Empowerment ในโครงการพัฒนาชุมชน

9 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2008 เวลา 23:48 ในหมวดหมู่ ชุมชนฅนฟื้นฟู #
อ่าน: 3359

เมื่อวันอาทิตย์ปลายเดือนที่แล้ว ที่ผมไม่ได้มาร่วมงานชาว blog ในกรุงเทพฯตามคำชวนของป้าจุ๋ม เพราะผมต้องเป็นคนขับรถให้คนข้างกายตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปร่วมสัมมนาเรื่อง Local Communities: the Forces of Global Change ที่โรงแรมวีวัน นครราชสีมา เนื่องในงานเกษียณอายุราชการของ ดร.ปรีชา อุยตระกูล ผอ.ศูนย์ข้อมูลเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

เป็นการสัมมนาเล็กๆที่จัดเฉพาะคนวงในของ ดร.ปรีชาเท่านั้น ซึ่งมีทั้งนักวิชาการ นักธุรกิจท้องถิ่น ปัญญาชนท้องถิ่น ต่างสาขาอาชีพ เพียง 25 คนเท่านั้น ในจำนวนนี้มี ดร.ชัยอนันท์ สมุทรวาณิช ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย มาร่วมด้วย และมีโปรเฟสเซอร์ 3 ท่านจากมหาวิทยาลัยในประเทศออสเตรเลีย คือ Dr. Paul Battersby, Dr.Kett Kennedy และ Dr.Douglas Hunt ทั้งสามท่านเป็นอาจารย์สอนของดร.ปรีชา สมัยที่ท่านเรียนอยู่ที่นั่น

เป็นการสัมมนาที่น่าสนใจมากครั้งหนึ่งที่ผมได้เข้าร่วม เก็บความคิดมาต่อยอดหลายประการ หลายเรื่องก็ตอกย้ำประสบการณ์แนวคิดของผมเองจากการทำงานชุมชนมานาน บางเรื่องก็เป็นเรื่องพอรู้คร่าวๆไม่ลึกซึ้ง บางเรื่องก็ได้รับข้อมูลที่ลึกซึ้ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับหัวข้อที่ตั้งไว้ว่า ชุมชนหรือท้องถิ่นนี่น่ะสามารถเป็นพลังที่สำคัญในการปรับเปลี่ยนโลกได้..

สาระที่สำคัญคือ:

ความล้มเหลวของระบบทุนนิยมโลก: ปรากฏการณ์ต้มยำกุ้งมาจนถึงปรากฏการณ์แฮมเบอร์เกอร์ของอเมริกานั้นตอกย้ำให้นักการเงินต้องทบทวนองค์ความรู้และการพัฒนาระบบธุรกิจทั้งหมดใหม่ แต่ระบบโลกาภิวัฒน์ก็ยังขับเคลื่อนไปแต่จะปรับตัวอย่างไรนั้นเราต้องติดตามอย่างเท่าทัน

ไม่ปฏิเสธระบบโลกาภิวัฒน์แต่ทำอย่างไรที่จะไม่เป็นเบี้ยให้เขาดึงดูดทรัพยากรไปแต่ตรงข้ามเราจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไรต่อท้องถิ่น ในกรณีนี้พูดกันมากถึงเรื่อง พ่อค้ารายย่อยในท้องถิ่นกับ ห้างสรรพสินค้ารายยักษ์ใหญ่หลายยี่ห้อ ที่เราดูจะไม่สามารถต่อต้านเขาได้เพราะเงื่อนไขที่เราไปผูกไว้กับ ระบบการค้าโลกเสียแล้ว

ทุกคนยืนยันความมีอัตลักษณ์เอกลักษณ์ของระบบท้องถิ่น โลกได้หันกลับมาบริโภคเรื่องราวและความเป็นท้องถิ่นมากขึ้นและเป็นกลไกที่สำคัญของการไหลบ่าของการท่องเที่ยวที่ทำเงินเข้าประเทศมหาศาล แต่เราจะเท่าทันและเป็นตัวของตัวเองอย่างไร เราจะปรับตัวให้ก่อเกิดประโยชน์ได้อย่างไร เช่น กรณี Homestay ท่านอาจารย์ชัยอนันท์ยกกรณีเมืองหลวงพระบางที่ท่านไปแนะนำไว้ตั้งแต่หลังปฏิวัติสำเร็จ แต่รัฐมนตรีของเขาสมัยนั้นไม่เข้าใจ ตั้งใจจะพัฒนาให้เป็นแบบเมืองที่ทันสมัยที่เมืองใหญ่ทั่วไปทำกัน ท่านอาจารย์ยกประโยคที่คุยกับท่านรัฐมนตรีว่า …ท่านปฏิวัติสำเร็จแล้วจะพัฒนาเมืองหลวงพระบางให้เจริญก้าวหน้าแล้วให้ประชาชนลาวกลายมาเป็นเพียงพนักงานตัวเล็กๆในโรงแรมใหญ่ๆเท่านั้นหรือ…ทำไมไม่คิดพัฒนาความเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆของตัวเองเล่า……ต่อมาเขาก็ย้อนกลับไปใช้แนวทางที่ได้เสนอไว้ จนได้รับเป็นมรดกโลกในปัจจุบัน

สาระที่ถูกใจผมและตรงกับประสบการณ์ของผมมากก็คือ ท่านอาจารย์ชัยอนันท์ทบทวนคำพูดของ Dr. Hunt ที่กล่าว่าเมื่อหลายสิบปีที่ได้พบกับ ดร.ชัยอนันท์ นั้น ได้ถกกันถึงแนวคิดของชัยอนันท์ที่ว่าต้องยกระดับท้องถิ่นโดยให้คำว่า Capacity Building ซึ่ง Dr. Hunt ได้นำแนวคิดนั้นไปขยายต่อและนำไปใช้ปฏิบัติจริงๆ… จนเกิดการส่งนักศึกษาปริญญาโทและเอกมาศึกษาท้องถิ่นของสังคมไทยและแลกเปลี่ยนความรู้กันมาตลอด… อ.ชัยอนันท์เล่าความเป็นมาของคำนี้ว่า สมัยก่อนนั้นอาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ออกชนบท จมปลักอยู่กับวิชาการในมหาวิทยาลัยและมุ่งที่จะเติบโตในตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่ท่านเห็นตรงข้ามและออกตระเวนท้องถิ่น และใช้ศักยภาพของท่านเร่งพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นมากมาย และท่านเป็นคนแรกๆที่กล่าวว่าต้องกระจายอำนาจและงบประมาณสู่ท้องถิ่น….

สาระตรงนี้ก็คือการที่ผู้อยู่ในสถานะที่พร้อมกว่าสมควรจะต้องไปยกระดับความรู้ต่างๆในท้องถิ่นให้เท่าทันกับสังคมใหญ่และทั้งโลก…..จะด้วยวิธีไหน อย่างไรก็แล้วแต่เงื่อนไข ในระดับชุมชนก็เช่นกัน การรู้เท่าทันก็คือการสร้างคนให้มีความเชื่อมั่น เมื่อมีความเชื่อมั่นก็กล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ได้ด้วยตัวเอง ด้วยกลุ่ม ด้วยชุมชน มิใช่ถูกสร้างค่านิยมอย่างไม่รู้ตัวให้เป็นผู้บริโภค และนั่นก็คือเหยื่อของระบบโลกาภิวัฒน์……

อภิปราย:

ประเด็นนี้มันแทงใจผมจริงๆ เราทำงานชุมชนกันมานาน และก็พูดเรื่องนี้มานานเช่นกัน แต่เมื่อลงมือทำกันจริงๆ เราจมลงไปสู่ปัญหารายวันที่เผชิญหน้ากับชาวบ้านที่มีสารพัดรอบตัวรอบบ้าน และที่สำคัญระบบโครงการได้วางงานไว้หมดสิ้นแล้วที่กิจกรรมต่างๆโดยมิได้เงยหัวขึ้นมาดูการเปลี่ยนแปลงของสังคมใหญ่ และสังคมโลกแล้วหยิบเอาประเด็นเหล่านั้นไปเป็นหัวข้อทำ Capacity Building(CB) ให้แก่ผู้นำ เยาวชน สตรี และคนในชุมชนโดยรวม เราหยิบมาบ้างเหมือนกันแต่เบาบางมาก และเป็นชิ้นๆที่ไม่ปะติดปะต่อกัน และที่สำคัญไม่ต่อเนื่อง เราเคยจัดค่ายวิเคราะห์ชุมชน วิเคราะห์สังคมกัน 2 วัน 3 วัน แล้วก็ชื่นชมที่มีผู้นำหลายคนตื่นตัวขึ้นมา ที่เรียกหูตาสว่าง แต่เมื่อจบสิ้นก็จบ กลับกลายเป็นการใช้เวลาทั้งหมดไปกับกิจกรรมที่สร้างขึ้นมา แล้วเรื่องของภาพรวมก็จางหายไป

ผมทราบดีว่าชาวบ้านที่เกิดสำนึกในระหว่างทำค่ายวิเคราะห์ชุมชนนั้น เราดีใจ แต่สำนึกเกิดได้ก็หายไปได้ เมื่อเขากลับสู่ครอบครัวที่มีปัญหามากมายรออยู่…. เมื่อความไม่ต่อเนื่องใน CB ความเชื่อมั่นก็คลายตัว หรือสิ้นสุดลงได้ ความต่อเนื่องจึงเป็นประเด็นที่สำคัญ

แม้ว่าเราอาจจะมีระบบเครือข่าย และมีการประชุมกันเป็นประจำ แต่สาระส่วนใหญ่จะลงไปที่กิจกรรมย่อย บางกิจกรรมทำได้ดีบ้างแล้ว เช่นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนการใช้สารเคมี แต่การวิเคราะห์วิจารณ์อย่างถึงรากถึงโคนนั้นยังมีน้อยเกินไป การหยิบผลเสียและสร้างการเรียนรู้ที่สำคัญๆให้เกิดขึ้นนั้นยังน้อย การขยายตัวของกิจกรรมนี้จึงยังไม่กว้างขวางเท่าที่ควรจะเป็น

สิ่งที่ต้องการเสนอ:

ทบทวนกิจกรรมการสร้าง CB ในแง่การรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงสังคม ของโลกทั้งเรื่องใหญ่ไกลตัวแต่กระทบชุมชนกับเรื่องใกล้ตัว

ที่สำคัญโครงการควรจะพิจารณาสร้างกิจกรรมเฉพาะเรื่อง CB ขึ้นมาอย่างจริงจังในการเรียนรู้ของชุมชนต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมจากใกล้ตัวไปสู่สิ่งไกลตัว จากสิ่งที่จับต้องได้จนถึงสิ่งที่เป็นระบบคิด และต้องทำอย่างต่อเนื่อง

เช่นทำกิจกรรมรายเดือนเป็นเวทีเรียนรู้ร่วมกัน อาจจะเรียกเวทีเรียนรู้ชุมชนของตัวเอง สังคมและโลก หรือจะเรียกมหาวิทยาลัยชีวิตชุมชน ให้ผู้นำชุมชนมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชุมชนซึ่งกันและกัน แล้วมีพี่เลี้ยงคอยป้อนข้อมูลต่างๆเติมให้ครบถ้วน กิจกรรมเหล่านี้อาจจะคู่ขนานไปกับกิจกรรมย่อยที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันก็ได้ ทั้งนี้เพื่อขยายการรับรู้และการเกี่ยวข้องกันในสรรพสิ่งต่างๆที่มีในชุมชนกับสังคมภายนอกและโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

การทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยตอกย้ำความรู้เท่าทัน สร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น ก็เท่ากับเป็นการสร้างสำนึกร่วมกัน และที่สำคัญอาจารย์ชัยอนันท์กล่าวย้ำว่า การสร้างให้คนรู้เท่าทันนี่คือการสร้าง Empowerment ซึ่งเป็นพลังที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากตัวของเขาเอง เพื่อชุมชนของเขาเอง และสังคมโดยรวม นั่นเอง..


งานด่วน…

8 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 7 พฤศจิกายน 2008 เวลา 22:36 ในหมวดหมู่ ชุมชนฅนฟื้นฟู #
อ่าน: 1645

ช่วงนี้ผมรู้สึกหนักอึ้งกับการการเขียนรายงานพิเศษเรื่อง 9 ปีผลผลิตโครงการ คฟป. ที่เจ้านายสั่งให้ผมทำ(คนเดียว) ขณะที่รับปากความรู้สึกข้างในก็ร้อง อี๊…. เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมานั่งสรุปงานที่ทำมาแล้วตั้ง 8 ปี 9 ปี เนื้อหาสาระมันมากมาย.. แต่ก็ต้องทำ มิใช่เพราะว่านายสั่ง นายก็เป็นน้องเรานั่นแหละ เป็นถึงเบอร์สองของ ส.ป.ก. ที่ท่านอัยการชาวเกาะยืนเคียงข้างแล้วถล่มนายทุนเสียยับคามือมานั่นแหละ

ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก กลับตรงข้ามชอบ..เพราะการอ่านเอกสารเป็นตั้งๆแล้วมาสรุปนั้น เท่ากับเราทบทวนสาระทั้งหมดของโครงการทีเดียว เราก็จะรู้มากรู้กว้างครอบคลุมมากที่สุด นี่คือประโยชน์ของการทำงานชิ้นนี้ แต่เซ็งเพราะ การทำงานแบบนี้ต้องมีสมาธิมากๆ แต่บรรยากาศมันหลุดอยู่เรื่อยๆ เลยเซ็ง..

เมื่อวันก่อน เสียงเบอร์สอง ส.ป.ก.ทวงถามมาว่า …พี่บู๊ด..งานเสร็จหรือยังล่ะ..อิอิ ผมสะดุ้งโหยง..ยิ้มแหยๆ แล้วตอบไปว่า ยังไม่เสร็จครับ จวนแล้วครับขอเวลาอีกสักหน่อยเพื่อความสมบูรณ์… ผมว่าไปทั้งที่ขยับไปได้นิดเดียว…(บาป) โชคดีนะเนี่ยะที่เบอร์สองล้มหมอนนอนเสื่อในโรงพยาบาลเสียหลายวัน..

มาหามรุ่งหามค่ำ หมู หมา กา ไก่ ไม่ดูไม่แลมันหละ ลุยงานอย่างเดียว…แล้วงานก็สำเร็จเหลือการตรวจสอบและเอารูปลงไปใส่เท่านั้น แล้วก็ส่งให้เพื่อนร่วมงานช่วยกันดูอีกรอบหนึ่ง ก็เป็นอันสมบูรณ์ ดงหลวงดงหลางไม่ได้ไปดูไปแลเลย ปล่อยให้น้องนุ่งลุยไปเท่านั้น เธอทั้งหลายก็ดีใจหาย..เฮ่อ มีทีมงานดีดีก็สบายใจไปแปดอย่าง (เอ ทำไมต้องแปดอย่างก็ไม่รู้นะ…)

เลยถือโอกาสที่มีเวลาแว๊ป…เอาสาระบางส่วนมาเผยแพร่ใน ลานฅนฟื้นฟูแห่งนี้ นำร่องให้เพื่อนๆ น้องๆในโครงการได้อุ่นใจและคาดหวังว่าจะเอาอย่าง ลองขีดๆเขียนๆมาลงบ้างนะ (เฮ่อ บางทีผมว่า เข็นครกขึ้นภูเขาง่ายกว่าอีก อิอิ อิอิ..)

——————————————————————-

ความเป็นมา

สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.) โดยความช่วยเหลือด้านวิชาการจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น(ไจก้า) ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาการเกษตรแบบผสมผสานในเขตปฏิรูปที่ดินภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 4 จังหวัด คือ ขอนแก่น มหาสารคาม สกลนคร และมุกดาหาร พบว่า เกษตรกรในพื้นที่ศึกษาเผชิญกับปัญหาต่อไปนี้

· ขาดแคลนแหล่งน้ำทำการเกษตรและอุปโภค-บริโภค

· ความอุดมสมบูรณ์ดินต่ำและบางแห่งมีการพังทลายสูง

· พื้นที่ปฏิรูปที่ดินที่ติดกับเขตอนุรักษ์ล่อแหลมต่อการแผ้วถางทำพื้นที่เกษตร

· รายได้ส่วนใหญ่มาจากนอกภาคเกษตร(ค่าจ้างแรงงาน) ซึ่งในช่วงเวลานั้นเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะทดถอย ทำให้ครัวเรือนเกษ๖รกรขาดรายได้

ด้วยเหตุนี้ ส.ป.ก. จึงจัดทำโครงการเพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรด้วยการทำการเกษตรผสมผสาน โดยเลือกพื้นที่ปฏิรูปที่ดินซึ่งครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของอำเภอต่างๆใน 4 จังหวัดรวมพื้นที่ประมาณ 300,000 ไร่

การดำเนินงานโครงการ

· การเตรียมความพร้อมเกษตรกรเกี่ยวกับความเข้าใจโครงการ: ส.ป.ก.ได้เตรียมความพร้อมเกษตรกรใน 4 จังหวัด โดยชี้แจงวัตถุประสงค์โครงการ ผลประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับ รับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ มีเกษตรกรมีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการขอรับการสนับสนุนสระน้ำประจำไร่นา ความจุ 1,260 ลบ.ม. รวมทั้งสำรวจความต้องการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สระชุมชน ถนนลูกรังสายหลัก สายซอย และถนนเข้าแปลงเกษตรกรรมด้วย

· เตรียมความพร้อมด้านแนวคิดแก่เกษตรกร: พื้นที่นำร่องที่จังหวัดมหาสารคามได้จัดทำการเตรียมความพร้อมเกษตรกรด้านแนวคิดโดยการ จัดศึกษาดูงาน เรียนรู้ประสบการณ์ของเกษตรกรและเครือข่ายเกษตรกร(ศูนย์อินแปง) การทำเกษตรผสมผสาน ไร่นาสวนผสม วนเกษตร กิจกรรมธุรกิจชุมชน ในพื้นที่ต่างๆ มีความร่วมมือกับองค์กรพัฒนาเอกชน มูลนิธิหมู่บ้าน ได้เข้าร่วมในกิจกรรมศึกษาชุมชนแบบเกษตรกรมีส่วนร่วม จัดทำแผนแม่บทชุมชน ซึ่งใช้ผลวิเคราะห์จากการศึกษามากำหนดแนวทางการพัฒนาโดยเฉพาะเศรษฐกิจในครัวเรือน

· กรอบแนวคิดหลักในการพัฒนา: กรอบแนวคิดหลักในการพัฒนาคือ ความยั่งยืน รูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสม และ การมีส่วนร่วมของเกษตรกรผ่านกิจกรรมหลัก 5 ด้านคือ งานพัฒนาองค์กรเกษตรกร และเครือข่าย งานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการเกษตร งานพัฒนาการเกษตร งานฟื้นฟูสภาพแวดล้อม ป่าชุมชน และอนุรักษ์ดินและน้ำ และงานตลาดชุมชน

· เป้าหมายโครงการ: จากสภาพปัญหาพื้นฐานของพื้นที่ที่มีความด้อยต่างดังกล่าว ส.ป.ก. เข้ามาจัดทำโครงการด้วย 5 กิจกรรมหลัก ด้วยกรอบหลักการมีส่วนร่วมของเกษตรกร การจัดรูปแบบการพัฒนาที่เหมาะสมเพื่อให้ผลงานเป็นความยั่งยืนนั้น สาระสำคัญก็เพื่อ สร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เป้าหมายให้มีคุณภาพดีขึ้น และเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมายให้ดีขึ้นนั่นเอง



Main: 0.036409139633179 sec
Sidebar: 0.022905826568604 sec