หนีไม่พ้น
อ่าน: 1642ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา..ความตายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ความตายเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น จักต้องเกิดขึ้นกับเราวันใดวันหนึ่ง
เราคงเคยได้ยินประโยคข้างต้นนี้กันมานักต่อนักแล้ว เรียกว่า ได้ยินเสียจนชิน แต่ไม่ค่อยได้คิดตาม หรือตระหนักจริงๆ เท่าใดนัก เพราะการที่เรายังมีชีวิต และวุ่นวายกับชีวิตที่มีอยู่ปัจจุบันทำให้เราลืมนึกถึงความเป็นจริงนี้ไป
ช่วงหลังนี้ก็มีเขียนถึงมรณานุสสติไปบ้าง เป็นเพราะคุณน้ากำลังป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล เวลาไปเยี่ยมแล้วได้เห็นการเป็นไปของชีวิตอย่างชัดเจน เห็นไตรลักษณ์อย่างชัดเจน
คุณน้ากำลังจะอายุครบ ๕๕ ปี มีหน้าที่การงานดีมากอยู่ในหน่วยราชการสำคัญ เมื่อตอนที่ยังไม่ป่วยโอกาสที่น้าจะเป็นถึงรองอธิบดีก่อนเกษียณก็มีค่อนข้างสูง คุณน้าเป็นสาวโสด เป็นคนธรรมะธรรโม เข้าวัดทำบุญ ทำทานกับคนทั่วไปเป็นประจำ ตอนที่คุณยายยังอยู่ คุณน้านี่แหละเป็นคนดูแลแม่ของตนจนวาระสุดท้ายเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าตลอดชีวิต คุณน้าได้ประกอบกรรมดีมาโดยตลอด ก็เลยคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะเจ็บป่วยได้รวดเร็วและหนักขนาดนี้
เคยเห็นคุณน้าไปอ่าน ไปสวดมนต์ให้คุณยายฟังที่โรงพยาบาลตอนที่คุณยายป่วยหนักหลายครั้งเป็นประจำ ตอนคุณยายยังอยู่ ก็เป็นคนพาไปวัด พาไปท่องเที่ยวตามอัตภาพ จำได้ว่าคุณน้าเคยพูดไว้ว่า “อยากให้คุณยายไปแบบมีสติ”
แต่พอคุณน้าป่วยหนักเอง กลับมีอาการป่วยที่มีทุกขเวทนาสูงมาก หายใจลำบาก เหนื่อยหอบตลอดเวลา ทำให้กำหนดสติและเจริญสติได้ยากมากๆ
ตัวเองก็เข้าใจ เพราะแค่ตัวเองที่วันไหนทำงานและเหนื่อยกายมากๆ จิตจะตกง่าย การเจริญสติต้องตั้งใจเป็นพิเศษ เพราะทุกขเวทนาทางกายในขณะนั้นเป็นประธาน ข้ามไปได้ยากหากไม่มีประสบการณ์หรือฝึกปฎิบัติมาบ้าง
ตั้งใจไว้ว่าจะพยายามไปอ่านหนังสือ และนำการเจริญสติให้คุณน้าที่โรงพยาบาลบ่อยๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อที่จะลดทุกขเวทนาของคุณน้า ให้แยกจิตกับกายออกจากกัน เรียกได้ว่า กายป่วย แต่จิตไม่ป่วย
เจ็บคือเจ็บ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเจ็บ ทุกข์ก็คือทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่เรา
ถ้าทำเช่นนี้ได้ จิตใจก็จะสว่าง โปร่ง สงบ
ได้แต่หวังว่า ทุกขเวทนาของคุณน้าจะไม่เป็นประธานจนเกินไป และให้โอกาสคุณน้าในการเจริญสติ
ขอให้ทุกคนที่อ่าน ได้ใช้โอกาสที่ยังมีสุขภาพดี ไม่มีทุกขเวทนาจนเกินไป ใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ ใช้เวลาในการเจริญสติให้เจริญยิ่งขึ้นๆ ต่อไปนะคะ
« « Prev : ยิ่งใหญ่
Next : ความสุข » »
8 ความคิดเห็น
ช่วงอาทิตย์นี้ มีคนจากไปเยอะมาก บางท่านก็เจ็บป่วยทางกาย ต่อสู้กับโรคภัยแล้วก็จากไป บางท่านก็จากไปโดยไม่ทันตั้งตัว
ทำให้คิดว่า การจากไปแบบหลับไปเลย ก็คงจะสบาย แต่ลูกหลานก็ไม่ทันตั้งตัวไม่ทันทำใจเราเองก็ไม่ทันทำใจแต่ก็ไปสบายง่ายๆ ส่วนกายเจ็บป่วยยาวนาน จะทนทุกข์ทรมาน ได้เจริญสติทำใจทั้งตัวเองและลูกหลานก่อนจะจากไป
ลองคิดดูนะค่ะ ว่าไปอย่างไร จึงจะดีหากเลือกได้
ทางคริสต์บอกว่าการที่มนุษย์ต้องเจ็บและตายก็เนื่องมาจากบาป เพราะฉะนั้นไม่มีใครหนีพ้น เท่าเทียมหมด เพียงแต่ว่าเราเลือกกระทำในสิ่งที่จะละความกังวลได้โดยฝากไว้กับพระเจ้า ก็เหมือนกับการเจริญสติของพุทธ คือมันไม่ได้เปลี่ยนสิ่งที่เป็นอยู่ หรือกำลังจะเป็น แต่มันทำให้เราทุกข์น้อยลง การที่ให้ความสำคัญกับความทุกข์มากเท่าไหร่ ทุกข์นั้นก็มีผลทวีคูณสำหรับเราเท่านั้น อย่างคำของปราชญ์ท่านว่าไว้ “คนกล้าตายหนเดียว แต่คนขลาดตายหลายหน” ทุกคนล้วนต้องตาย แต่หากไร้สติ ขลาดกลัว กังวล ก็ทำให้ทุกข์ทรมานเหมือนต้องตายทั้งเป็น ส่วนความเจ็บปวดทางกายเราบรรเทาได้ยาก ที่พอทำได้คือการเปลี่ยนจุดสนใจไปสู่สิ่งอื่น เช่น ธรรมมะ ดนตรี หรือเรื่องที่มีความสุขในชีวิต อาจจะไม่ช่วยมาก แต่ก็ไม่ทำให้เราจดจ่ออยู่แต่กับความเจ็บตลอดเวลา ขอเป็นกำลังใจให้คุณน้าของศิษย์พี่ค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้คุณน้าค่ะ
ธรรมดาของมนุษย์ครับ ธรรมชาติไม่เคยลืม
สวัสดีค่ะพี่แป๋ว
ถ้าให้เลือกได้ ก็คงเลือกไปแบบมีสติ ไม่ว่าจะเป็นแบบกระทันหันหรือแบบวิบากมากก็ตามค่ะ ตอนนี้ก็เตรียมตัว มีมรณานุสสติไว้เสมอค่ะ ^ ^
ศิษย์น้อง
พี่ล่ะชอบมากเลยที่บอกว่า “คนกล้าตายหนเดียว แต่คนขลาดตายหลายหน”
เห็นจริงด้วยเป็นอย่างมากเลย เมื่อวานพี่ก็ไปที่โรงพยาบาลมา วันนี้ก็คงไปอีก ได้เห็นความทรมานของทั้งคุณน้าและคนเฝ้า แต่ก็เฝ้าดู คอยให้กำลังใจกับทุกคน
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะจ๊ะ ^ ^
สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์
ขอบคุณมากค่ะ คุณน้ามีกำลังใจดีค่ะ ถึงแม้จะเหนื่อยกายและมีทุกขเวทนาสูง พวกเราก็ช่วยๆ กันเสริมกำลังใจกันทุกคนค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
สวัสดีค่ะคุณสิทธิรักษ์
เห็นด้วยค่ะว่าเรื่องเหล่านี้เป็นธรรมดาและเป็นธรรมชาติของมนุษย์ค่ะ ทุกคนก็ต้องผ่านกระบวนการเหล่านี้ ในเวลาใดเวลาหนึ่ง
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนนะคะ