๖๓.ไปคุยกับปราชญ์อีสาน

โดย อัยการชาวเกาะ เมื่อ 25 พฤศจิกายน 2008 เวลา 22:21 ในหมวดหมู่ เสริมสร้างสังคมสันติสุข #
อ่าน: 3496

เป็นหวัดเสียสองสามวัน เพลีย ระคายคอ ก็เลยพาลไม่อยากเปิดคอม อิอิ ลูกสาวชวนไปพักที่โรงแรมที่เขาทำงานอยู่ เลยไปนอนกันทั้งครอบครัวได้หลับพักผ่อน พูดคุยกันประสาพ่อแม่ลูก แต่ก็ต้องวิ่งไปงานกฐินสองสามงาน วันนี้มาทำงานก็นึกได้ว่ายังติดค้างตอนไปอีสานและลาวใต้ เปิดดูบันทึกของพ่อครูบา โอ้โฮ เขียนไว้เยอะ ก็ดี อิอิ เราจะได้ทุ่นแรงไป แต่จะเล่าให้ฟังว่าไปฟังปราชญ์อีสานพูดแล้วได้อะไรมาบ้าง

เราเริ่มการเสวนากัน อ.นิกร วีสเพ็ญ ได้แนะนำตัวและเล่าให้ฟังคร่าวๆถึงเมืองอุบล ว่าเดี๋ยวนี้น่าเป็นห่วงเพราะคนรุ่นหลังไม่สนใจภูมิเมือง จากการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอาเสียงข้างมาก อยากจะได้ผิวจราจรกว้างขึ้นก็เลยทุบทางเท้า(ฟุตบาท) และเอาต้นไม้ออก ชาวบ้านชาวเมืองทนไม่ได้ก็เลยไปฟ้องศาลปกครอง เมื่อเดือนที่ผ่านมา ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้เทศบาลคืนต้นไม้และทางเท้า(ฟุตบาท)ให้กับประชาชน อ.นิกร แนะนำว่าถ้าขับรถในเมืองอุบลให้ระวังตัวดีๆ เพราะท่านอาจจะชนเสาไฟฟ้าที่โผล่อยู่ตามถนน อะจ๊าก….จากนั้นก็เป็นการโยนไมค์ใส่ครูบาสุทธินันท์ แต่มีหรือที่ครูบาสุทธินันท์ จะรับไว้คนเดียวรายการเขวี้ยงไมค์ก็ไปหล่นที่ท่านอภัย จัดการต่อ อิอิ พ่อครูบาเกริ่นนำ แล้วให้เขยอุบล(พี่อภัย จันทนจุลกะ) มาแนะนำตัวพวกเราทั้งกลุ่มในภาพรวมของหลักสูตร ตัวนักศึกษาที่มาจากหลากหลาย ทั้งภาคราชการ เอกชน และเอ็นจีโอ ซึ่งมีทั้งสะใภ้อุบล(พี่อมรา แตงโม),คนเคยรับราชการอยู่อุบล (ท่านนันทศักดิ์) ฯลฯ

เราได้พบพ่อสุวิชช คูณผล ปราชญ์ท่านหนึ่งของเมืองอุบล ท่านเรียกตัวเองว่า สุวิชช ชะช่ะช่า…ฮา..ท่านก็ทักทายพวกเราถามถึงคนนั้นคนนี้ ถามถึงสถาบันพระปกเกล้า เพื่อทำความคุ้นเคยกัน ท่านเอ่ยถึงพ่อบำเพ็ญ ณ อุบล อดีตอัยการ ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์รุ่นแรกๆ ที่มีภูมิความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์วัฒนธรรมเมืองอุบลเป็นอย่างดี แต่เสียดายที่ท่านมาพบพวกเราไม่ได้เพราะอยู่ที่ยโสธรเดินทางกลับมาไม่ทัน(ท่านอายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว) พ่อสุวิชช ท่านบอกว่าไม่อยากพูดตามรูปแบบ เพราะไปฟังที่ไหนก็ได้ อ่านเอาตามเอกสารก็ได้ เอาเป็นว่าเราอยากฟังเรื่องอะไรขอให้ถามมา แล้วท่านก็เล่าความหลังสมัยเป็นนักศึกษา เล่าถึงคนดังท่านต่างๆ เช่น ประสิทธิ์ ณรงค์เดช, รักษา โภคาสถิต,นายแพทย์ประกอบ บุรพรัตน์,ทวีศักดิ์ เสนาณรงค์ ที่เคยชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย และเมื่อเดือนที่ผ่านมาผู้คนเหล่านั้นได้มาเจอกันได้ปรารภกันถึงเรื่องประชาธิปไตยว่าผ่านมาตั้ง ๕๐ ปี แล้วมันมีอะไรดีขึ้นมาบ้าง อิอิ

ท่านเล่าให้ฟังว่าวันก่อน เขาเชิญสัมนาเรื่องเมืองน่าอยู่ ที่โรงแรมลายทอง แต่เมืองน่าอยู่นี้สภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นคนกำหนด ไม่ใช่ชาวบ้านกำหนดขึ้นมา มันจะน่าอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อคนไม่มีคุณธรรม ขาดจริยธรรม ผู้คนก็ไม่น่ารัก เจอขิงแก่เข้าให้..อิอิ

แล้วท่านก็แสร้งทำหน้าตาเฉยถามพวกเราว่านั่งรถข้ามสะพานแม่น้ำมูลกี่ครั้งแล้ว เราตอบว่าสองสามครั้งแล้วนั่งไปนั่งมา ท่านก็บอกว่า ใครข้ามแม่น้ำมูลเพียงแค่ครั้งเดียวก็เป็นคนอุบลแล้ว อิอิ ก็เลยไม่ต้องสงสัยว่าเพราะบ้านนี้เมืองนี้ต้อนรับลูกหลานแบบนี้ จึงมีประชากร มีทั้งคนดี คนเก่ง เต็มบ้านเต็มเมือง อิอิ พลเมืองอุบลมีล้านแปด(แสนคน) แค่ขอคนละบาทไม่พึ่งงบประมาณรัฐ เพราะมีแต่นักการเมืองจัดสรร โดยมีโครงการอุบลคนละบาทแก้ปัญหาชาติและเมืองอุบล

แล้วก็แนะนำอาจารย์ปัญญา ไม้ช่วงที่สาม ลูกหลานเมืองอุบล พ่อสุวิชชบอกว่าเรียกท่านว่าอาจารย์ภูมิปัญญา ท่านเคยไปเป็นครูแถวผาแต้มและหากไม่มีใครโต้แย้ง ท่านบอกว่าท่านน่าจะเป็นคนแรกที่ถ่ายรูปผาแต้มเผยแพร่ จนเป็นที่รู้จัก อาจารย์ปัญญาก็ปวารณาตัวว่าอยากรู้เรื่องอะไรก็ถามได้

เล่าให้ฟังถึงคำกล่าวที่ว่า อุบลเมืองปราชญ์ แต่ก่อนมีปัญหาเป็นเมืองนักปาด อิอิ เพราะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อย ต้องมีการรื้อฟื้นความเป็นปราชญ์ โคราชเมืองนักมวย อยากร่ำอยากรวยไปอยู่อุดร

อ.นิกร ได้นำภาพเก่าๆ มาฉายให้เราดู เป็นภาพเก่าเล่าขานตำนวนเมือง อ.นิกร ร่วมกับ อ.ปัญญาไปหาภาพจากตระกูลต่างๆของเมืองอุบล ขอก๊อบปี้ มาปะติดปะต่อเรื่องราว ภาพชุดนี้มีคุณค่ามาก ได้เห็นประเพณีต่าง ได้เห็นขันหมากเบ็ง ซึ่งเอาไว้สำหรับเคารพผู้ใหญ่ เวลาไปไหว้ผู้ใหญ่ก็ยกไว้เหนือหัว ผู้ใหญ่รับขันหมากเป็งไปแล้วก็เอาไปไหว้พระต่อ ได้เห็นภาพผ้าซิ่นลายน้ำไหลของเก่า แต่ภาพเหล่านี้เสร็จพ่อครูบาซะแล้ว เขาค้นคว้ากันมาตั้งนานสองนานจึงเอามาฉายมาอธิบายเป็นเรื่องราว พ่อครูบาขอก๊อบลงธัมพ์ไดร๊ฟ์ ๒ นาทีเสร็จ อิอิ เสร็จโจร…ฮ่าๆๆ

ที่อุบล เขามีการรักษาความเป็นปราชญ์ พ่อสุวิชช พ่อบำเพ็ญ ก็อายุมากแล้วถ้าพ่อบำเพ็ญอะไรไปภูมิปัญญาก็จะสูญหายไป ต้องเอาคนสามรุ่นรวมกัน รุ่นภูมิปัญญาซึ่งอายุมากแล้ว ท่านจะมีความรู้มาก เช่นเรื่องนกหัสดีลิงค์ ประเพณีโบราณ รุ่นอายุ ๔๐-๖๐ พวกนี้รู้บ้างไม่รู้บ้าง เรียนรู้จากรุ่นภูมิปัญญา ซึมซับ รุ่นต่อมาก็คือพวก ๔๐ ลงมา ไปไหนมาไหนก็ให้คนสามรุ่นไปด้วยกัน จะได้มีการเรียนรู้สืบทอดกัน วัฒนธรรมจึงจะอยู่ได้ เพราะวัฒนธรรมตะวันตกมาแรงเหลือเกิน จะได้เป็นไม้ผลัดกัน พ่อสุวิชช แทรกว่าสามรุ่นนี้ เรียกได้ว่า “สามก้อนเส้า หม้อข้าวไม่ล้ม” แล้วก็ยังยกตัวอย่างเกี่ยวกับเทียนพรรษา ที่ปัจจุบันมีธุรกิจเข้ามาแทรก ถ้าไม่รักษาประเพณีเทียนพรรษาให้ดี เทียนพรรษาอาจจะกลายเป็นเรื่องของการโฆษณาสินค้าแล้วละเว้นวัฒนธรรมประเพณี จังหวัดจัดการกับธุรกิจ มีเพียงสองก้อนเส้า แต่หากละเลยวัฒนธรรมประเพณีโบราณไม่นานก็ล้ม

พ่อสุวิชช นั้นได้ชื่อว่าเป็นปลัด ๕๐๐ เพราะท่านเคยเป็นปลัดอยู่เมืองอุบล ซึ่งมีอายุ ๒๐๐ ปี ไปเป็นปลัดที่อุดร ซึ่งเมืองมีอายุ ๑๐๐ ปี แล้วไปอยู่ขอนแก่น ซึ่งเมืองมีอายุ ๒๐๐ ปี รวมแล้ว ๕๐๐ ปีพอดี อิอิ ท่านบอกว่าขอยืมคำที่คนใต้มาอยู่อุบลบอกว่า คนอุบลก็คือคนอีสาน รายรอบด้วยสิ่งดีๆ คือ ยโสธร คือ ยศ มีอำนาจเจริญ คือมีเดช มีศักดิ์ มีศรี มีพิบูลมังสาหาร มีตระการพืชผล แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ แต่เดี๋ยวนี้มีการแบ่งเขตจังหวัด มันก็เลยกระจัดกระจาย ท่านบอกว่าคนอีสานเป่าแคนเป็นการแสดงความนอบน้อมเพราะถ้าไม่ไหว้เป่าแคนไม่ได้ ลองสังเกตดูเวลาคนเป่าแคนสิครับ และเขามักนิยมเอาแคนมาแขวนไว้หน้าบ้าน เอาไว้ทำอะไรหรือครับ เป็นเคล็ดครับจะได้ร่ำรวย ไม่ขาดแคน ฮา….

« « Prev : ๖๒.ความขัดแย้งในถิ่นอีสานใต้

Next : ๖๔.ไปคุยกับปราชญ์อีสาน๒ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

130 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 1.3544230461121 sec
Sidebar: 0.073668956756592 sec