นิเวศวัฒนธรรม การพัฒนาชุมชนแบบสี่ประสาน ๑

โดย bangsai เมื่อ 9 กรกฏาคม 2009 เวลา 10:46 ในหมวดหมู่ ชุมชนฅนฟื้นฟู, ชุมชนชนบท #
อ่าน: 6211

เกริ่นนำ: โครงการ “ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ในเขตปฏิรูปที่ดิน ด้วยการพัฒนาการเกษตรแบบผสมผสาน”(คฟป.) ได้ดำเนินงานที่ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหารผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว เมื่อมองย้อนคืนกลับไปตั้งแต่เริ่มโครงการ สามารถถอดบทเรียนได้หลายบท หลายแง่มุม ดังนี้

แนะนำลักษณะของโครงการโดยสังเขปดังนี้ คฟป. มีเป้าหมายหลักที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการ และรูปแบบการใช้ที่ดิน ให้มีลักษณะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืน เช่น ลดพื้นที่ปลูกพืชไร่เชิงเดี่ยวมาทำการเกษตรแบบผสมผสาน ในขณะเดียวกันก็มีการสร้างกลุ่มองค์กรชาวบ้านให้มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ลักษณะของงานประกอบด้วย สามภาคส่วนหลักๆคือกลุ่มงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การพัฒนาถนน และแหล่งน้ำ กลุ่มงานพัฒนาการเกษตร คือ การส่งเสริมการเกษตรแบบผสมผสาน และกลุ่มงานพัฒนาองค์กรชุมชน คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มองค์กรเกษตรกรให้สามารถประสานกันเป็นเครือข่ายประชาชน ต่อมาภายหลังได้มีการเพิ่มงานในด้านตลาดชุมชนขึ้นอีกด้านหนึ่ง ในแต่ละกลุ่มงานมีกิจกรรมย่อยๆมากมาย ตามความสนใจของเกษตรกรและจากผลการวิเคราะห์ชุมชน

เจ้าของงานได้แก่ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม ส่วนเจ้าของเงิน(กู้) ได้แก่ JABIC (Japan Bank for International Cooperation) เจ้าหนี้รายใหญ่ของเรานี่เอง ซึ่งมีเงื่อนไขในการใช้จ่ายเงินต้องมีที่ปรึกษาไปช่วยดูแล งานก็เลยมาเข้ามือที่ปรึกษาเราด้วยประการฉะนี้

กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาประกอบด้วย บริษัทจากประเทศเจ้าของเงิน และจากเจ้าของบ้านรวม ๔ บริษัท ทำสัญญากับเจ้าของงานในนามบริษัทร่วมค้า นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีผู้ร่วมงานในส่วนของเอ็นจีโอ ได้แก่ มูลนิธิหมู่บ้านซึ่งชักนำให้โครงการฯได้ทำงานร่วมกับเครือข่ายอินแปง และกองทุนสิ่งแวดล้อมโลกในเวลาต่อมา แน่นอนที่ต้องมีฝ่ายข้าราชการจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) มาทำงานร่วมด้วย ในระยะต่อมาเรายังมีทีมงานจากสถาบันวิจัยและพัฒนาสังคมมหาวิทยาลัยขอนแก่นมาช่วยทำงานอีกหน่วยงานหนึ่ง

พื้นที่และการบริหารองค์กร : พื้นที่โครงการตั้งอยู่ในเขต ส.ป.ก. ของจังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม สกลนคร และมุกดาหาร การบริหารงานในส่วนของที่ปรึกษา ในระยะเริ่มโครงการ การทำงานจะได้รับการวางกรอบจากสำนักงานที่ปรึกษาส่วนกลางซึ่งประกอบ ด้วยผู้เชี่ยวชาญมากๆทั้งจากญี่ปุ่นและคนบ้านเราเอง ในแต่ละจังหวัดมีสำนักงานที่ปรึกษาซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาองค์กร ด้านเกษตร และด้านวิศวกรรมอยู่ประจำ เพื่อคอยทำงานในส่วนรายละเอียด แต่การจัดองค์กรรูปแบบนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล เพราะคนที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ย่อมรู้สภาพจริงได้ดีกว่าผู้ที่วางแผนอยู่ที่ส่วนกลาง จึงมีการปรับองค์กรของที่ปรึกษาให้เหมาะสม ตัวผมเองได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาการเกษตรประจำจังหวัดมุกดาหาร ดังนั้นบทเรียนที่จะถอดออกมานำเสนอในต่อไปนี้ จะมาจากประสบประการณ์ที่ได้พบเจอในพื้นที่ทำงานจังหวัดมุกดาหารเป็นหลัก

พื้นที่ทำงาน พื้นเพของเกษตรกร : พื้นที่ทำงานของผมตั้งอยู่ติดกับเทือกเขาภูพาน สภาพพื้นที่มีที่ราบแคบๆริมลำน้ำห้วยบางทรายใช้เป็นที่นา และที่อยู่อาศัย พี่น้องชาวบ้านมีเชื้อสาย “โส้ หรือ กระโส้ หรือ ข่าโซ่” ที่ยังรักษาขนบประเพณีประจำเผ่าไว้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะภาษาพูดประจำเผ่าซึ่งอยู่ในตระกูลภาษามอญ-ขแมร์ ชาวโส้เรียกตัวเองว่า “กวย” แปลว่าคน พี่น้องชาวโส้ก็คือเผ่าเดียวกับชายกูยที่มีช้างเลี้ยงมากๆที่สุรินทร์นั่นเอง วิถีชีวิตของพี่น้องที่ดงหลวงยังคงพึ่งพิงป่าเป็นอย่างมาก ปัญหาข้าวไม่พอกินยังพบปรากฏอยู่ทั่วไป เนื่องจากพื้นที่ทำนามีน้อย พื้นที่ที่เคยปลูกข้าวไร่ก็ถูกประกาศเป็นเขตอุทยานฯ พี่น้องที่ขาดข้าวต้องหาเก็บของป่าเช่นหน่อไม้ ยอดหวาย นก หนู กระรอก บ่าง นำไปขอแลกเอาข้าวมากิน พี่น้องชาวโส้ดงหลวงเคยผ่านประสบการณ์การต่อสู้ทางการเมือง เคยทิ้งหมู่บ้านให้ร้างหนีเข้าไปเคลื่อนไหวอยู่ในป่าหลายปีก่อนที่จะกลับเข้ามาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง มีผู้นำชุมชนหลายร้อยคนที่เคยไปศึกษาด้านการเมือง การทหาร การแพทย์จากเวียดนาม และประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เรื่องอุดมการณ์แนวคิดจึงกว้างไกลกว่าชาวบ้านทั่วไปอยู่มาก

แรกๆก็ทำงานดุ่มๆไปตามแผน : โจทย์ที่ได้รับเมื่อแรกเริ่มเดิมที สำหรับงานหลักๆด้านพัฒนาการเกษตรตามที่วางแผนไว้ในระยะวางโครงการ ได้แก่การขุดสระเก็บน้ำในไร่นา แล้วไปส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกผักกาด ผักชี ผักนานาชนิดอยู่ที่ขอบสระ แต่ผลการทำงานสำหรับในพื้นที่มุกดาหารแล้วถือว่าประสบผลสำเร็จน้อยถึงน้อยที่สุด เพราะ

  • มีเกษตรกรมาเข้าร่วมโครงการ คือสมัครขอรับสระประจำไร่นาจำนวนน้อยมากไม่ถึงสามร้อยสระ(จากที่ตั้งเป้าไว้ ๑,๒๐๐ สระ อันนี้ก็ไม่ทราบว่าท่านใดเป็นผู้ตั้งเป้าและใช้เกณฑ์ใดมาตั้ง) พี่น้องชาวบ้านได้บอกเหตุ ผล ที่ไม่ยอมให้ขุดสระเนื่องจากพี่น้องมีพื้นที่นาเพียงแปลงเล็กๆ ไม่อยากเสียที่นาไปกับการขุดสระ พี่น้องอยากได้บ่อบาดาลมากกว่า
  • เกษตรกรที่ได้รับสระไม่ได้ปลูกผักบริเวณขอบสระตามแผนที่ได้วาดฝันกันไว้ ทั้งนี้พี่น้องได้บอกถึงสาเหตุที่ไม่ปลูกผักว่า “อยากปลูกผักอยู่แต่ดินขอบสระคุณภาพไม่ดีช่างขุดไม่ได้เอาหน้าดินมาใส่ข้างบนคืนให้” “พี่น้องไม่ได้ต้องการขุดสระไว้ปลูกผักแต่จะเอาน้ำไว้ทำนา” “ผักสามารถหาเก็บได้ตามป่าตามธรรมชาติมากมาย” “ปลูกแล้ววัวควายที่เขายังเลี้ยงกันแบบปล่อยทุ่งก็มากัดกินมาเหยียบย่ำ” ถอดบทเรียนได้ว่าในระบบนิเวศน์เชิงเทือกเขาภูพานที่ชาวบ้านมีที่ดินขนาดเล็ก มีอาหารตามธรรมชาติอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ การขุดสระประจำไร่นาแล้วให้ปลูกผักกินนั้นไม่ได้รับการยอมรับจากเกษตรกร

บทเรียนอันเนื่องมาจากการก่อสร้างถนน : พลาดไปเพียงคำเดียว สาเหตุมาจากมีงานก่อสร้างถนนเข้าหมู่บ้านสายหนึ่งที่ทางโครงการได้เปิดประมูลไปแล้ว และกำลังจะเริ่มการก่อสร้าง ประจวบกับว่าเส้นทางดังกล่าวได้รับงบประมาณจากโครงการ“พิเศษ” ซึ่งจะสร้างถนนให้ใหญ่กว่าพร้อมทั้งสร้างสะพานข้ามแม่น้ำให้ด้วย เมื่อเกิดการแย่งงานกันระหว่างผู้รับเหมาสองเจ้าขึ้นมาพี่น้องชาวบ้านก็ต้องเลือกอยู่ข้างที่มาสร้างของที่ดีกว่าให้แน่นอน เรื่องนี้งานเข้าตัวผมอย่างไม่นึกว่าจะพาตัวเองเข้าไปพัวพันด้วย เรื่องของเรื่องคือเผอิญเป็นคนรับโทรศัพท์จากท่านสมาชิกอบต.ประจำหมู่บ้าน ว่าพี่น้องจะรวมตัวประท้วงขับไล่ผู้รับเหมาของส.ป.ก.ไม่ให้สร้างถนน ความจริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนักพัฒนาการเกษตรอย่างผมที่จะไปรับรู้ แต่ในเมื่อต้องดูแลสำนักงานที่ปรึกษาแทนผู้จัดการฯ ก็พูดคุยสอบถามให้ได้ความ พร้อมทั้งรับปากว่าจะประสานฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ไปพบท่านภายในวันนี้ และสุดท้ายก็หลุดคำพูดออกไปว่า “ขอให้พี่น้องใจเย็นๆนะครับ ให้หน่วยงานเขาเจรจากันเอง ให้ผู้รับเหมาเขาหาข้อตกลงกันก่อน หากเราออกหน้าประท้วงกันอาจเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” ปรากฏว่าคำ “เครื่องมือ”ของผมกลายเป็นประเด็นขึ้นมากลบกระแสต่อต้านส.ป.ก.ไปเสีย เมื่อนักการเมืองประจำหมู่บ้านหยิบยกเอาคำพูดของผมไปแปลงเป็นว่า “อาจารย์เปลี่ยนหาว่าพวกเราตกเป็นเครื่องมือของคนอื่น” พร้อมทั้งประกาศตัวเป็นแกนนำในการต่อต้าน “อาจารย์เปลี่ยน” จะพากันไป “ฟ้องหมิ่นประมาท” ช่วงนั้นผมต้องใช้ “ความสงบสยบกระแส” ปล่อยให้ผู้จัดการสนง.ที่ปรึกษาผู้มีความเป็นเลิศในการไกล่เกลี่ยประนีประนอม ออกหน้าไปเจรจายุติปัญหาเรื่องการสร้างถนน ผ่านการช่วยเจรจาของท่านผู้จัดการ และการรับรองของกลุ่มผู้นำเครือข่ายไทบรู ปัญหาทั้งมวลก็แก้ไขได้ลุล่วง พ่อแม่พี่น้องชาวบ้านก็กลับมาต้อนรับขับสู้ผมเหมือนเก่า (ในขณะท่านผู้นำเหตุการณ์ในครั้งนั้นลงสมัครรับเลือกตั้งแล้วสอบตก) เรื่องนี้ถอดบทเรียนได้ว่า คำพูดเพียงคำเดียวอาจเป็นเรื่องได้หากถึงคราวเคราะห์

หมายเหตุ บันทึกนี้เปลี่ยนเป็นผู้เขียน ผมเห็นว่าน่าจะเอามาลงในบันทึก “ลานฅนฟื้นฟู” นี้ครับ

« « Prev : ขอข้าวหน่อยครับ..

Next : นิเวศวัฒนธรรม การพัฒนาชุมชนแบบสี่ประสาน ๒ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 Lin Hui ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 กรกฏาคม 2009 เวลา 10:59

    อ่านแล้ว เห็นแล้ว เข้าใจแล้ว ก็…….ไป …อิอิอิ  มันเป็นเช่นนี้เอง

  • #2 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 กรกฏาคม 2009 เวลา 9:47

    ครับอาม่า

  • #3 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 กรกฏาคม 2009 เวลา 8:33

    ชีวิตแต่ละคนผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมาย……….
    บางคนได้คิด  บางคนคิดได้ (ได้บ้างไม่ได้บ้าง) บางคนก็ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่เรียนรู้อะไร ?
    ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆที่มีความหมาย  อิอิ

  • #4 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 กรกฏาคม 2009 เวลา 15:54

    ขอบคุณแทนเปลี่ยนครับ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.44851684570312 sec
Sidebar: 0.41661095619202 sec