อเมริกา….ลาก่อน
๒๖ ต.ค. ๔๗
วันนี้เดวิดไปส่งพวกเราที่สนามบิน รถที่เดวิดขับไปส่งเราคือโตโยต้า ขับเคลื่อนสองล้อ เครื่องวี ๘ รุ่น Sequaia (เขาอ่านว่า ซีควอญ่า)มันใหญ่และกว้างกว่ารถยนต์กระบะบ้านเรา ผมว่ามันเหมาะกับผมนะ..อิอิ
เราเดินขึ้นเครื่องแล้วไม่มีใครสนใจ แอร์โฮสเตสก็ไม่ใคร่สนใจลูกค้า เราได้ตั๋วตัว ซี ต้องขึ้นเครื่องทีหลัง ตอนแรกก็งงอยู่เหมือนกันว่าทำไมไม่มีเลขที่นั่ง พอขึ้นไปแล้วจึงรู้ว่าอ๋อ…มันเป็นเครื่องบินราคาถูกแบบ นกแอร์ แอร์เอเชียบ้านเรานั่นเอง ใครได้ตั๋วเอ ก็ขึ้นก่อน ตามด้วยบี และ ซี ตามลำดับ แต่ตอนนั้นผมเชย…อิอิ มันให้หาที่นั่งเอาเอง และมารยาทฝรั่งที่ว่าดีที่แท้มันก็ไม่ดีกว่าคนไทยหรอก มันมากันสองคนก็แยกนั่งคนละข้างเหลือตรงกลางไว้วางของ ใครขึ้นมาตูข้าก็ไม่สนใจ ต้องขอเข้าไปนั่งนั่นแหละจึงจะได้นั่ง แหม..ยิ่งกว่านั่งรถไฟชั้นสาม เอิ้กๆ
จากลาสเวกัสมาแอล.เอ. ผมกับพี่รุ่งโรจน์ถูกตรวจเหมือนเดิม ความที่รู้งานเพราะถูกตรวจมาทุกเที่ยวบิน ผมถูกตรวจเสร็จก่อน ขนาดอ้วนกับ ลูกชายไม่ได้ ssss ยังตรวจเสร็จหลังผมเลย พุธถามว่า ssss คืออะไร ผมก็มั่วไปว่า super security for senior superman ฮากันตรึม ฮา…ความจริงเจ้าพุธเขาก็ชอบคุยกับผมเพราะผมบอกลูกเล่นเขาไว้เยอะ ตอนที่เราไปดูแสงสีที่ลาสเวกัส มีสาวเอเชียให้พุธช่วยถ่ายรูปให้ พุธก็จัดการถ่ายให้เสร็จก็คืนกล้องเขาไป เขากล่าวขอบคุณ เจ้าพุธก็เฉยๆไม่พูดไม่จา เจ้าพุธถูกพ่อเขาส่งไปเรียนภาษาอยู่ ผมก็เลยบอกเขาว่า สาวๆเขาส่งไมตรีมาแล้วทำไมไม่พูดกับเขาล่ะ ถ้าเขาพูดมาแล้วเราฟังไม่รู้เรื่อง ให้พูดคำว่า ไอ แอม โคเรี่ยน เจ้าพุธงงว่าทำไมให้พูดคำนั้น ผมก็บอกว่าที่ให้พูดอย่างนั้น ก็เพราะไม่ทำให้คนไทยเสียหาย ฮา….เจ้าพุธหัวเรางอหาย…
เราใช้เวลาประมาณ ๔๕ นาที ก็มาถึงแอล.เอ. ลงจากเครื่องมา ก็เจอคริสมายืนยิ้มเผล่อยู่แล้ว ผมพูดถึงคริส เขาทำงานอยู่กับอัยการลอสแองเจลิส หน้าตาเป็นฝรั่งเพราะคุณพ่อเป็นฝรั่ง ส่วนคุณแม่เป็นมังคุด เอ๊ย..เป็นคนไทย แฮ่ๆ..พูดไทยน้ำไหลไฟดับเพราะเรียนชั้นมัธยมที่เมืองไทย คริสเอารถกระบะมารับ รถของคริสเป็นกระบะโตโยต้าตอนครึ่ง รุ่นทุนดรา เครื่องวี๘ เหมือนกัน รถกระบะและรถอเนกประสงค์ที่นี่เครื่องแรงกว้างใหญ่กว่าบ้านเรามาก คริสพาเรามาที่บ้านเอาของลงแล้วพาไปทานอาหารที่ร้านอาหารไทยเทวา กินเนื้อผัดกระเพราไข่ดาว ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ซี่โครงหมูทอดกระเทียมพริกไทย ไก่สะเต๊ะ อร่อยไม่เลวเลยทีเดียว อิ่มจนจุกเพราะเท่ากับเรากินข้าวผัดกระเพราร้านตามสั่งสองจานพูน อิอิ..พุงหลามเลย..
จากนั้นก็พากันกลับที่บ้าน ฝนทำท่าจะตกคริสเห็นท่าทางพวกเราจะเพลียก็เลยบอกให้ไปนอน ผมหลับไปประมาณสองชั่วโมงได้ ได้ยินเสียงคุยกันอยู่ข้างล่างเลยลงมาดูปรากฏว่าแฟนคริส (ซูซาน) มาเตรียมอาหารอยู่ในครัว กับเพื่อนคริส ก็เลยนั่งโม้คุยกันซดเบียร์กัน คุยกันไปทำบาร์บีคิวกันไปจนกระทั่ง ๕ โมงเย็นก็มีโทรศัพท์มาถึงคริส สักพักหนึ่งคริสบอกว่าสตีฟ คูลลี่ อัยการสูงสุดของลอสแองเจลิส มาร่วมดินเนอร์กับเราไม่ได้เพราะทางดาวทาวน์ฝนตกและคูลลี่ต้องไปอีกงานหนึ่งตอน ๑ ทุ่มจะไปไม่ทัน แต่มีเพื่อนบ้านของคริสมาแทนชื่อแดนเป็นพนักงานดับเพลิง ซึ่งคริสบอกว่าเป็นงานสบาย วันๆไม่ต้องทำอะไรขัดแต่ท่อเพราะไม่ค่อยมีไฟไหม้ อาชีพนี้สาวๆชอบเพราะมีเวลาให้กับเธอเหลือเฟือ
อาหารมาแล้วเป็นสเตคที่เพื่อนคริสทำอยู่ข้างบ้านอร่อยมาก ครู่หนึ่งคริสบอกว่าจะมีรองอธิบดีกรมสืบสวนสอบสวนพิเศษของที่นี่มาร่วมดินเนอร์กับพวกเราด้วยและเป็นพ่อตาของเพื่อนคริส คุยกันสนุกสนาน อ้วนแซวเพื่อนคริสว่า เดี๋๋ยวพ่อตายูมาถึง ยูจะต้องเรียบร้อยเหมือนลูกเขยคนไทยหรือเปล่า เพื่อนคริสหัวเราะแล้วส่ายหน้า เฮฮากัน พออิ่มก็ย้ายเข้าไปนั่งร้องเพลงอยู่ในบ้าน คริสเล่นกีตาร์ ผมร้องมั่งคริสร้องมั่ง เพื่อนคริสบอกว่าพ่อตาเขาเป็นพี่เลี้ยงลูกเขาด้วย คริสบอกว่าเพื่อนเขาคนนี้ไม่กลัวพ่อตาหรอก เขาแซวพ่อตาเป็นประจำอยู่แล้ว พอพ่อตาร้องเพลงเอลวิสคนละคีย์กับที่คริสเล่น เขาแซวพ่อตาว่า โอ..หยุดเหอะๆ ปวดหัว ฮา… พ่อตาเขาหัวเราะยกหัวแม่มือหันมาทางเราแล้วหัวเราะกับลูกเขยสนุกสนาน นั่งกันอยู่พักหนึ่งก็แยกย้ายกันเข้านอนประมาณตีหนึ่ง
๒๗ ต.ค.๔๗
วันนี้จะได้กลับบ้านเสียที คิดค่าใช้จ่ายกันแล้ว ผมต้องจ่ายอ้วนอีก ๒๐๐ เหรียญ เป็นค่าตั๋วเครื่องบินนอกเส้นทางราชการสองตอนเสียหกร้อยกว่าเหรียญ ค่าเที่ยวรวมค่าที่พักต่อคนประมาณ ๗๐๐ เหรียญ เพราะเราเช่ารถ ๗ วันได้เที่ยวในสถานที่ที่ใฝ่ฝัน คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายแล้ว
เช้านี้คริสทำกับข้าวให้เรากินคือ หุงข้าว เอาไส้กรอกมาย่าง แล้วทำไข่เจียวนานๆทำที ค่อนข้างเค็มแต่ก็หมด คริสมาส่งที่สนามบินเจอพี่สถิต เจ้าหน้าที่กงสุลไทยมารออยู่แล้วเอาหนังสือพิมพ์มาให้มีรูปพวกเราด้วย เขาถ่ายตอนผมใส่แว่นก็เลยดูแก่ ทั้งๆที่ความจริงผมยังหนุ่มอยู่นะ ขอบคุณพี่สถิตย์ร่ำลากันเรียบร้อย ขอบคุณคริสที่ให้เรานอนบ้านและทำกับข้าวให้กิน และพาไปเลี้ยงอาหารนอกบ้าน ๑ มื้อ มีโอกาสเมื่อไรเราจะตอบแทนบุญคุณ กล้องถ่ายรูปผมเมมโมรี่หมดทั้งที่เอาไปจากเมืองไทยและที่ซื้อใหม่จึงไม่ค่อยมีภาพช่วงสุดท้ายในอเมริกา
บนเครื่อง เรานั่งหลับบ้าง ดูหนังบ้าง ขอไวน์ดื่มบ้าง ลุกขึ้นบิดขี้เกียจบ้าง กว่าจะถึงเมืองไทยก็เมื่อยไปทั้งตัว การเดินทางครั้งนี้เป็นสุดยอดประสบการณ์ในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง หลังจากในปี ๒๕๑๓ ตอนอยู่ ม.ศ.๓ ได้เป็นหัวหน้าหมู่ลูกเสือของโรงเรียนอำนวยศิลป์พระนคร ไปเข้าค่ายลูกเสือฉลอง ๖๐ ปีลูกเสือสิงคโปร์ ที่ประเทศสิงค์โปร์ จากนั้นในปี ๒๕๑๙ ตอนอยู่ปีสามรามคำแหง ไปเป็นหัวหน้าคณะนักเรียนไทยไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของสโมสรไลออนส์ที่ประเทศญี่ปุ่น หลังจากนั้นอีกก็ไปเที่ยวปีนังกับอัยการจังหวัดไชยา พอย้ายไปอยู่ภูเก็ตก็ไปเที่ยวปีนังกับคณะอัยการจังหวัดภูเก็ตอีกครั้ง ไปช่วยเหลือทางกฎหมายแก่แรงงานไทยในสิงคโปร์ จากนั้นก็ไปเมืองจีนตอนเข้าโรงเรียนอัยการจังหวัด แต่ที่ได้ความรู้เรื่องเมืองจีนมากที่สุดก็ตอนไปกับท่านอัยการสูงสุดไปศึกษาดูงานตามเส้นทางสายไหม แล้วว่างๆจะมาเล่าให้ฟังพร้อมภาพสวยๆอีกครับ..อิอิ
ผมไปเที่ยวที่ไหนก็มักถ่ายภาพเรื่อยเปื่อยก็เลยขอเอาภาพที่ถ่ายนก/ถ่ายดอกไม้/ถ่ายวิวแปลก จิปาถะมาฝากกันก่อนลาบันทึกนี้ครับ
ดอกไม้แถวแอล.เอ.
ที่โรงถ่ายยูนิเวอร์แซล
ที่ซานฟรานซิสโก ที่เห็นแท่งสีแดงคือสายเคเบิ้ลยึดสะพานซานฟราน
นกแถวท่าเรือ ๓๙ ซานฟรานซิสโก
รถไฟอลาสก้าและจุดชมปลาแซลมอน
ทิวทัศน์อลาสก้า
พบกันใหม่ตอนไปเที่ยวเมืองจีนตามเส้นทางสายไหมนะครับ
2 ความคิดเห็น
จะตามไปอ่านเที่ยวเมืองจีนอีกค่ะ
สังเกตว่าพี่ฑูรไม่ค่อยมีรูปสาว ๆ ไม่เหมือนพี่ตึ๋งกับพ่อ 5555555
ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ฮ่าๆ