหนักข้าวลดกับ หรือ หนักกับลดข้าวค่ะ หากว่าจะปรับลดข้าว กับข้าวที่กินใน 4 กลุ่มนี้กินเข้าไปได้ไม่เกินข้าวส่วนที่ลดนะค่ะ
ส่วนการมีผลไม้กินตามหลังเป็นของหวานแก้เลี่ยนตามหลังกินข้าวหรือว่ากินเล่นระหว่างวันนั้น ให้ดูใจว่าอยากกินผลไม้รึไม่ และกินตอนไหน หากว่ากินตามหลังข้าวอย่าลืมนะว่าต้องปรับลดข้าวปล่อยท้องไว้รอเติมผลไม้ลงไปด้วย
ส่วนว่าอยากกินในมื้อว่างบ่ายกินเล่นแก้เหงาทั้งปากและฟัน ให้อ้ายเลือกประเภทผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำๆในตัว ซึ่งมีอยู่ไม่กี่อย่าง เช่น ฝรั่ง แอบเปิ้ล แตงไทย นอกนั้นหากว่ากินเข้าไปในจำนวน 7-8 ชิ้น ก็ให้จำไว้ เพราะว่า นั่นเท่ากับว่า กินข้าวเพิ่มมื้อขึ้นมากว่าเดิมนะค่ะ
เบ็ดเสร็จที่กินนี้น่ะ สามารถตรวจกรองด้วยตัวเองได้หนา วิธีตรวจกรองทำโดยไปหาซื้อแถบมาวัดน้ำตาลในปัสสาวะของตัวเองนะค่ะ ส่วนว่าจะดูยังไง ถ้าหากสนใจจะแนะต่อค่ะ เพียงแต่พี่ไม่แน่ใจว่า น้องนะจะสามารถหาซื้อแถบนี้ได้ไหม สำหรับที่กรุงเทพฯนะมีหาซื้อมาได้จากร้านขายยาค่ะ ตามต่างจว.จะมีไหม ก็ไม่แน่ใจว่าหายากไหม สำหรับร้านยากระบี่ หาซื้อแถบนี้ไม่ยากอ่ะค่ะ ;-)
« « Prev : แนะนำการแปลผลเลือดโรคเบาหวาน
Next : แนะนำการปรับวิถีชิวิตของคนเบาหวาน » »
3 ความคิดเห็น
แฮ่ แฮ่ เป็นหมอเดาค่ะ ไม่ใช่หมอดู เดาแม่นเผงเลยแฮะ แปลว่าสูตรการเดานี้ใช้ได้เวลาจะบอกคนไข้ให้ดูตัวเองเรื่องกิน ที่เดาผางออกมานะมิใช่จะบอกว่าห้ามกิน แต่อยากบอกว่ามีวิธีกินทั้งหมดที่บอกนะได้ ซึ่งเป็นทริกปรับที่แนะนำได้ ส่วนไปปรับยังไงก็ต้องปรับเอง
ของชอบนี่นะนี่ใช่ไหม ของชอบไม่ได้กินนี่ทุกข์เหมือนกัน ของมีให้กินกยังกินไม่ได้นี่ก็ทุกข์ ตัวพี่เลยไม่ชอบที่จะเห็นวิถีของคนที่ไม่สามารถกิน ทั้งที่มีทรกให้กินมันได้อยู่บ้าง
ตอบที่นี่บางเรื่องซะก่อนละกัน
เพิ่มแอสไพริน เพื่อช่วยป้องกัน ผลเรื่องของลิ่มเลือดเกิดขึ้นแล้วไปอุดให้เส้นเลือดมันตันหรือตีบเพราะถูกอุดค่ะ แอสไพรินมีฤทธิ์ทำให้เลือดไม่ใคร่แข็งตัวเป็นลิ่มเลือดค่ะ เริ่มกินแล้วจะเริ่มให้ผลหลังกิน 2 สัปดาห์ไปแล้ว และมีผลต่อเนื่องไปตลอดตราบที่ยังกิน หลังกินยาวนานจะหมดฤทธิ์เมื่อหยุดยาตัวนี้ไปอย่างน้อย 1 สัปดาห์
เพราะว่ามันมีผลทำให้เลือดไม่ใคร่แข็งตัวเป้นลิ่มเลือด เมื่อยาเริ่มให้ผลแล้ว หากมีการกระทบกระแทกร่างกายตรงไหน จึงอาจจะเกิดรอยช้ำเลือด จ้ำเลือดเกิดได้ง่าย หากเกิดมีรอยช้ำเขียว ช้ำเลือดเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุหรือมีเหตุแค่แรงกระทบเบาๆ ก็ไม่ต้องตกใจไปนะค่ะ นี่คือผลที่อาจจะพบปรากฎให้รู้ที่ผิวหนังได้จากการที่กินแอสไพริน
อีกผลที่ควรรู้ว่าอาจจะเกิด คือ การมีเลือดกำเดาไหลง่ายนะค่ะ ซึ่งต้องแยกกันระหว่างผลของยา กับเรื่องของความดันโลหิตที่เพิ่มสูงกว่าความดันสูงธรรมดาของตัวเอง ถ้าหากเกิดมีเลือดกำเดาไหล อย่าลืมวัดความดันโลหิตก่อนนะค่ะ ถ้าความดันโลหิตสูงขึ้นแล้วละก็ รีบหาหมออย่าช้ารอรีให้เสียการพร้อมหยุดยาแอสไพรินซะด้วย แล้วอย่าลืมบอกหมอด้วยว่ากินยาแอสไพรินอยู่ด้วยระหว่างมีอาการ
อีกผลที่อาจจะเกิดมีขึ้น ซึ่งแค่เดาแต่จะบอกไว้ก่อน ที่ต้องบอกเพราะคาดเดาว่า อ้ายนะกินอาหารไม่เป็นเวลา ผลที่กำลังจะบอกก็คือ การมีขี้ดำ หรือ ปัสสาวะมีเลือดปน หรือ อาเจียนออกมาเป็นเลือด ถ้าหากเกิดอาการอย่างนี้ขึ้นมา หยุดยาแล้วดูแลตัวเองไม่ให้เพลีย ไปหาหมอเพื่อปรึกษาซะด้วยพร้อมบอกด้วยเรื่องของเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และการกินยาแอสไพริน หากจะไม่ไปหาหมอทันที ก็คงจะมีอาการขี้ดำ กับปัสสาวะมีเลือดปนที่รอได้ โดยอาจจะรอดูอาการต่อหลังหยุดยาแอสไพรินได้ 2 สัปดาห์ สีขี้ สีปัสสาวะดีแล้ว ก็ให้เรื่มกินยาต่อได้ค่ะ แต่ถ้าหากไม่ดีขึ้น หยุดยาและไปหาหมอทันทีค่ะ
ทั้งหมดที่ได้บอกมานี้ เป็นผลข้างเคียงของแอสไพรินที่หลีกไม่ได้ จึงจำเป็นต้องบอกให้ทราบ เพื่อการดูแลตัวเองต่อให้เหมาะสม
การแนะนำให้กินแอสไพรินนั้น ได้ชั่งผลได้ ผลเสียในภาพรวมจากประวัติและอาการของอ้ายนะค่ะ เป็นความเห็นที่หากพี่เองเป้นอ้ายเปลี่ยน พี่ก็จะมีแผนรักษาตัวเองอย่างนี้
เรื่องนี้จึงบอกมาเพื่อให้อ้ายเปลี่ยนทบทวนเหตุผลด้วยตัวเองนะค่ะ
เรื่องอื่นจะขอยกไปคุยขึ้นบันทึกใหม่ก็แล้วกันค่ะ