ใกล้เกลือกินด่าง
อ่าน: 2231หลายๆ คน(รวมทั้งผม) ถูกสอนหรือถูกทำให้เข้าใจว่าธรรมะนั้นอยู่ที่วัด หมายความว่าถ้าอยากรู้ อยากได้ธรรมะก็ต้องไปวัด อยากปฏิบัติธรรมก็ต้องเข้าวัด ออกจากวัดเมื่อไรก็ต้องทิ้งธรรมะไว้ที่วัด หรือมันจะติดตัวเราไปได้ไม่นาน แล้วต้องเข้าวัดไปเอามาใหม่
ความเข้าใจอันนี้ทำให้เกิดการบ้าบุญกันใหญ่ ทำให้เกิดพุทธพาณิชย์ และเกิดมาเฟียภายใต้ร่มกาสาวพัตร์ อย่างน่ารังเกียจอย่างยิ่ง
เหล่าผู้บอกตัวเองและผู้อื่นว่าตนเป็นชาวพุทธ(แต่ในนาม) โดยไม่เคยเหลียวมองเลยว่าพระพุทธองค์ทรงสอนอะไร ไม่เคยหรือแม้แต่พยายามตรวจสอบว่าคำสอนนั้นถูกต้องหรือไม่ มัวแต่บนบานศาลกล่าว คิดหาทางแต่จะรวยทางลัด โดยไม่ลงทุน หรือลงทุนแบบนักธุรกิจผู้ค้ากำไรเกินควร หรือไม่ก็ทำแบบสนองกิเลสตัวเอง โยมก็ถูกกิเลสพระก็ถูกกิเลสเป็นพอ
แห่แหนกันทำบุญหลายๆ วัด แห่กันสร้างโบสถ์วิหาร พระพุทธรูป ให้เลิศหรู ใหญ่โต อลังการ โดยไม่สนใจเลยว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา เป็นศาสนาแห่งการศึกษา และมีหลักปฏิบัติอย่างเป็นระบบ หมายความว่าอยากได้อะไรก็ต้องทำเอาด้วยตนเองตามหลักที่วางเอาไว้แล้วในพระไตรปิฏก
พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่เอา วัดที่ไม่เน้นวัตถุไม่เอา วัดที่สอนปฏิบัติธรรม(แบบถูกต้อง)ก็ไม่เอา เวลาพระเทศน์ก็จะเอาแบบสนุกโปกฮา ตอนนี้พระเริ่มทำตัวเป็นตลกคาเฟ่เริ่มมีให้เห็นกันแล้ว (สงสัยเวลาพระจะเทศน์คงต้องถวายถาดเปล่าๆ ใบเดียวคงพอ)
เป็นอะไรกันหมดนะชาวพุทธเรา ธรรมะยังมีอยู่ พระผู้ปฎิบัติดีปฏิบัติชอบก็ยังพอมีอยู่ ช่วยกันปกป้อง ช่วยกันรักษา ช่วยกันศึกษา ช่วยกันปฏิบัติ ช่วยกันสานต่อ อย่าใกล้เกลือกินด่างกันเลยครับ
ธรรมสวัสดีครับ
« « Prev : สู่หนใด?
7 ความคิดเห็น
สาธุ
เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เฮอะ ๆ เหอ เคยมีคนบอกว่าการรวบอำนาจดูแลพระสงฆ์จากประชาชน นำไปจัดตั้งเป็นองค์คณะเหมือนราชการทำให้พระห่างไกลชุมชน และดูแลควบคุมลำบาก
แต่เบิร์ดแย้งว่าไม่จริง เพราะคนยังไปวัดอยู่ ยังมีการติดตามคำสอน คำกล่าวขององค์ศาสดาผ่านพระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหลายรูป เมื่อการติดตามก็เกิดการควบคุมดูแลโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ข่าวหลายข่าวที่เราเห็นก็เกิดจากการซุ่มดูของชาวบ้านจนรู้จริง นี่จะบอกว่าประชาชนเสียการดูแลพระภิกษุสงฆ์ไปคงไม่ถูก แต่เราได้ทำหน้าที่นั้นอย่างดีแล้วหรือยังต่างหาก
การจะดูแลใครเราต้องรู้นะคะว่าดูเรื่องอะไร มีขอบเขตแค่ไหน เหมือนการเป็นพ่อแม่ที่ดูแลลูก ถ้าไม่รู้วิธีเลี้ยงลูกให้ดี จะทำได้ดีมั้ย…ประชาชนก็เช่นกันเป็นพุทธแบบไหน ? เคยศึกษาศาสนาดูหรือไม่ หรือฟังและจำตาม ๆ กันมาเท่านั้น สักพักก็ลืม หรือสนใจแต่พระที่ห้อยคอว่ารุ่นไหน มีมวลสารอะไร มีพุทธคุณด้านไหน นั่นพอแล้ว ?
แหม งับทีหลังนี่สนุกแฮะ เดี๋ยวงับต่อดีกว่าเรื่องกบเลือกนาย อิอิอิ
#1 อุ๊ยสร้อย ครับ
ไม่มีอะไรมาก แค่คนแก่บ่นเฉยๆ น่ะครับ อิอิ
#2 พี่บู๊ดครับ
ธรรมะคือธรรมชาติ ไม่ว่าจะอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้น มันก็ยังเป็นและจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
แต่ผู้เปิดเผยความจริงของธรรมชาติให้เราได้รู้ ให้เราได้ศึกษา จนเข้าใจที่สุดแห่งธรรมชาตินั้นเกิดยากมาก
เมื่อเราโชคดีที่เกิดมาทันยุคนั้นก็ไม่อยากให้เมินเฉยกัน
แต่ผมเชื่อว่าพี่ก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่เมินเฉยต่อสิ่งนั้น เห็นเข้าวัดเข้าวาบ่อยเหมือนกัน ยิ่งได้พบกับพระสุปฏิปันโนอย่าง หลวงพ่อคำเขียน กับพระอาจารย์ไพศาล ผมล่ะอิจฉาจริงๆ ครับ
#3 คุณเบิร์ด ครับ
ผมคิดว่าความหวังหรือทางแก้ให้สังคมดีขึ้นอยู่ที่วัดครับ เพราะจุดศูนย์กลางแห่งศีลธรรมย่อมอยู่ที่วัด
สังคมสมัยก่อนเนื่องอยู่กับวัด สมัยก่อนผมว่ากรณีพิพาทหลายๆ กรณีก็จบลงอยู่ที่วัด
พระพุทธศาสนาของเราจะอยู่ได้นานแค่ไหนก็ขึ้นกับพุทธบริษัททั้ง ๔
ในความเห็นของผมคิดว่าภาระใหญ่ควรจะอยู่ที่ อุบาสก อุบาสิกา นี่แหละครับ เพราะผู้ที่เป็นพระก็ต้องเป็นโยมมาก่อน วัดจะอยู่ได้หรือไม่ก็ขึ้นกับโยม
ผมว่าปัญหาหลักก็อยู่ที่โยมนี่แหละครับ
เห็นด้วยกับคุณเบิร์ดที่ว่า
“ประชาชนก็เช่นกันเป็นพุทธแบบไหน ? เคยศึกษาศาสนาดูหรือไม่ หรือฟังและจำตาม ๆ กันมาเท่านั้น สักพักก็ลืม หรือสนใจแต่พระที่ห้อยคอว่ารุ่นไหน มีมวลสารอะไร มีพุทธคุณด้านไหน นั่นพอแล้ว ?”
ก็นั่นแหละครับ ใกล้เกลือกินด่าง
เรื่องกบเลือกนาย? ชักอยากฟังซะแล้วซิ แต่รู้สึกเสียวสันหลังยังไงไม่รู้ อิอิ
อ้อ ลืมบอกไป จริงๆ แล้วในบันทึกนี้ผมจะเขียนเรื่องอื่น กะจะเขียนเรื่องนี้นำร่องก่อนนิดหน่อย สุดท้ายนิ้วพาไป เลยเลี้ยวกลับไม่ทันครับ