ความสุขเจ้าเอย

6 ความคิดเห็น โดย Nothing เมื่อ 18 December 2010 เวลา 12:34 am ในหมวดหมู่ ธรรมะ #
อ่าน: 1704

หลายครั้งที่เราวิ่งหาความสุข เรายอมลงทุนลงแรง ออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขอย่างที่หวังไว้ และก็หลายครั้งที่เราออกดั้งด้นหามันแล้วสุดท้ายก็คว้าได้แต่ความทุกข์และความอ่อนล้า

จริงๆ แล้วความสุขนั้นสามารถหาได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องออกแรงแม้แต่น้อย หรือกระทั่งนั่งเฉยๆ ก็สามารถสุขได้

หลายวันก่อนผมเป็นแผลในปาก ตอนแรกเป็นแผลเดียว ต่อมาก็เป็นเพิ่มอีกแผล อาการไม่ได้มากมาย แต่รู้สึกรำคาญมาก พยายามรอให้มันหายเอง สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว ไม่หายสักที ต่อมาก็ไปหายาป้ายปากมาป้าย หวังว่ารุ่งเช้าก็น่าจะหาย ที่ไหนได้กลับไม่หาย ต้องรอสักสองวันถึงจะหายดี

ผ่านเหตุการณ์นั้นไปสักเกือบสัปดาห์ ขณะที่เปิดอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของท่าน ติช นัท ฮันห์ อยู่ ซึ่งตอนนี้จำไ่ม่ได้ว่าเล่มไหนและบทไหน แต่่จำได้ว่าขณะอ่านจิตก็หวนไปคิดถึงเหตุการณ์ที่เคยทรมานเพราะแผลในปาก

ธรรมดาเวลาที่เราหวนคิดถึงเรื่องที่เราทุกข์ เราก็จะสำเนาความทุกข์นั้นมาด้วย หมายถึงว่าเมื่อคิดถึงความทุกข์ขณะใดขณะนั้นก็ทุกข์ด้วย แต่เหตุการณ์คราวนี้กลับตรงข้าม แทนที่จะได้รับความทุกข์ผมกลับได้รับความสุข มันเป็นอาการที่บอกไม่ถูก รู้แค่ว่ามันสุขซ่านไปทั้งตัว เป็นอยู่ขณะหนึ่งแล้วก็หายไป

ผมลองกลับมาคิดว่าทำไมเวลาคิดถึงความทุกข์เราจึงมีความสุขได้ และได้คำตอบว่าจิตในขณะนั้นไม่ได้คิดถึงแต่เพียงความทุกข์ที่ผ่านมาอย่างเดียว มันคิดไปไกลกว่านั้น คือมันเอาความทุกข์มาเทียบกับปัจจุบันขณะที่ร่างกายปกติดี และจิตมันก็ยินดีกับความเป็นปกตินั้น (ไม่รู้ว่าเรียกว่า ‘ปีติ’ ได้หรือไม่?)

พูดง่ายๆ ก็ืคือ ความสุขเกิดจากความไม่ทุกข์นั่นเอง

แม้ว่าความสุขนี้จะไม่คงทนถาวรอะไร แต่มันก็เป็นความสุขที่หาได้ง่าย ไม่ต้องลงแรงอะไรเลย ก็แค่คิดถึงความทุกข์ที่เคยมีเท่านั้นเอง ซึ่งผมเชื่อพวกเราก็มีกันทุกคน

ที่เขียนมาก็เผื่อว่าใครที่กำลังประสบความทุกข์อยู่ จะได้มีกำลังใจว่าเรากำลังได้เก็บอีกประสบการณ์หนึ่ง เพื่อความสุขในวันข้างหน้า หรือถ้ามีความสามารถพอ แทนที่จะเทียบกับประสบการณ์ที่ผ่านมานาน ลองเอามาเทียบให้สั้นเข้าโดยเทียบกับ เมื่อวาน เมื่อคืน ชั่วโมงที่แล้ว นาทีที่แล้ว วินาทีที่แล้ว…หรือแม้แต่ขณะจิืตที่แล้ว

แต่ผมยังทำไม่ได้ขนาดนั้นหรอกครับ ได้แค่นี้ก็สุโขสโมสรแล้วครับ


พุทธวจน

18 ความคิดเห็น โดย Nothing เมื่อ 30 September 2010 เวลา 5:30 pm ในหมวดหมู่ ธรรมะ #
อ่าน: 2701

ภิกษุ ท.! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้, สุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตรเป็นเรื่องแนวนอก เป็นคำกล่าวของสาวก เมื่อมีผู้นำสุตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.

ภิกษุ ท.! ส่วน สุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา,เมื่อ มีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟังย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียนจึงพากันเล่าเรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า “ข้อนี้เป็นอย่างไร ? มีความหมายกี่นัย ? ” ดังนี้. ด้วยการทำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้. ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ เธอก็ทำให้ปรากฏได้, ความสงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัย เธอก็บรรเทาลงได้.

ภิกษุ ท.! ภิกษุบริษัทเหล่านี้ เราเรียกว่า บริษัทที่มีการลุล่วงไปได้ด้วยการสอบถามแก่กันและกันเอาเอง, หาใช่ด้วยการชี้แจงโดยกระจ่างของบุคคล ภายนอกเหล่าอื่นไม่; จัดเป็นบริษัทที่เลิศแล.

-ทุก. อํ. ๒๐/๙๒/๒๙๒

    

     ด้วยเหตุที่พระพุทธศาสนาของเรามีอายุยาวนาน ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว เราโชคดีที่มีพระไตรปิฏกที่เป็นเอกสารชิ้นเอก ช่วยเก็บคำสอนของพระพุทธองค์ให้ชนรุ่นหลังอย่างเราๆ ได้ศึกษา และได้รับผลอันประเสริฐตามความสามารถตามกรรมของแต่ละคนๆ

     แต่ปัญหาก็ยังมีอยู่ว่า ในพระไตรปิฎกนั้นไม่ได้มีแต่พระพุทธพจน์(ซึ่งหมายถึงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสจากพระโอษฐ์เอง และมาจากการอ้างจากสาวกองค์อื่นและพระพุทธเจ้ารับรอง)เท่านั้น เพราะมีการเพิ่มเติมพระไตรปิฏกเรื่อยมา ยิ่งนานขึ้นเท่าไรพระไตรปิฏกของเราก็หนาขึ้นเท่านั้น อ่านต่อ »


เล่นหัว และกาลเทศะ

6 ความคิดเห็น โดย Nothing เมื่อ 10 July 2010 เวลา 5:16 pm ในหมวดหมู่ สัพเพเหระ #
อ่าน: 2513

ตอนนี้ผมกำลังอ่านหนังสือ “ข้าพเจ้าทดลองความจริง” ของ มหาตมา คานธี ซึ่งแปลโดย กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย จำได้ว่าสมัยเรียนอุดมศึกษาอยากได้หนังสือเล่มนี้มาก เคยเห็นเล่มปกแข็งในห้องสมุด กอปรกับหนังสือหนามาก เลยไม่กล้าอ่าน เรียนจบออกมานึกอยากอ่านก็หาซื้อไม่ได้เลย  ตอนนี้มูลนิธิโกมลคีมทองนำมาพิมพ์ใหม่ก็รีบคว้าไว้ก่อน เดี๋ยวจะเสียโอกาสอีก หนังสือดีเขาไม่พิมพ์กันบ่อยนักหรอกครับ ตอนนี้ก็ค่อยละเลียดอ่านคืนละหน้าสองหน้าก่อนนอน

แม้จะอ่านได้ไม่กี่หน้าก็ให้รู้สึกชุ่มชื่นในหัวใจมากหลาย ต้องขอบคุณผู้แต่งที่หาบุคคลที่ดีขนาดนี้ได้ยากยิ่งในยุคปัจจุบัน และผู้แปลที่แปลได้อย่างละเมียดละไม ได้อรรถรส ไม่รู้สึกขัดในสำนวนเวลาอ่าน อีกทั้งประวัติของผู้แปลทั้งสองท่านก็น่าสนใจยิ่งนัก เป็นปูชนียบุคคลที่ควรเอาเป็นแบบอย่าง เป็นที่น่าเสียดายที่ท่านกรุณาได้จากโลกนี้ไปแล้วอย่างสงบเมื่อไม่นานมานี้ ผมเคยได้ยินมาว่าตอนที่ท่านกรุณาเสียชีวิตนั้นก็อยู่ได้เคียงข้างกับคุณเรืองอุไร-ภรรยาตาบอด(ซึ่งมาบอดตอนวัยชรา)อันเป็นที่รัก ท่านทั้งสองนอนเตียงใกล้กันภายในห้องเดียวกัน แม้แต่ที่ท่านกรุณานอนปราศจากลมหายใจแล้ว คุณเรืองอุไรก็ให้ท่านนอนอยู่บนเตียง และคุณเรืองอุไรก็นอนบนเตียงของตัวเอง เหมือนกับท่านกรุณายังมีชีวิตอยู่

ควรอย่างยิ่งที่ชาวไทยเราควรนำเอาวิถีปฏิบัติของปูชนียบุคคลทั้งสองท่านนี้ และรวมกับของ มหาตมา คานธี มาเป็นแบบอย่าง ก่อนที่จะเป็นแค่ตำนาน และคิดว่าตำนานของคนเหล่านี้เป็นนิยายที่ไม่ใช่ความจริง

อ้อ และยังมีอีกเล่มที่เป็นของผู้เขียนและผู้แต่งเดียวกันคือ “ชีวประวัติของข้าพเจ้า” พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ASTV ซึ่งทายาทของผู้เสียชีวิตได้มอบลิขสิทธิ์การพิมพ์ฟรีเพื่อช่วยเหลือ ASTV ซึ่งน่าร่วมยกมือท่วมหัวอนุโมทนาสาธุเป็นอย่างยิ่ง

เขียนมาตั้งนานยังไม่ได้วกเข้าหัวข้อที่อยากคุยเลยครับ เอ้า กระชับพื้นที่เข้ามาอีกนิด

วันนี้ผมได้แวะไปร้านหนังสือ สายตาก็กวาดไปเห็นหน้าปกของนิตยสารการเมืองรายสัปดาห์ชั้นนำ ที่ตั้งเรียงคู่กันสองเล่ม สิ่งที่ทำให้ผมสนใจและนำมาชวนคุยคือ ภาพหน้าปกของนิตยสารทั้งคู่ครับ

เล่มหนึ่งมีภาพหน้าปกเป็นรูปชายผู้หนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้จัก ยืนชูนิ้วกลางมือซ้าย แล้วมีข้อความโปรยทำนองตัดพ้อต่อว่าว่าอย่ามากำจัดสิทธิ์กูนะโว้ย และมุมขวาบนก็เป็นรูปเด็กหนุ่มที่เข้าประกวดเอเอฟ(ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจว่าเอเอฟนี่เขาทำอะไรกันบ้าง) ที่เป็นข่าวว่าใช้คำหยาบด่านายกคนปัจจุบันผ่านสื่อทางอินเตอร์เน็ต มิหนำซ้ำบางแห่งก็ละเมิดถึงสถาบันสูงสุดของเรา เคยได้อ่านมาว่าเด็กหนุ่มคนเดียวกันนี้ก็ใช้คำหยาบเป็นปกติกับบุพการีและคนรอบข้างตัวเองเช่นกัน

ส่วนนิตยสารอีกเล่มก็ขึ้นปกเด็กหนุ่มคนเดียวกันนี้แบบเต็มหน้า

ประเด็นที่ผมต้องเคาะสนิมนิ้วและสมองตัวเองมาชวนคุยก็คือ เดี๋ยวนี้เราไม่รู้กันแล้วหรือไรว่าใครหรือคนกลุ่มใดที่เราเล่นหัวได้หรือไม่ได้ เราไม่รู้กาลเทศะกันแล้วหรือไร?

วัฒนธรรมการเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ การให้เกียรติผู้อื่น การรู้กาลเทศะ ที่ดีงามของไทยเราหายไปไหนกันหมด หรือเราอยากเอาอย่างฝรั่งที่เด็กและผู้ใหญ่จับหัวเล่นกันได้ง่ายๆ จะเอาอย่างก็ได้แต่ก็ต้องเอามาให้หมด เราชอบเอาอย่างเพื่อนแล้วเอามาไม่ครบ เพราะชอบเอาบางส่วนมาสนองกำหนัดของตัวเองเท่านั้น

เช่นดังเด็กหนุ่มที่กล่าวถึง เมื่อเรารู้ว่าเขามารยาททราม เรายังจะเอาเขามาออกสื่ออีกหรือ? แม้ว่าเขาจะไม่ชนะการแข่งขัน แต่เมื่อเขาออกสื่อ เด็กคนอื่นก็ย่อมเอาเป็นแบบอย่าง จะโทษเด็กก็ไม่ได้ เพราะผู้ใหญ่ผู้ที่มีแต่ความโลภโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น-เอาให้เขาดู เขาต้องคิดว่ามันดี ยิ่งเด็กไทยเราเป็นผ้าขาวที่พร้อมจะย้อมติดทุกสีที่เขาเอามาย้อมอยู่แล้ว ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง

ส่วนสื่อที่ขึ้นภาพหน้าปกแบบนั้น ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะสื่ออะไร เพราะผมไม่ได้เปิดอ่านด้านใน แต่ลองมองในมุมของคนที่ไม่ได้สนใจการเมือง เช่น เด็กๆ ที่ไม่บรรลุนิติภาวะเห็นเข้า เขาจะเลียนแบบหรือไม่ หรือถึงเด็กเขาจะรู้ว่าการชูนิ้วแบบนั้นหมายถึงอะไร แต่เขาก็คงจะคิดว่ามันเป็นสิ่งดี ก็ถ้าไม่ดีผู้ใหญ่เขาจะเอามาพิมพ์และตั้งโชว์ไว้ได้อย่างไร?

เมื่อสภาพแวดล้อมเป็นเช่นนี้ สภาพแวดล้อมที่มีผู้ใหญ่เห็นแต่ประโยชน์ของตนและพวกพ้องเป็นที่สุด โดยไม่สนใจคุณธรรม จริยธรรม ฯลฯ และผลกระทบที่เลวร้ายต่อสังคมแต่อย่างใด ก็อย่าหวังที่จะเห็นเยาวชนเรามีคุณภาพ

ผมอยากเขียนต่อแต่รู้สึกตื้อๆ อึดอัด อัดอั้นอย่างไรบอกไม่ถูก ขอจบดื้อๆ อย่างนี้แล้วกันนะครับ

หรือว่าวิถีชีวิตแบบ มหาตมา คานธี เป็นเพียงนิยายที่ไม่มีวันเป็นจริงไปเสียแล้วครับ?


คำสอนหลวงปู่ชา ๒ - มีความรู้ ต้องมีความดี

2 ความคิดเห็น โดย Nothing เมื่อ 27 June 2010 เวลา 2:14 pm ในหมวดหมู่ ธรรมะ #
อ่าน: 2800

ถ้าเราปฏิบัติจริงๆ แล้ว  มันจะทะลุไปถึงปริยัติก็ได้  เปรียบประหนึ่งว่า  คนมีความดีแต่ไม่มีความรู้  คนหนึ่งมีความรู้แต่ไม่มีความดี  ไอ้คนมีความรู้  รู้ไปเหอะไม่รู้เรื่อง  ไม่รู้จักผิดจักถูก  คือคนไม่ดีน่ะ  ไอ้คนที่มันดีมันระวังของมัน  มันไม่รู้เรื่องอะไรมากมายก็ช่างมันเถอะ  แค่เห็นว่า  ไอ้ของนี่มันหยิบขึ้นมาแล้วมันหนักก็พอแล้ว  หนักแล้วมันก็วาง  อันนั้นเป็นของคนอื่นเขา  อย่าไปเอาของเขาเลย  แค่นี้ก็กลัวแล้ว  ไม่ต้องไปเปิดดูในตำราเห็นแล้วจึงกลัวหรอก นี่คือ คนดี

ไอ้คนที่เรียนนั้นรู้  รู้จักว่าของเขาอยู่แต่เอา  ทนไม่ไหว  อยากได้มันนี่  รู้ว่ามันผิดมั้ย  รู้  รู้ว่าของคนอื่นเขาหวงมั้ย รู้  แต่เอา  นี่คือคนรู้ไม่ดี  มีแต่รู้อย่างเดียว  มันสู้คนดีไม่ได้  ถ้าให้มันสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว  ต้องมีความรู้แล้วก็มีความดีประกอบเข้ากัน

หลวงปู่ชา สุภทฺโท

หนังสือ “ความผิดในความถูก” หน้า ๑๒๐


คำสอนหลวงปู่ชา

4 ความคิดเห็น โดย Nothing เมื่อ 27 June 2010 เวลา 1:51 pm ในหมวดหมู่ ธรรมะ #
อ่าน: 2338

ความรู้เหมือนมีดเล่มหนึ่ง  เราลับให้มันคม  คมมาก…

มีดเล่มนั้นมีทั้งคุณและโทษ

คนมีปัญญาเอาไปใช้  จะทำประโยชน์ได้ดีมากถ้ามีดเล่มนั้นคม

แต่คนไม่มีปัญญาใช้  ก็ไปทำลายประเทศชาติ

ทำลายความสุข  ทำลายความสามัคคีทุกอย่างได้ง่าย

เพราะมีดมันคม

ความรู้ไปตั้งอยู่ในคนพาลเหมือนเอาศัตราใส่มือโจร

หลวงปู่ชา สุภฺทโท

จากปกหลังหนังสือ “ความผิดในความถูก”


ใกล้เกลือกินด่าง

7 ความคิดเห็น โดย Nothing เมื่อ 1 February 2010 เวลา 3:39 pm ในหมวดหมู่ ธรรมะ #
อ่าน: 2241

หลายๆ คน(รวมทั้งผม) ถูกสอนหรือถูกทำให้เข้าใจว่าธรรมะนั้นอยู่ที่วัด  หมายความว่าถ้าอยากรู้ อยากได้ธรรมะก็ต้องไปวัด อยากปฏิบัติธรรมก็ต้องเข้าวัด ออกจากวัดเมื่อไรก็ต้องทิ้งธรรมะไว้ที่วัด หรือมันจะติดตัวเราไปได้ไม่นาน แล้วต้องเข้าวัดไปเอามาใหม่

ความเข้าใจอันนี้ทำให้เกิดการบ้าบุญกันใหญ่ ทำให้เกิดพุทธพาณิชย์ และเกิดมาเฟียภายใต้ร่มกาสาวพัตร์ อย่างน่ารังเกียจอย่างยิ่ง

เหล่าผู้บอกตัวเองและผู้อื่นว่าตนเป็นชาวพุทธ(แต่ในนาม) โดยไม่เคยเหลียวมองเลยว่าพระพุทธองค์ทรงสอนอะไร ไม่เคยหรือแม้แต่พยายามตรวจสอบว่าคำสอนนั้นถูกต้องหรือไม่ มัวแต่บนบานศาลกล่าว คิดหาทางแต่จะรวยทางลัด โดยไม่ลงทุน หรือลงทุนแบบนักธุรกิจผู้ค้ากำไรเกินควร หรือไม่ก็ทำแบบสนองกิเลสตัวเอง โยมก็ถูกกิเลสพระก็ถูกกิเลสเป็นพอ

แห่แหนกันทำบุญหลายๆ วัด  แห่กันสร้างโบสถ์วิหาร พระพุทธรูป ให้เลิศหรู ใหญ่โต อลังการ  โดยไม่สนใจเลยว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา เป็นศาสนาแห่งการศึกษา และมีหลักปฏิบัติอย่างเป็นระบบ  หมายความว่าอยากได้อะไรก็ต้องทำเอาด้วยตนเองตามหลักที่วางเอาไว้แล้วในพระไตรปิฏก

พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่เอา วัดที่ไม่เน้นวัตถุไม่เอา วัดที่สอนปฏิบัติธรรม(แบบถูกต้อง)ก็ไม่เอา เวลาพระเทศน์ก็จะเอาแบบสนุกโปกฮา ตอนนี้พระเริ่มทำตัวเป็นตลกคาเฟ่เริ่มมีให้เห็นกันแล้ว (สงสัยเวลาพระจะเทศน์คงต้องถวายถาดเปล่าๆ ใบเดียวคงพอ)

เป็นอะไรกันหมดนะชาวพุทธเรา  ธรรมะยังมีอยู่ พระผู้ปฎิบัติดีปฏิบัติชอบก็ยังพอมีอยู่ ช่วยกันปกป้อง ช่วยกันรักษา ช่วยกันศึกษา ช่วยกันปฏิบัติ ช่วยกันสานต่อ อย่าใกล้เกลือกินด่างกันเลยครับ

ธรรมสวัสดีครับ


สู่หนใด?

10 ความคิดเห็น โดย Nothing เมื่อ 21 October 2009 เวลา 3:42 pm ในหมวดหมู่ สัพเพเหระ #
อ่าน: 1686

เมื่ออายุมากขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น จากสิ่งที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ สิ่งที่รู้น้อยก็รู้มากขึ้น แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่าเรารู้และทำไปเพื่ออะไร?

ทำเพื่อที่จะให้มีในสิ่งที่ไม่เคยมี?

ทำเพื่อให้มีมากขึ้น?

ทำให้รวยขึ้น?

ทำให้มีชื่อเสียงเกียรติยศมากขึ้น?

ทำให้หายสงสัย?

ทำเพราะความเคยชิน?

ทำเพราะอยากทำ?

ทำเพื่อการกุศล?

ทำเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์?

ฯลฯ อ่านต่อ »


Karma Therapy: ๒.กรรมกับอิทัปปัจจยตา

8 ความคิดเห็น โดย Nothing เมื่อ 20 October 2009 เวลา 3:59 pm ในหมวดหมู่ ธรรมะ #
อ่าน: 3179

ผมได้รับคำถามจากคุณนักการหนิงจากบันทึกก่อนหน้านี้  ว่ากรรมกับอิทัปปัจจยตานั้นเรื่องเดียวกันหรือไม่ หรือต่างกันอย่างไร?

ผมรู้สึกประหลาดใจและดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินคำถามนี้  เพราะผมอยากเขียนหัวข้อนี้มานานแล้ว  ที่ว่าอยากเขียนไม่ใช่เพราะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกครับ  แต่เป็นเพราะหัวข้อของหนังสือพุทธธรรม(ฉบับเดิม) ที่ผมใช้ศึกษาเรื่องกรรมอยู่นั้น  ตั้งชื่อว่า “หลักธรรมที่สืบเนื่องจากปฏิจจสมุปบาท” ครับ อ่านต่อ »


เซเว่น…กูไม่เชื่อมึงครับ!

23 ความคิดเห็น โดย Nothing เมื่อ 14 October 2009 เวลา 12:16 am ในหมวดหมู่ สัพเพเหระ #
อ่าน: 6872

สืบเนื่องมาจากบันทึกนี้ของ คุณเบิร์ด(จอมแปะ) ทำให้ผมนึกถึงเรื่องหนึ่งที่เคยคิดและวิจารณ์ไว้ในใจ  แม้จะเป็นอะไรที่ต่างกันสุดขั้ว  แต่ก็มีอะไรที่เนื่องกันอยู่  และถือว่าเป็นประสบการณ์ตรงเลยอยากเอามาเล่าสู่กันฟังครับ อ่านต่อ »


Karma Therapy: ๑.คุณอยู่ลัทธิไหน?

13 ความคิดเห็น โดย Nothing เมื่อ 2 October 2009 เวลา 3:53 pm ในหมวดหมู่ ธรรมะ #
อ่าน: 2232

ต้องยอมรับว่าคนไทยเรานี่เก่งจริงๆ  ไม่ว่ามีเรื่องอะไรเป็นข่าวดังขึ้นมา  เป็นต้องมีผู้มีความสามารถแต่งหนังสือแสดงปูมรู้ของตัวเองสลอนไปหมด  ไม่รู้อยู่อย่างเดียวว่าอะไรเป็นสัมมาทิฏฐิ อะไรเป็นมิจฉาทิฏฐิ

เรื่องอื่นไม่ว่าแต่ถ้ามาบิดเบือนพุทธศาสนา  ผมถือว่าเป็นหน้าที่ชาวพุทธอย่างผมที่จะต้องออกมาปกป้องอย่างเต็มกำลังของตน อ่านต่อ »



Main: 0.053812980651855 sec
Sidebar: 0.10613703727722 sec