บันทึกถึงลูกสาว๒
อ่าน: 3185ก่อนลูกสาวผมคลอด ระหว่างรอคุณแอ๊ดปวดท้องเข้าห้องคลอด ผมก็ถือโอกาสบันทึกเรื่องราวการรอคอยลูกสาวคนนี้ ดังนี้ครับ
ลูกครบกำหนดคลอดตั้งแต่วันที่ ๒๐ พ.ย.๒๕ แต่ถึงวันเข้าจริงๆลูกก็ยังไม่อยากออกมาดูหน้าแม่-พ่อ จนถึงเมื่อวานนี้ ตอนหัวค่ำ แม่บอกพ่อว่ามีมูกเลือดออกมาและก็พอดีฝนตก ไฟฟ้าดับ รถของพ่อก็ยังซ่อมไม่เสร็จจึงต้องไปยืมรถของผู้จัดการบริษัทไทยประกันชีวิตให้ช่วยเพื่อเอารถไปตามลุงอ้น และให้ลุงอ้นไปตามป้านวล แล้วพ่อก็ขับรถของผู้จัดการเอามาคืน รอลุงอ้น ป้านวล แล้วให้ลุงอ้นพาพ่อกับแม่ไปโรงพยาบาล ปรากฏว่าเรามาถึงตึกคลอดเป็นเตียงแรก พอตกดึกก็เพิ่มอีก ๓ คนและผลปรากฏว่าคนที่มาทีหลัง ๓ คน คลอดเสร็จหมดแล้วยังเหลือแม่เพียงคนเดียวตามเดิม
ในตอนเช้า ทั้งหมอและพยาบาลก็คาดกันว่า ลูกคงจะคลอดราว ๑๐-๑๑ โมง ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลานั้น ลูกก็ยังไม่คลอด แต่ก็เริ่มอาละวาด พอตกเที่ยง หมอก็เข้ามาตรวจดูอาการแล้วบอกว่า ราวบ่ายๆ ปรากฏว่าพ่อก็รออีก ลูกก็ยังไม่คลอด หลังเที่ยงมีคนมารอคลอดอีกคน พอตอนบ่ายติดตอนเย็นก็คลอด แต่ไม่ใช่แม่หรอก คนที่มาหลังสุดนั่นแหละคลอดก่อนอีก…ผลปรากฏว่า ๔ รายที่มาตึกคลอดหลังแม่ เขาได้ลูกชาย ๒ คน ลูกสาว ๒ คน แต่ลูกจะเป็นหญิงหรือชายก็ยังไม่รู้ เราก็ต้องรอกันต่อไป แต่แม่ของลูกก็เจ็บขึ้นเรื่อยๆ ก็พอมีเค้าว่าจะคลอดในคืนนี้ พ่อเองได้นอนจากเมื่อคืนจนถึงขณะที่เขียนบันทึกนี้ ได้นอนไม่เกินสี่ชั่วโมง จาก ๒๔ ชั่วโมง ก็รู้สึกง่วงซึมไปบ้างเหมือนกัน ถ้าให้โอกาสพ่อหลับ ก็คงหลับปุ๋ยไปนานแล้ว
พ่อเริ่มบันทึกต่อเป็นเวลา ๐๔.๒๐ น. ของวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๒๕ เพราะแม่ต้องเข้าผ่าตัดทำคลอด ขลุกขลักอยู่นิดหนึ่งตรงที่ต้องหาเลือดกรุ๊ฟเอ หาลุงอ้น เอามาเช็คปรากฏว่าเป็นกรุ๊ฟบี ของลุงอ๊อดเป็นกรุ๊ฟบี เลยลองดูของน้าน้อยและของป้าหงวด ปรากฏว่าเป็นกรุ๊ฟเอ เลยได้มา ๒ ขวด หมดปัญหาไป ปรากฏว่าลูกออกจากท้องแม่เมื่อเวลา ๐๓.๑๓ น. ออกมาแล้วก็ต้องพาลูกมาล้างตัวที่ตึกสูติกรรม ส่วนแม่อยู่ที่ตึกผ่าตัด ขณะที่พ่อนั่งบันทึกนี้ แม่ยังอยู่ในห้องผ่าตัด เพราะหมอทำผ่าตัดไส้ติ่งไปพร้อมกันทีเดียว ใช้เวลาในการผ่าตัดทำคลอด ทำหมัน ตัดไส้ติ่ง ๒ ชั่วโมงพอดี
เมื่อพาแม่กลับมายังตึกสูติกรรมชั้นบน ปรากฏว่าเล็บมือเล็บเท้าของแม่เริ่มเขียวเพราะขาดออกซิเจน พ่อรีบไปตามพยาบาล คุณหมอกับพยาบาลที่ช่วยผ่าตัดทำคลอดแทบทุกคนก็รีบมาดูอาการของแม่ด้วยความเป็นห่วง ในที่สุดก็ต้องให้ออกซิเจน ช่วยให้แม่หายใจ แต่ตอนนั้นแม่มีอาการหนาวสั่น ต้องใช้กระเป๋าน้ำร้อนถึง ๓ ใบช่วยประคบจนแม่หายเป็นปกติ มีแต่อาหารปวดแผลทั้งภายนอกและภายใน จนเวลา ๙ โมงเช้าพ่อถึงได้กลับบ้านไปนอน สั่งความให้ลุงอ้นไปช่วยซื้อของ และให้ป้านุ้ยไปช่วยดูแลแม่แทน แล้วก็หลับไม่รู้สึกตัวว่าลุงอ้นกลับมาบ้านเมื่อไร และป้านุ้ยไปโรงพยาบาลตอนไหน มารู้สึกตัวเอาราวเที่ยง
ผมจบบันทึกของวันที่ ๒ ธ.ค.ไว้แค่นี้ แต่ที่ผมไม่ได้บันทึกไว้ในบันทึกเล่มนี้ก็คือ การที่คุณแอ๊ดต้องเข้าผ่าตัดเพราะน้องนิวอยู่ในท่าขวาง จำเป็นต้องผ่าตัด คุณหมอก็มือใหม่แต่มีความปรารถนาดีที่มาช่วยดูแลทำคลอดให้ เพราะคุณหมอที่คุณแอ๊ดฝากท้องมีความจำเป็นต้องไปเข้าร่วมประชุมที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างนั่งรอการผ่าตัด ความจริงผมได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูการผ่าตัดก็ได้ แต่ผมคิดว่าไม่ควรเข้าไปวุ่นวายดูอยู่ข่างนอกก็พอเพราะเป็นห้องกระจก แต่คิดว่าแค่นี้ก็ได้ภาพวินาทีสำคัญแล้ว แต่ก็เกิดเหตุที่กล้องมีปัญหาดังที่เล่าให้ฟัง หลังจากนั้นผมนั่งคุยกับพี่พยาบาลว่า “พี่ ที่นี่เคยลืมของในท้องคนไข้บ้างไหม” พี่เขาบอกว่า “ไม่เคยมีเลยน้อง แต่ถ้ามีของน้องแอ๊ดจะเป็นคนแรก” แล้วเราก็หัวเราะกันสนุกสนาน
หลังจากคลอดสองสามวัน คุณแอ๊ดก็เริ่มมีอาการท้องอืด ต้องสวนสายยางทางจมูกลงไปดูดน้ำออกมา หลังจากนั้นอีกวันสองวันคุณแอ๊ดบอกผมว่าผิดสังเกตที่ลิ้นปี่ให้ผมเอามือคลำดู ผมรู้สึกเหมือนกับมีอะไรหยาบติดอยู่ คุณแอ๊ดเริ่มมีอาการไข้ จึงปรึกษากับหมออาวุโส ท่านสั่งเอกซ์เรย์ ในที่สุดก็พบว่ามีผ้าก็อซค้างอยู่ข้างใน ผมทราบข่าวขณะที่กำลังว่าความอยู่ คุณหมอที่ทำคลอดโทร.มาขอโทษ บอกว่าจำเป็นต้องผ่าตัดซ้ำ ผมบอกว่าจัดการได้เลยครับคุณหมอ ผมจะไปเซ็นอนุญาตเดี๋ยวนี้เลย แล้วก็ขออนุญาตศาลเลื่อนคดี บึ่งไปโรงพยาบาล ทราบว่าคุณหมอไม่ยอมทานข้าวด้วยความเสียใจ ผมไปพบคุณหมอบอกกับคุณหมอให้กำลังใจว่าคนเรามันผิดพลาดกันได้ ผมทราบดีว่าคุณหมอไม่ได้ตั้งใจขอให้สบายใจได้ผมไม่เรียกร้องใดๆทั้งสิ้น
ผมไม่ได้บันทึกเรื่องนี้ลงในบันทึกเล่มนั้น เพราะไม่อยากให้คนที่เข้ามาอ่านมีความรู้สึกไม่ดีต่อการทำงานของหมอและพยาบาล แต่ที่มาเขียนที่นี่ก็เพราะเห็นว่าหมอและพยาบาลถูกฟ้องร้องกันเยอะเหลือเกิน ด้วยเข้าใจว่าหมอและพยาบาลต้องรับผิดชอบหากรักษาพ่อแม่ญาติพี่น้องเขาให้หายไม่ได้ รวมไปถึงกรณีเกิดความผิดพลาดในการรักษาพยาบาลจนทำให้คนไข้ย่ำแย่ ถ้าเหตุเกิดจากความไม่ใส่ใจรักษาผู้ป่วยผมเห็นด้วยกับการเรียกร้องค่าเสียหาย แต่กรณีไม่ได้ตั้งใจเพราะขาดประสบการณ์ หรือเพราะจำเป็นต้องรักษาไปเนื่องจากไม่มีทางเลือกแม้จะรู้ว่าต้องเสี่ยงก็ตาม กรณีเช่นนี้ ไม่ควรที่จะให้หมอถูกฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายหรือถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานกระทำโดยประมาทฯเลยแม้แต่น้อย เพราะเขามีจิตวิญญาณของความเป็นหมอและพยาบาลที่แท้จริง ผมไม่ฟ้องเรียกค่าเสียหายด้วยความเข้าใจหมอและพยาบาล จนกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน จนเดี๋ยวนี้เขากลายเป็นหมอที่มีชื่อเสียงแล้ว
ผมถอดบทเรียนได้ว่า คนเราผิดพลาดกันได้ แต่ต้องเอาความผิดพลาดเป็นบทเรียนเพื่อให้เกิดความระมัดระวังจะได้ไม่ทำผิดซ้ำ…..
5 ความคิดเห็น
ท่านอัยการมีน้ำใจประเสริฐมากเลยค่ะ
ความผิดพลาดในห้องผ่าตัดเรื่องลืมกอซ มักเกิดตอนที่เจอรายเร่งรีบหรือฉุกเฉินหรือว่ามีหลายรายรออยู่ต้องรอใช้ห้องด่วนๆ หรืออาจะเกิดจากความเคยชินมากไปจนละขั้นตอนไปอย่างคาดไม่ถึงค่ะ
สมัยก่อนพยาบาล cir (circulation nurse) คือคนที่มีหน้าที่หยิบของ จดบันทึก (ไม่ใช่คนที่แต่งชุดเข้าร่วมทีมผ่าตัดกับแพทย์) ในห้องผ่าตัดจะใช้กระดานขีดนับผ้ากอซที่ยื่นส่งเข้า field (คือเราเรียกอาณาบริเวณการผ่าตัดที่ต้องสะอาดปราศจากเชื้อว่า field sterile ) และประสานงานกับพยาบาลที่เข้าร่วมทีมผ่าตัดในการนับผ้าและอุกรณ์ที่ใช้ เรียกว่าเป็นพยานกันและกัน ถ้าเป็นกอซจะต้องได้จำนวนนับเท่ากับผ้ากอซที่ใช้แล้วหรือไม่ใช้แต่ส่งคืนกองไว้ ก่อนจะปิดหน้าท้องจะต้องให้พยาบาล cir ขานนับผ้าว่าครบก่อนศัลยแพทย์ถึงจะปิดหน้าท้องได้ วิธีนี้จะพลาดน้อย และไม่ว่าจะมี cir ที่คนก็จะต้องลงบันทึกผ้าแบบเดียวกันหมด แต่ถ้าเร่งรีบ อย่างคนไข้อาการวิกฤต บางทีพยาบาล cir ทำหลายหน้าที่ก็จะหลุดได้ ที่หลุดมักเป็นการใช้กอซชิ้นเล็ก ไม่ใช้ชิ้นใหญ่ที่แพกหรือซับเวลาลงมีด..สมัยก่อนการลงมีดเสียเลือดทำให้ใช้ผ้ามากและก็เกิดจุดนี้ได้ด้วย..สมัยนี้ลงมีดแทบจะไม่เสียเลือดเลยค่ะ
แต่อ่านคุณหมอออกมารับเพราะเป็นหัวหน้าทีมก็ขอชื่นชมคุณหมอด้วยค่ะ เพราะหัวหน้าทีมก็จะต้องมีหน้าที่รอการขานนับด้วยถ้าพลาดไปจุดใดจุดหนึ่งก็จะเกิดความหลุดด้วยกันหมด
เป็นการเรียนรู้จริงๆค่ะ ขอบคุณที่ท่านอัยการเอามาเล่าไว้นะคะ…
อุ้ยครับ
ความผิดพลาดเกิดขึ้นเพราะหมอมือใหม่ เวลาผ่าตัดไม่ถนัด พยาบาลบอกแล้วว่าเวลายัดผ้ากอซให้เอาชายขึ้น แต่หมอบอกว่ามันเกะกะ ก็เลยใส่ลงในช่องท้องทั้งผืนใหญ่ ใครจะนึกว่าลืมผ้ากอซผืนใหญ่ครับ แต่ผมอยากจะเป็นตัวอย่างว่า ขนาดผมขณะนั้นเป็นทนายความ ผมยังไม่คิดฟ้องร้องแพทย์และพยาบาลเลย เพราะเขาช่วยทำคลอดด้วยเจตนาดี คนเราปัจจุบันนี้ ทุนนิยมเต็มตัว ความคิดเรื่องคุณธรรมจริยธรรม บุญคุณ ความดีงาม มันน้อยลงไปเรื่อยๆ มีแต่คิดจะเรียกร้องเอาเงินกันอย่างเดียว จัดการให้มันติดคุกให้ได้ ซึ่งผมเห็นว่าหากหมอพยาบาลห่างไกลคุกออกมา เขาจะได้ตั้งหน้าตั้งตารักษาชีวิตมนุษย์ต่อไป เดี๋ยวนี้เด็กเลือกเรียนหมอน้อยลง เรียนกฎหมายมากขึ้น อีกหน่อยก็คงได้ฟ้องกันรกโรงรกศาลมากกว่านี้
อิอิอิ สธ.ไปต่อกฏหมาย มสธ.กันเป็นแถวเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆแบบนี้นะคะ ทำให้มีกำลังใจและเป็นตัวอย่างในการเล่าต่อได้อย่างดีเลย ^ ^
ขอบคุณน้องเบิร์ดที่แวะมาเยี่ยม
แล้วเบิร์ดเรียน มสธ.ด้วยหรือเปล่า อิอิ
Its like you read my mind! You appear to know a lot about this, like you wrote the book in it or something. I think that you can do with some pics to drive the message home a little bit, but instead of that, this is magnificent blog. An excellent read. I will definitely be back.
Cheap Uggs Boots Coach Diaper Bag Outlet Coach Mens Outlet Coach Outlet Purses.