บันทึกถึงลูกชาย(๖)

โดย อัยการชาวเกาะ เมื่อ 18 เมษายน 2009 เวลา 22:56 ในหมวดหมู่ ครอบครัว, เรื่องทั่วไป, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 1238

๓๐ กันยายน ๒๕๒๖

เราย้ายมาอยู่เอกมัยแฟลตตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว ค่าเช่าเฉพาะค่าห้อง ๑,๘๐๐ บาท ค่าน้ำ ค่าไฟ ต่างหาก พ่อกลุ้มอยู่ทุกวันเพราะพ่อมีภาระค่าใช้จ่ายเยอะและเป็นที่แน่นอนว่าแต่ละเดือนเราไม่ค่อยพอใช้แต่พ่อก็จำเป็นต้องย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะต้องการให้ลูกสบายขึ้น นอกจากนี้แม่ของลูกจะได้สบายใจขึ้น แม่ทนสภาพที่เราอยู่ที่พรานนกไม่ได้เพราะสกปรก แต่พ่อเคยผ่านชีวิตแถวพรานนกมาก่อนจึงทนได้ เพื่อลูกและแม่พ่อจึงต้องยอมย้ายมาอยู่ที่เอกมัย คุณปู่ว่าพ่อไม่คิดให้ดีเสียก่อนที่พาลูกและแม่มาอยู่กรุงเทพฯ พ่อคิดถึงความรักและความอบอุ่นที่ลูกต้องการมากกว่าจะคิดถึงความยากลำบาก จึงต้องหอบลูกและแม่มาด้วย ทั้งๆที่หากลูกและแม่อยู่ที่ตะกั่วป่าเงินเราก็พอใช้ แต่นั่นหมายความว่าพ่อจะพบลูกและแม่ได้เพียงเดือนละครั้งซึ่งแม่ของลูกอ่อนแอเกินไปที่จะยอมรับสภาพเช่นนั้นได้ และลูกก็คงไม่ได้รับความอบอุ่นเพียงพอ และนี่คือเหตุผลที่พ่อต้องพาลูกและแม่มาอยู่กรุงเทพฯด้วยกัน ซึ่งพ่อสังเกตดูลูกชอบสภาพแบบนี้มากกว่า คือสภาพที่ได้อยู่กันพร้อมหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ลูกก็ต้องทำตัวให้สมกับที่พ่อรักนะ..

๘ ตุลาคม ๒๕๒๖

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ลูกเป็นฝีที่คางจนดูคางโย้ไปข้างหนึ่ง ตอนแรกหัวฝียังไม่โผล่ คางลูกแดงจัดนอนร้องไห้ ไม่ยอมให้ถูก พอหัวฝีเริ่มโผล่ แม่ก็จัดการให้เรียบร้อย วันแรกหนองออกมาไม่มากแตะก็ไม่ได้ ลูกบอกว่า “เจ็บ” พอวันที่สอง พ่อให้ลูกดูกระจก ตอนนั้นหัวฝีเริ่มออกมาบ้างแล้ว ลูกคงไม่ค่อยเจ็บ พ่อกดเบาๆหนองก็ออกมาลูกดูกระจกหัวเราะชอบใจที่เห็นหนองไหลออกมา พ่อเอากระดาษทิชชู่ดึงหัวฝีออกมายาวยืดจนเห็นเป็นรูโบ๋ที่คางลูก หลังจากนั้นคางลูกก็เริ่มยุบ จนวันนี้ก็เป็นปกติเพียงแต่ยังมีรอยแดงๆอยู่ที่คางลูกบ้าง แต่ลูกก็หายดีแล้ว กดไม่เจ็บแต่ยังแข็งเป็นไตอยู่ วันนี้พ่อพาลูกไปเที่ยวพระโขนงลูกจะเอาลูกบอล พ่อซื้อให้แล้วมาหาซื้อเสื้อผ้าให้น้องนิว ซื้อเสร็จลูกเฉย พอพ่อเดินมาสัก ๒-๓ ก้าว ลูกบอกว่า “เนติ์ยังไม่ได้…” พ่อจึงต้องพากลับไปซื้อเสื้อผ้าให้ลูกอีกชุดหนึ่ง เฮ้อ!..ไอ้ลูกคนนี้

๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๖

ตอนนี้หน้าซอยที่เราอยู่น้ำท่วมถึงเข่าพ่อ ลูกชอบเดินตามพ่อและชอบลุยน้ำตื้นๆ ลูกคลายความกลัวน้ำลงไปมาก ชอบชวนให้พ่อพาลงไป “เดินน้ำ” ชอบดูรถวิ่ง เรือวิ่ง ลูกชอบเถียงพ่อแม่ เวลาห้ามอะไรลูกไม่ฟัง ยังดื้อจะทำอีก จนต้องลงไม้ลงมือ พอร้องไห้ลูกจะยอมนอน เป็นอย่างนี้ทุกวัน ลูกชอบเขียนหนังสือ เวลาพ่อนั่งทำงาน ลูกจะทำมั่ง ขอกระดาษ ปากกาเสียให้วุ่นไปหมด เมื่อวานพ่อซื้อหนังสือให้ ๓ เล่ม ไว้ให้ลูกลงสี ซื้อสีเทียนมาด้วย ไว้ให้ลูกหัดเขียน ๑ เล่ม หัดสังเกตอีก ๑ เล่ม ซื้อหีบเพลงปากให้ลูก ๑ อัน

หีบเพลงมากนี้พ่อจำได้ สมัยพ่อยังเล็ก พ่อชอบเล่น แต่ตอนนั้นมีป้านวล ก้อน้อย แล้ว แต่ปู่ซื้อมาสองอันไม่พอ จนต้องแย่งกันร้องไห้กันมั่วไปหมด ย่าทนไม่ได้เอามาสับ ๒ ท่อนแบ่งให้คนละท่อน ฮา… เวลาพ่อซื้อหีบเพลงปากเลยต้องซื้อไว้ ๒ อันเผื่อน้องนิวด้วย ปรากฏว่าน้องนิวยังเล่นไม่เป็น ลูกเล่นเป็นแล้วแต่ยังไม่เป็นเพลง แต่ก็ทำท่าว่าจะเป็นนักดนตรีคนเก่งของพ่อ นักวาดเขียนคนเก่งของพ่อ และนักอ่านหนังสืออย่างพ่อ เวลาพ่อแก่แล้วลูกซื้อหนังสือไว้อ่านแล้วเอาให้พ่ออ่านเหมือนอย่างที่ปู่เคยซื้อหนังสืออ่าน พ่อก็ชอบอ่าน เวลาซื้อมักจะเหมือนกัน ตอนหลังปู่ไม่ค่อยซื้อไว้คอยอ่านที่พ่อซื้อ จนหนังสือพ่อเต็มไปหมด ถ้าได้อยู่พังงา พ่อจะทำหิ้งวางหนังสือให้เต็มห้องเลยเชียว..

๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๖

พ่อไม่ได้บันทึกให้ลูกเสียหลายวัน นี่ก็เป็นเดือนธันวาคมแล้ว พ่อกำลังอบรมภาควิชาการ ของกรมอัยการอยู่ ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตี ๖ เช้า กลับถึงบ้านก็ประมาณ ๑ ทุ่ม เวลาจะได้เจอกับลูกเล่นกับลูกก็น้อย ประกอบกับพ่อเหนื่อยจากการเดินทางที่เจอฝุ่นระยะทางหลายกิโล ก่อนจะถึงสถานฝึกอบรมที่บางบอน เล่นเอาเส้นผมแข็งเลย วิชาการที่อบรมก็สนุกดี

ก่อนหน้าอบรม พ่อไปเข้าสัมมนาอาจารย์สอนเสริมของมหาวิทยาลัยสุโขทัย ธรรมาธิราช ที่อ.สามพราน จ.นครปฐม สนุกมาก พ่อดีใจเพราะผู้ที่จะเป็นอาจารย์สอนเสริมได้นั้นจะต้องเป็นผู้มีความรู้ระดับชั้นปริญญาโทหรือเทียบเท่า หรือเป็นผู้ที่มีความรู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้นๆและสภามหาวิทยาลัยรับรองความรู้ความสามารถและต้องมีประสบการณ์ด้วยอย่างน้อย ๑ ปี เมื่อพ่อเข้าสัมมนามีความรู้สึกว่าเราเป็นระดับด้อยที่สุดของเขา เพราะที่เป็นอาจารย์สอนเสริมนั้นเป็นพวก รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ มหาบัณฑิต ส่วนพ่อเป็นแค่อัยการผู้ช่วยแต่ยังได้รับเกียรติให้เป็นอาจารย์สอนเสริมมันก็น่าภูมิใจไม่น้อย ใช่ไหมล่ะ

ทุกวันนี้พ่อต้องศึกษาตำราเพื่อจะไปสอนในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ๒๕๒๗ ก็ดีกว่าอยู่เปล่าๆนั่นแหละ สำหรับลูกในช่วงนี้เริ่มสมบูรณ์ขึ้นทานอาหารได้เยอะ สนใจอยากเรียนรู้จนของพ่อพังเป็นชิ้นๆก็เพราะลูก รถบรรทุกน้ำมันที่ปู่ซื้อมาฝากก็พังไปเรียบร้อยแล้วด้วยฝีมือของลูกอีกเช่นกัน ปืนของลูกก็เหลือแต่ด้าม นาฬิกาพ่อก็กระจกแตกยังไม่ได้ซ่อม

ลูกขยันเรียน ชอบเขียนหนังสือ พ่อดีใจที่ลูกชอบอย่างนี้ คิดว่าต่อไปลูกจะเป็นเด็กที่รักที่จะอ่านหนังสือเหมือนพ่อ สนใจค้นคว้า ปรับปรุงตัวเองจากความรู้ที่ได้รับจากหนังสือ อันจะทำให้คนอยู่ใกล้ชิดลูกได้พลอยชื่นชมยินดีไปกับลูกด้วย พ่อก็ได้แต่หวังว่าลูกจะเป็นเด็กดี โตขึ้นก็เป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีเหตุผล เป็นที่รักของคนทั่วไป

อยู่ที่ลูกเท่านั้นที่จะทำได้หรือไม่….

Post to Twitter Post to Facebook

« « Prev : บันทึกถึงลูกสาว๒

Next : บันทึกถึงลูกสาว๓ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "บันทึกถึงลูกชาย(๖)"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.39602994918823 sec
Sidebar: 0.25200009346008 sec