ไออุ่น ไอร้อน และการใช้เคล็ดลับ

โดย สาวตา เมื่อ 27 สิงหาคม 2008 เวลา 22:36 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิต สุขภาพ, อาหารกับสุขภาพ #
อ่าน: 3760

ประเดิมบอกมาแล้วว่า เรากินอาหารเข้าไปผ่านกระบวนการสันดาปในร่างกายแล้วให้พลังงานความร้อนออกมา ซึ่งร่างกายใช้เพิ่มไออุ่นให้ตัว  ไออุ่นที่ว่านี้ถ้าวัดอุณหภูมิในตัวได้ จะมีค่าอยู่ที่ 37 องศาเซนติเกรด เป็นอุณหภูมิที่อวัยวะในร่างกายอยู่สบายๆ ดังนั้นหากว่าใครมีอุณหภูมิในตัวสูงไปกว่านี้ ก็จะเริ่มมีอาการไม่ธรรมดาได้ ตั้งแต่ปวดเมื่อย ปวดหัว จนกระทั่งมีอาการแบบจับไข้ให้ได้เห็น แล้วถ้าสูงมากๆจนสมองมันสั่งการให้ปรับตัวไม่ได้ก็จะทำให้มีอาการชักให้เห็นก็มี  หรือว่าหากใครมีอุณหภูมิในตัวที่ต่ำกว่านี้ ก็จะมีอาการไม่ธรรมดาเช่นกัน การมีอุณหภูมิต่ำกว่า 37 องศาเซนติเกรดนี้ มีความสำคัญมากสำหรับเด็กคลอดใหม่ๆ  เพราะเป็นสาเหตุทำให้หยุดหายใจได้ ถ้าไม่ดูแลให้ทัน  สมัยโบราณที่ให้แม่อยู่ไฟนั้นจะด้วยเหตุผลอะไร ฉันก็ว่าเด็กยุคนั้นโชคดีที่ได้ความอบอุ่นจากการอยู่ไฟของแม่ไปด้วยจึงรอดตัวมาได้จนวันนี้  และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ใหญ่จึงห้ามไม่ให้นำเด็กทารกแรกคลอดไปไหนมาไหนแม้แต่เอาไปตากลมหน้าบ้าน

การจะรู้ว่าพลังงานที่เกิดขึ้นนั้นได้มาจากแหล่งไหนบ้างนั้น ได้บอกในบันทึกก่อนไว้แล้ว แต่ก็จะขอยกมาที่นี่อีกครั้ง เผื่อใครจะลืมค่ะ ร่างกายต้องการพลังงานจากอาหารต่างๆดังนี้ค่ะ  อาหารที่ให้ถ่านน้ำตาลกลูโคส 60%  อาหารที่ให้ถ่านกรดไขมัน 30%  อาหารที่ให้ถ่านกรดอะมิโน 10% 

ลองมาเรียนรู้กันต่อว่า ถ้าใช้เคล็ดลับที่บอกมาอย่างต่อเนื่อง มาใช้ด้วยกันแบบกดเอทีเอ็ม จะให้ความรู้อะไรบ้างนะค่ะ ลองดูด้วยเมนูอาหารที่ยกมานี้ทีละมื้อค่ะ

ไข่

กับข้าวมื้อเช้าไข่เค็ม 2 ฟอง  กับข้าวต้ม 2 ทัพพี

ในอาหารมื้อเช้านี้ ถ้าใช้หลักพืชครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง  และสัดส่วนอาหารควรมาจากแหล่งให้ถ่านกลูโคส  60%  ถ่านกรดไขมัน 30%  ถ่านกรดอะมิโน 10%  แล้วละก็  มื้อนี้กินอาหารหมวดพืชน้อยไป  ได้จากแหล่งอาหารที่ให้กรดอะมิโนและกรดไขมันเยอะกว่า  และในธงโภชนาการระบุว่า กินไขมันให้น้อยกว่าน้อย  ซึ่งในมื้อนี้กินไข่แดงไปถึง 2 ฟอง  บอกได้เลยได้ไขมันเกินแล้ว  ส่วนเนื้อสัตว์จะเกินมั๊ยนั้น  ก็คงต้องเรียนรู้เคล็ดลับในเรื่องของแหล่งอาหารเนื้อสัตว์ต่อไปอีกหน่อยค่ะ  

เนื้อสัตว์รวมๆ รวมทั้งเครื่องในสัตว์ นั้น ร่างกายต้องการราวๆ กำมือครึ่ง-3 กำมือ ต่อวันเท่านั้น 

ปริมาณ 1 กำมือครึ่งจะได้จากเนื้อสัตว์ราวๆ  300 กรัม หรือ ไข่ 3 ฟอง ค่ะ

แปลจากเคล็ดลับมื้อนี้มื้อเดียว เนื้อสัตว์ก็กินเข้าไปเกือบเต็มจำนวนที่ต้องการทั้งวันแล้ว

 

มื้อเที่ยง

 กับข้าวมื้อเที่ยง กับ ข้าวสวย 2 ทัพพี

เมื่อเห็นอาหารต่อหน้า ก็ให้นึกย้อนไปว่า เมื่อเช้านี้กินพืชน้อยไป ไขมันเกินแล้ว เนื้อสัตว์ยังพอกินได้อีก  มื้อนี้จึงต้องชั่งใจ จะกินกับเยอะไหม จะกินกับอะไร

มาว่าที่เนื้อสัตว์กันก่อน โดยพิจารณาเริ่มจากไขมันที่จะได้ในกับข้าว 4 จานนี้ มื้อไหนที่จะให้น้ำมันเยอะกว่ากัน  ท่านตอบจานไหนค่ะ 

ฉันตอบจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็นก่อนค่ะ  เรียงจากเยอะที่สุด ไปหาน้อยที่สุดใน 4 จานนี้นะค่ะ  ผัดปลาหมึก ปลาทอด ปลาทรงเครื่อง ผัดผัก ที่ฉันตัดสินใจเช่นนี้ ก็เพราะมันมีเคล็ดลับอยู่ว่า  ในบรรดาสัตว์น้ำ ปลาหมึก กุ้ง จะให้ไขมันที่เรียกว่า คลอเรสเตอรอล มากกว่าปลา  ส่วนในรูปของการปรุงอาหารนั้น  อะไรก็ตามปรุงให้สุกแล้วเห็นมีน้ำมันปนอยู่จะมีน้ำมันผสมอยู่ในสัดส่วนอาหารสุก 1 ช้อนโต๊ะมีน้ำมันอยู่ 1 ช้อนชาโดยประมาณ  

เมื่อเช้านี้ฉันกินพืชน้อยกว่าสัตว์ มื้อนี้ฉันจึงเล็งกินให้ได้สัดส่วนมื้อนี้หนักไปที่แหล่งจาก พืช มากกว่าสัตว์ พอใจอยู่แค่ที่ พืชครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่งแล้วค่ะ  อันนี้เพื่อปรับกินให้ไม่เติมไขมันที่ยกยอดเกินมาแล้วจากมื้อเช้าให้เพิ่มขึ้นไปอีก  การกินอย่างนี้ทำให้ได้เนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นอีกหน่อยจากมื้อเช้าใช่ไหม  ไม่แน่ใจฉันก็ไปดูจากมื้อเช้า ใช้เคล็ดเรื่องเนื้อสัตว์ ฉันก็รู้ว่ามื้อนี้ยังมีโอกาสที่จะกินเนื้อสัตว์เพิ่มได้  แต่ก็ควรกินแต่น้อยๆ หรือไม่ให้เกินครึ่งกำมือค่ะ 

ลองรวมยอดที่กินยกมาแล้ว 2 มื้อดูหน่อยปะไร ก็ใช้เคล็ดลับอีกแหละ กินมาแล้วพืชครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง น่าจะพอได้อยู่น่ะ  ไขมันน้อยๆ อันนี้มื้อนี้เติมไปอีกหน่อยจากเนื้อสัตว์ที่กิน  เนื้อสัตว์ที่กินเข้าไปรวมมื้อเช้าแล้วด้วยพอดีกับที่ต้องกินเข้าไปเลยซิ  ดูๆแล้วกินมา 2 มื้อนี้ พลังงานที่ได้จากถ่านน้ำตาลกลูโคส เยอะกว่าถ่านกรดอะมิโน และ ถ่านไขมัน   

โซเดียมละค่ะ ดูจากมื้อเช้า หนักเค็มไปหน่อย ก็ไข่เค็มๆนี่ค่ะ มาที่มื้อเที่ยงกินผักและปลาทรงเครื่อง อะฮ๊า กินไปแล้ว 2 มื้อได้เกลือเกินยังเยอะแฮะ  มื้อนี้ไม่มีผลไม้แก้ซะด้วยซี

คุกกี๊    ชาเขียว 

คุ๊กกี๊มื้อว่างบ่าย กับชาเขียว 1 แก้ว 

2 มื้อที่ผ่านมา เกลือเกิน ไขมันเกินไปแล้ว  มื้อนี้เอางัยดีหว่า  เพราะว่าถ้าจะกินเข้าไป ก็จะได้ไขมันเพิ่ม เกลือเพิ่ม อีกจากเนยในคุ๊กกี๊  แต่จะได้ผลไม้อย่างลูกเกดเข้าไปช่วยจัดการเกลือที่เกินได้บ้าง  ลูกเกดก็มีเกลือโปตัสเซียมนะค่ะ แต่มีน้อยกว่าผลไม้ยอดนิยมที่เอามาเล่าไว้แล้ว 

ทีนี้ก็ต้องไปดูว่า แหล่งอาหารที่ให้ถ่านกลูโคสนั้นพอเพียงแล้วหรือยัง  จะดูอย่างนี้ละก็ ให้ดูที่ธงโภชนาการ จำนวนข้าวที่ต้องกินต่อวัน 8-12 ทัพพี  เทียบดูว่ากินมันไปเท่าไรแล้วในมื้อที่ผ่านมาแล้วค่ะ  2 มื้อ กินข้าวสวยไปแค่ 2 ทัพพีเอง  ส่วนข้าวต้มนั้นเคล็ดลับว่าเทียบได้เท่ากับข้าวสวย 1/3 ทัพพีค่ะ  รวมๆแล้วเพิ่งกินข้าวไปไม่ถึง 3 ทัพพีเลยค่ะ  อย่างนี้มื้อว่างนี้ก็กินได้ซิ  ก็มันมีน้ำตาลในชาเขียว และแป้งในคุ๊กกี๊  ซึ่งกินแล้วจะให้ถ่านน้ำตาลกลูโคสที่วันนี้ฉันยังกินน้อยไปอยู่ในตัวมันนี่นา

กินหมดหรือไม่หมดดีน๊า  รู้รู้อยู่แล้วว่ายังมีให้กินอีกมื้อ แล้วมื้อเย็นก็ยังไม่รู้จะกินอะไรซะด้วยนะนี่  วันนี้กินเกลือเกิน อยากกินผลไม้เพิ่มเพื่อให้ได้โปแตสเซียม กะเอาไว้ว่าจะไปซื้อมะละกอมากิน  งั้นเอายังงี้ มื้อนี้กินแค่ชาเขียว 1 แก้ว ส่วนเจ้าคุ๊กกี๊ก็กินไปหน่อยสัก 4 ชิ้นก็พอ กะๆเอาจากแป้งและน้ำตาลที่รับรู้รสหวานทั้งชาเขียวและขนม  มื้อนี้น่าจะได้ถ่านกลูโคสเพิ่มมาอีกสัก 1 ทัพพีข้าว  กะเอามาจากไหนฉันก็นึกภาพเอาว่าใช้แป้งเท่าไร แป้งมาจากข้าวไม่ใช่รึค่ะท่านขา  น้ำตาลที่ใส่ให้หวานรวมๆแล้วนั้นตีราคาเว่อร์หน่อยว่าใช้น้ำตาล 4 ช้อนชาหละค่ะ   

รวมแล้ว  3 มื้อนี่น่ะ กินเข้าไปแล้วได้ข้าวรวมๆ  4 ทัพพี  น้ำตาลกินเต็มที่ตามที่ธงกำหนดแล้วค่ะ  ไขมันที่กินเพิ่มเกินไปอีกหน่อยแล้วค่ะ เนื้อสัตว์พอดีแล้ว เอาละคราวนี้ ต้องวางแผนมื้อเย็นแล้วหละ  อยากกินมะละกอแต่ว่าเมื่อไปถึงบ้าน มีชามนี้วางรอให้กินค่ะ 

ข้าวต้มหมู

ข้าวต้มหมูมื้อเย็น 1 ชาม

จะกินอย่างไรให้มันได้ใกล้เคียงตามธง  ก็ใช้เคล็ดลับอีก พืชครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง  ยกยอดมาแหล่งอาหารที่ให้ถ่านพลังงาน ถ่านกรดไขมันเกินแล้ว ถ่านอะมิโนเต็มพิกัดแล้ว ถ่านกลูโคสยังกินได้อีกจากกลุ่มแป้ง-ข้าว ถ้าอย่างนั้นอย่าช้า เขี่ยเครื่องในทิ้งไป เนื้อสัตว์ทิ้งไป ไข่ทิ้งไป  กินเข้าไปแค่ข้าวต้มกับแป๊ะก๊วยเท่าที่เห็นๆนี้ เท่ากับเติมข้าวไปอีก 1 ทัพพี  ข้าวรวมๆแล้ววันนี้กินน้อยกว่าที่ธงบอกรวมมื้อนี้แล้วได้ข้าว ไม่เกิน 5 ทัพพีเลยอ่ะ  แล้วที่อยากจะกินมะละกอก็กินได้เพราะวันนี้ยังไม่กินเลยอ่ะ ว่าแล้วก็ฟาดมะละกอไป 5 ส่วนสมใจอยาก 

ยกตัวอย่างมาอย่างนี้ ท่านพอจะจับเคล็ดการนำเคล็ดลับไปใช้  โดยไม่ต้องจำตัวเลขมากๆ ได้หรือยังค่ะท่านขา  ส่วนการกะแคลอรี่ จะกะยังไง สำหรับการลดความอ้วน สำหรับคนที่ท้วม น้ำหนักเกิน หรืออ้วนนะท่าน จะเล่าสิ่งที่รู้ให้นำไปใช้ง่ายๆอีกนะค่ะ ติดตามอ่านต่อก็แล้วกันนะค่ะ

« « Prev : ขอเล่าเรื่องฉลากโภชนาการซะหน่อยดีกว่า

Next : ฝายแม้วในตัวคน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 Sasinand ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 สิงหาคม 2008 เวลา 19:11 (เย็น)

    อ่านแล้ว มีความรู้ขึ้นแยะ และรู้ที่มา ที่ไปว่า ที่โบราณบอกยังงั้น ยังงี้ มีเหตุผล แต่บางที คนที่ได้รับการบอกเล่ามา ไม่ถามเหตุผล ได้แต่ โบราณเขาว่า….
    ทำให้ เกิดข้อสงสัย
    พี่เอง ถ้ามีความสงสัย ต้องถาม ถ้าไม่ได้รับคำตอบที่เข้าท่า ก็ไม่ถามแล้วค่ะ เฉยๆไปเอง

  • #2 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 6 กันยายน 2008 เวลา 10:06 (เช้า)

    #1 เรื่องของคนโบราณมีความรู้แฝงอยู่ทั้งนั้นค่ะพี่ แต่กว่าคนจะแกะรอยออกมาจนอธิบายได้นั้น ใช้เวลานานหน่อยที่จะทำให้คนที่ไม่ยอมรับ ยอมรับในเหตุผลที่บอกค่ะ บางคนเขารู้นะค่ะว่าทำไมให้ทำ แต่อธิบายไม่เป็น อธิบายหลักไม่ได้ เขาจึงมักจะบอกตามผลที่เห็นค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.018153190612793 sec
Sidebar: 0.058113813400269 sec