คดีแพ่งแห่งความระกำ

โดย อัยการชาวเกาะ เมื่อ 24 ตุลาคม 2009 เวลา 9:32 ในหมวดหมู่ นักกฎหมายอย่างผม, เรื่องทั่วไป, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 2671

การบรรยายกฎหมายผสมมุขตลกแบบชาวบ้านสไตล์ผมทำให้ชาวบ้านชอบฟังเรื่องราวของกฎหมายมาก และที่ตะกั่วป่านี่เองที่ทำให้ผมได้เริ่มต้นงานเขียนบทความเกี่ยวกับกฎหมายลงในหนังสือดวงใจพ่อแม่

ความจริงผมขอไปรับราชการที่ภูเก็ตตั้งแต่ตอนนั้น ขอภูเก็ต พังงา ตะกั่วป่า แต่ได้ตะกั่วป่า ผมอยู่ตะกั่วป่าอย่างมีความสุข ปีที่สามมีอัยการจังหวัดรุ่นพี่ชวนผมไปอยู่ภูเก็ต ผมบอกว่าผมไม่ยื่นคำขอหรอก ผมทรนงฝีมืออย่างผม เพราะเคยขอไปอยู่แล้วเขาไม่ให้ ผมก็อยู่ป่าของผมไปเขียนบทความก็ใช้ชื่อ “อัยการบ้านนอก” มันซะงั้น..อิอิ พอขึ้นปีที่สี่ อัยการรุ่นพี่ก็มาบอกให้เขียนคำขอย้ายไปภูเก็ตอีกครั้ง ผมก็เลยเขียนแต่ไม่ติดตามเรื่อง เพราะให้ไปก็ได้ไม่ไปก็ได้ ผมอยู่ตะกั่วป่าก็มีความสุขดีแล้ว รุ่นพี่คนนั้นต้องการเอาผมไปใช้งานที่ภูเก็ตก็ไปบรรยายสรรพคุณผมให้ผู้ใหญ่ทราบ และแล้วก็มีคำสั่งย้ายผมไปอยู่ภูเก็ตโดยที่ผมไม่เคยรู้จักเลขาฯคณะกรรมการอัยการและไม่เคยไปขอกับท่าน (สมัยก่อนใครอยากย้ายไปอยู่ที่ไหนก็มักจะไปขอกับผู้ดำรงตำแหน่งนี้ เพราะผู้ดำรงตำแหน่งนี้จะมีความสำคัญมากเป็นคนที่จัดทำคิวโยกย้าย และผู้ดำรงตำแหน่งนี้มักจะเป็นอธิบดีกรมอัยการหรืออัยการสูงสุดในอนาคต และท่านดังกล่าวต่อมาก็ได้เป็นอัยการสูงสุดจริงๆ)

ผมไปว่าความเจอทนายรุ่นพี่ ทนายรุ่นเพื่อนมากมายเพราะเราเป็นทนายเก่าที่เคยมาหากินแถบนี้ น้องๆที่เป็นทนายก็จะมานั่งล้อมวงฟังผมเล่าประสบการณ์ตอนเป็นทนาย ทานอาหารเช้ากัน คุยกัน แถมน้องบางคนที่ยังว่าความไม่เป็นเราก็จะคอยบอกข้อบกพร่องเขา โดยไม่ได้คิดว่าเราเป็นฝ่ายตรงข้ามแต่เราคิดว่าสมัยเราเป็นทนายใหม่ๆ มีอัยการรุ่นพี่ท่านหนึ่งเห็นแววเรา เขาเมตตาเรา สอนเทคนิคการว่าความเพิ่มเติมให้กับเรา เราก็สานต่อเจตนารมณ์ตรงนั้นต่อไป

ผมเจอกับอัยการรุ่นที่ที่เคยประฝีมือกัน พี่เขาเป็นรองอัยการจังหวัด ผมเป็นอัยการจังหวัดผู้ช่วย สำนวนผมต้องเสนอความเห็น ร่างฟ้องไปที่ท่าน ถูกแก้เสียเละ แต่ปรากฏว่ามีคดีหนึ่งเป็นคดีจราจรทางบกผมร่างฟ้องไปหน้าครึ่งแต่ท่านแก้ของผมแทบทุกย่อหน้า แบบใครเห็นก็ต้องนึกว่าไอ้คนร่างมันห่วยแตก…อิอิ พอถึงอัยการจังหวัดก็เกษียนสั่งว่า “พิมพ์ตามร่างของคุณบัณฑูร” ฮา….และพี่คนนี้ก็โกรธผมอย่างหนักเมื่อตอนผมจะขึ้นตำแหน่งรองอัยการจังหวัด เขาเป็นรองอัยการจังหวัดอาวุโส ผมถูกย้ายไปเป็นรองอัยการจังหวัดที่อำเภอหนึ่งเพียง ๑ ปี ก็มีคำสั่งย้ายให้ผมไปเป็นรองอัยการจังหวัดที่เป็นที่หมายปองของบรรดาอัยการ แต่ย้ายรุ่นพี่คนนั้นไปเป็นรองอัยการจังหวัดที่อำเภอแทน รุ่นพี่เข้าใจว่าผมไปวิ่งเต้นเตะท่านไปอยู่ แต่ความเป็นจริงแล้ว ผมไม่เคยขึ้นไปขอจากผู้ใหญ่ท่านใดเลย ที่ได้ไปเพราะผลงานผมเข้าตาผู้ใหญ่ในสิ่งที่เราคิดเราทำไม่เหมือนคนอื่น หนังสือกฎหมายของชาวบ้านพิมพ์แจกเป็นแห่งแรกในจังหวัดภูเก็ต มันเป็นผลงานทางด้านการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายที่ไม่มีสำนักงานอัยการแห่งไหนทำประกอบกับได้เป็นทีมต้อนรับอัยการจีนมาทำสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทยเป็นประเทศแรกและทำที่ภูเก็ต คณะอัยการจีนประทับใจการต้อนรับของเรามากไปชมกับท่านรองอัยการสูงสุด ท่านโทร.มาขอบคุณพวกเราในวันที่อัยการจีนแจ้งให้ท่านทราบ ชื่อผมจึงติดหูติดตาผู้บังคับบัญชา และช่วงนั้นผมกำลังเรียนปริญญาโทนิด้าอยู่ เหตุผลในการขอย้ายก็เพื่อมาเรียนปริญญาโทแค่นั้น ท่านก็เลยให้ผมไปทำหน้าที่ผมไม่ได้วิ่งเต้นแต่ประการใดทั้งสิ้น

อัยการภูเก็ตในรุ่นนั้นรักกันดีครับ พวกเราต่างยังหนุ่มแน่น เพื่อนฝูงเยอะ แถมผมเคยเรียนหนังสือที่ภูเก็ต ดังนั้นจึงมีเรื่องเฮฮาอยู่เรื่อย เรื่องงานผมไม่เคยเสีย แต่อัยการรุ่นน้องที่เรารักมันมาก เวลาเมาแล้ววันรุ่งขึ้นมันมักไม่ค่อยตื่น มันไม่เดือดร้อนแต่เราเดือดร้อน ต้องหาสำนวนคดีของมันเอาไปว่าความแทน ฮา…บางทีเพื่อนไม่มาผิดสังเกตก็จะเอาสำนวนของเพื่อนไปศาลก่อน แล้วเอาคดีของเราไปสืบพยานก่อนแล้วค่อยไปว่าความให้เพื่อน อัยการที่ไหนถ้ารู้ว่าอัยการไทยว่าความวันละ ๓-๔ เรื่อง ผมว่าเขาจะต้องขอมาฝึกงานอัยการไทยแน่ๆเลย ฮ่าๆ เพราะเราเป็นสุดยอดอัยการโลก อิอิ ที่อื่นเขาว่าความกันทีละเรื่องจบเป็นเรื่องๆ ของเราวันเดียวว่าเรื่องลักทรัพย์ เสร็จแล้วไปคดียาเสพติด แล้วว่าคดีปล้น แถมด้วยคดีแพ่ง ผมก็งงตัวเอง ไม่รู้แยกประสาทได้อย่างไร ฮา….

เคยมีคดีหนึ่ง จำเลยเป็นแก๊งค์ตกควาย (คดีฉ้อโกงทรัพย์) พวกนี้วิธีการจะเหมือนเดิม หน้าเดิม ตัวละครเดิมๆ แต่เปลี่ยนคนบ้าง ชื่อของจำเลยผมมักจะจำได้ ผมหอบสำนวนไปว่าความคดีหนึ่ง ระหว่างรอว่าความอยู่ก็เห็นมีการสืบพยานจำเลยอยู่ในบัลลังก์ที่ผมไปนั่งรออยู่ นั่งฟังเล่นๆก็รู้ว่าไอ้หมอนี่โกหก จู่ๆทนายจำเลยแถลงจบคำซักถาม ศาลหันมาพยักหน้ากับผม แล้วพูดว่า เอ้า..โจทก์ถามค้าน… ผมก็เลยออกไปถามค้าน ซักพยานจำเลยเสียกระจุย พอคดีนี้เสร็จ ทนายจำเลยมาถามผมว่า พี่มายุ่งคดีนี้ทำไม ไม่ใช่ของพี่สักหน่อย ล่อพยานผมเละเลย ฮา….(อัยการเป็นโจทก์ในคดีอาญาทุกคดี ทำแทนกันได้ทุกคดีในเขตพื้นที่รับผิดชอบ) ผมบอกว่าแล้วพี่จะไปรู้เหรอ นึกว่าคดีของพี่ จำเลยก็ชุดเดียวกัน เรื่องมันก็คล้ายกัน ศาลก็คนเดียวกัน พี่นึกว่าพี่ลืมเอาสำนวนมา..ฮา…

ผมถูกวางตัวให้ทำคดีประเภทฉุกเฉิน คดีสำนวนหนาๆ คดีที่เป็นเรื่องแปลกๆไม่มีตัวอย่างให้ลอก แต่เป็นคดีที่ผมชอบเพราะได้ใช้ความรู้ความสามารถที่เรามีอย่างเต็มศักยภาพ

ที่ว่าคดีฉุกเฉินเพราะจะเป็นคดีที่พนักงานสอบสวนที่ไม่ค่อยเอาใจใส่งานคดีมัวแต่ต้อนรับเจ้านาย เอาใจเพื่อนฝูง แล้วลืมส่งสำนวนให้อัยการเหลือเวลาสองวันครบขังครั้งสุดท้าย ถ้าอัยการไม่ช่วยก็ต้องปล่อยผู้ต้องหาไป ตัวเขาก็จะโดนวินัย แต่ความที่เราอยู่ด้วยกันด้วยความรักกันฉันพี่น้อง แบบว่าไม่ฆ่ากันแต่เอ็งจะต้องโดนพี่เตะก้น คดีประเภทนี้อัยการจังหวัดก็จะปรับโดยให้พนักงานสอบสวนเลี้ยงมื้อเย็น ๑ มื้อ พร้อมเครื่องดื่ม กินกันไป เมากันไป พอรุ่งเช้า ตำรวจมาส่งสำนวน อัยการจังหวัดก็มักจะมอบสำนวนให้ผมด้วยเหตุที่เมื่อคืนผมไม่ได้ดื่ม ไอ้พวกที่ดื่มมันเลยตื่นไม่ค่อยไหว ฮา…แต่วิธีนี้กลับทำให้ตำรวจกับอัยการรักกันเหมือนพี่น้อง ไม่นับพวกอัยการที่ไปข่มเหงตำรวจให้เลี้ยงตะบี้ตะบัน ไปกินแล้วให้ไปเก็บที่ตำรวจ แบบนั้นมันไม่งาม คือ ไม่อยากใช้คำว่าทุเรศ ฮา…

มีอยู่วันหนึ่งผมได้รับสำนวนคดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องภาษีอากร โดยสำนักงานสรรพากรส่งมาให้ฟ้องผู้รับเหมาทาสีรายหนึ่งได้รับค่าจ้างแล้วไม่ยื่นเสียภาษี เขาตรวจพบจากรายจ่ายของบริษัทที่ว่าจ้างให้ทาสีว่าจ่ายค่าจ้างให้กับนายคนนี้ ผมอ่านสำนวนแล้วปวดตับ เพราะได้ความจากคำให้การของลูกหนี้ภาษีคนนี้ว่าตนเองเป็นคนหาเช้ากินค่ำ แต่มีเจ้าหน้าที่ของบริษัทมาว่าจ้างให้ตนไปทาสีที่บริษัทแห่งหนึ่ง แล้วให้ตนเซ็นเอกสารอะไรก็ไม่รู้ ตนมีอาชีพตกปูขายอ่านหนังสือไม่ออก บ้านก็แอบไปปลูกอยู่ในป่าชายเลน ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น เราอ่านเอกสารในสำนวนทั้งหมดแล้วผมเชื่อว่าเป็นจริงตามที่นายคนนี้เขาว่าแหละครับ ก็ถ้าเป็นผู้รับเหมาจริงจะมาแอบมาสร้างเพิงพักอยู่ในป่าชายเลนหรือ แต่ที่ว่าปวดตับก็คือสรรพากรให้ฟ้องไม่ใช่เฉพาะแค่รายได้ที่ได้จากการรับจ้างทาสีอย่างเดียวนะสิ เพราะเมื่อไปตามหาตัวนายคนนี้จนเจอที่ป่าชายเลน ก็เรียกแกไปสอบสวนแกให้การว่ามีอาชีพตกปูมีรายได้วันละ ๑๕๐-๒๐๐ บาท เจ้าหน้าที่สรรพากรถือว่าเป็นรายได้ก็ต้องเอาไปรวมคำนวณกับค่ารับเหมาทาสี จ๊าก…

ผมอ่านสำนวนด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ จะไม่รับว่าต่างก็ไม่ได้เพราะมันก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามประมวลรัษฎากร ก็เลยต้องฟ้องไปตามนั้น แต่มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากๆ สิ่งที่ทำได้ก็คือบอกจำเลยว่า ไม่ต้องไปศาล ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องจ้างทนาย เพราะถ้าสรรพากรจะยึดป่าชายเลนที่ไปปลูกเพิงอยู่ เดี๋ยวสรรพากรก็จะได้คุยกับป่าไม้เอง…แฮ่.

Post to Twitter Post to Facebook

« « Prev : เริ่มเป็นวิทยากร

Next : ประสบการณ์ชีวิตจากการเป็นเด็กปั๊ม » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "คดีแพ่งแห่งความระกำ"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.69913506507874 sec
Sidebar: 0.089279890060425 sec