หินทับหญ้าฉบับนักการหนิง

โดย นักการหนิง เมื่อ 19 กรกฏาคม 2010 เวลา 10:18 (เย็น) ในหมวดหมู่ เรื่องเล่าจากลานดีดี #
อ่าน: 28229

วันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม …น้องที่อยู่ต่างประเทศไทรศัพท์มาชวนไปปฏิบัติธรรมที่วัดบุญญาวาสที่ชลบุรี  ตอนนั้นยังไม่ตกลงใจเพราะหลายเรื่องยังไม่เข้าที่เข้าทาง ทั้งเรื่องทำบ้าน และเรื่องการจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร  จนกระทั่งใกล้ๆ วันจริงก็สามารถจัดการอะไรๆ ได้ลงตัว

จึงเกิดปฏิบัติการ หินทับหญ้า ขึ้นเมื่อต้นเดือนทีผ่านมา  …สถานที่วัดบุญญาวาส

หินทับหญ้าที่ว่านะ  จอมป่วนเขาเขียนไว้ ลองอ่านดูค่ะ

ว่าแล้วก็จัดแจงเสื้อผ้าอะไรเสร็จเรียบร้อย  ระเบียบของที่วัด บอกว่าให้นุ่งผ้านุ่งสีดำ  5 5 5 5 เข้าล็อคค่ะ เพราะชอบนุ่งผ้าถุง  หาโอกาสอยู่เชียว  พอถึงกำหนดวันที่หนึ่งก็ไปรับน้องสาวที่สุวรรณภูมิ  ขับรถยนต์คู่ชีพไปชลบุรี  วันที่หนึ่ง กค.ค่ะ ตุเลงๆๆๆ  ไปถึงบ้านอำเภอไปหาอาหารทะเลทานก่อนไปวัด 5 5 5  ครือว่า  คนตีนดอยจะไม่ค่อยได้อาหารทะเลสดๆ ค่ะ  ว่าแล้วก็ลัดเลาะไปนอนค้างที่ หิ่งห้อยชาเลต์ก่อน  เพื่อตอนเช้าจะไปกราบพระอาจารย์ปราโมทย์  ที่สวนสันติธรรมก่อนค่ะ

วันแรก ตื่นแต่ตีสี่  อาบน้ำอาบท่า แล้วก็ไปส่งการบ้านกับพระอาจารย์ปราโมทย์ค่ะ

จากนั้นก็ขับรถหลงไปเรื่อยๆ จนถึง วัดบุญญาวาส เวลา 12.00น .   ไปถึงก็เจอแต่แม่ครัว   ยังรับกุญแจที่พักไม่ได้เพราะเลยกำหนดเวลา ก็ต้องรอรอบบ่ายสามโมงค่ะ  นักการหนิงกับน้องสาวก็นั่งอ่านหนังสือธรรมมะ สลับกับการคุยกัน และการทายากันยุง

ยุงตัวเท่าแมลงวันค่ะ

นั่งๆ อยู่ งูตัวเล็กตกลงมาจากต้นไม้แล้วก็เลื้อยเข้าไปในพงหญ้า

บริเวณรอบๆ ศาลาแสดงธรรมเป็นเืรือนไม้ใต้ถุนสูง  รอบๆ มีต้นไม้ขึ้นเป็นระยะๆ และวางที่นั่งสำหรับฟังธรรมเทศนาและทานอาหารได้ค่ะ  บริวเณนี้จะมีกิ้งก่า งู ยุง กระรอก บุ๊ง

(ภาพจาก เวปไซด์ของวัด)  ระหว่างรอเวลา  ได้พระท่านเต  เดินมาบริเวณ จึงได้กราบงามๆ ไปสามครั้งค่ะ  การกราบพระนี่นะคะ เคยถูกหลวงพี่ติ๊กสอนที่ดาดฟ้าบ้านคุณราณี  คือวันนั้น  กราบหลวงพี่ติ๊กไปประมาณ 4 ครั้ง  หลวงพี่เลยกรุณาสั่งสอนว่ากราบพระให้กราบสามครั้ง  ขอบพระคุณมากเลยค่ะ  พระท่านเตเป็นชาวออสเตรเลียที่ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์  และปีหนึ่งก็จะไปเยี่ยมโยมพ่อโยมแม่สักครั้ง  เรียนถามท่าน ท่านก็บอกว่าไม่กลับไปแล้วจะอยู่ในเพศบรรพชิตตลอดไป

บ่ายสามโมงพระท่านก็มาให้กุญแจที่พัก

“โยมมากี่คน”   “สองคนค่ะ”  “เป็นอะไรกัน”  “พี่น้องกันค่ะ”  “เออ ดี งั้นแยกกันอยู่เลยนะ จะได้ปฏิบัติได้เต็มที่  โยมพักหลังที่ห้า อีกคนหนึ่งพักหลังที่สิบ”  “เจ้าค่่ะ”   แป่วแว่วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

นักการหนิงก็ขับรถไปยังที่พัก  แล้วก็ขนสัมภาระเข้าที่พัก แยกกันคนละทางเข้า  เดินๆ ไปก็เจอตัวบุ๊ง  มด  ต้องเดินอย่างมีสติ

(ภาพจากเวปไซด์นี้ ค่ะ)

สักพักหนึ่ง ก็เจอตัวเงินตัวทองนอนอาบไอดินอยู่บนทางเดินค่ะ  เจอเราก็ทำเฉย  เลยบอกกับเขาว่ามาปฏิบัติธรรมนะ  เขาก็เลื้อยไปในพงหญ้า  เจอทางเดินแบบนี้ก็ชักหวั่นใจ  จะไหวไหมนี่ตรู  พอมาถึงที่พัก โอ้ย  ค่อยยังชั่ว  ที่พักเป็นอาคารคอนกรึตเสริมเหล็กยกสูง  แต่หลังที่พักไม่มีใต้ถุน  มีห้องน้ำในห้องนอน  มีตู้ใส่หนังสือ ใส่เสื้อผ้า  บนตู้หนังสือมีพระพุทธรูปหนึ่งองค์ เีทียนไข  หนังสือธรรมมะ  มีเสื่อให้หนึ่งผืน  มุ้งครอบ  พอประมาณ บ่าย สี่โมงก็ได้ยินเสียงกวาดใบไม้  ที่วัดนี้เขากำหนดให้ทำความสะอาดกุฏิและบริเวณรอบๆ ทุกวันเวลานี้ค่ะ

กุฏิที่พักจะมีป่าเป็นของตัวเองค่ะ  คือมองไม่เห็นกุฎิที่อยู่ใกล้ๆ  มีทางเดินจงกลมให้ข้างๆ  จ้างก็ไม่ลงไปเดินหรอก  เดินในห้องนี่แหล่ะ

พอทำความสะอาดอะไรเสร็จก็อาบน้ำ สระผม  แบบงง  ดูนาฬิกาอ้าว ห้าโมงครึ่งได้เวลาดื่มน้ำปานะแล้ว ก็เดินออกจากกุฏิไปโรงครัว เอ ทำไมไม่มีคนเลยหว่า  ว่าแล้วก็จัดการกับน้ำปานะซะเรียบร้อย  แล้วก็กลับที่พัก  หนังท้องตึงนิดๆ ก็ชักง่วงๆ  เอนหลังสักพัก น้องมาหาถามว่าไม่ไปทานน้ำปานะเหรอ  อ้าว  อย่างไงนี่เรา ดูนาฬิกาอีกที  อ้าวที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่สิ   โอ้โหไม่มีสติเลยนิ

ทานอาหารมื้อเดียวค่ะ

พอหกโมงเย็นก็เริ่มทำวัตรเย็น ด้วยเสียงอันดัง  ก็มันวังเวงในหัวใจ  สักพักก็ต้องจุดเทียนไขค่ะ เริ่มมืด  เปลวเทียนยิ่งหลอกหลอนใหญ่  ไม่จุดก็มืดสุดๆ  จุดก็เป็นเงาตรงนู้น ตรงนี้  ตรงนั้น

ทำวัตรเย็นเสร็จมืดตึ๊ดตื๋อ  ใจเริ่มแป้วค่ะ  นั่งสมาธิก็ไม่ได้รู้สึกหวาดๆ  ยังไงก็ไม่รู้   มืดแบบว่าลืมตากับหลับตาเหมือนกันเปี๊ยบ ยกมือขึ้นมาดูไม่เห็นเลยค่ะ  พระเจ้าช่วยด้วยกล้วยทอด  สักพักตุ๊กแกเริ่มส่งเสียงไปเป็นทอดๆ  5 5 5

พอดึกอีกนิดหนึ่ง  ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยเปิด MP3  ฟังเอาเสียงเป็นเพื่อน จนกระทั่งง่วงจัดจึงนอน  คืนนั้นแทบจะนอนไม่ได้ค่ะ  ผีหลอกทั้งคืน  เป็นสิบๆ ตัว  น่าจะเสียชีวิตเป็นแน่แท้  หลับสลับตื่นร่วมๆ 20 ครั้งได้

วันที่สอง จู่ๆ ก็ตกใจตื่นเสียงสวดมนต์ปลุกพระดังลั่นวัด เลยค่ะ    อ้าวเราไม่ตายหรือนี่   ตีสามแล้ว แต่นักการหนิงมีหรือจะตื่นมาทำวัตรเช้า มืดซะขนาดนั้น  ผลัดเป็นสายๆ หน่อยนะ  หกโมงเป๋งเช้า จึงเริ่มทำวัตรเช้าได้และวันนี้เป็นวันกราบพระอาจารย์ตั๋นครั้งแรกตามระเบียบคือกราบท่านวันแรกและวันสุดท้าย   ท่านถามว่าได้ไปปฏิบัติธรรมที่ไหนมาบ้าง ก็เรียนท่านว่าที่เคยปฏิบัติจริงๆ ก็ร่วมๆ 20 ปีมาแล้ว  แต่ตอนนั้นไม่มีครูบาอาจารย์ ช่วงนั้นนั่งสมาธิแล้วอยู๋ก็เกิดภาพอะไรต่างๆ ก็หยุดไปจนทุึกวันนี้ ก็พึ่งจะมาเริ่มใหม่ได้ประมาณ 1 ปี  พระอาจารย์ก็สอนว่าไม่ให้สนใจนิมิต เพราะจะทำให้จิตหลุดจากสมาธิ  แล้วก็บอกว่าให้ไปทำความเพียรเอง  แล้วท่านก็ให้หนังสือธรรมะ  ของหลวงตามหาบัว  วัดป่าบ้านตาด  “กายคตาสติ”   ท่านบอกว่าเป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่ง

พระอาจารย์ตั๋น  ท่านเป็นลูกศิษย์  หลวงปู่ชา  สุภัทโท  วัดหนองป่าพง

หลวงปู่ชา  สุภัทโท  (มาจากเวปของวัดหนองป่าพง)



ภาพพระอาจารย์ตั๋น

หนังสือท่านดีจริงๆ ค่ะมีธรรมโอวาทของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ในที่นี้จะขออนุญาตคัดลอกข้อความตอนหนึ่งมาย่อๆ ดังนี้

การพิจารณากายนี้เป็จของสำคัญ  ผู้ที่จะพ้นทุกข์ล้วนต้องพิจารณากายนี้ทั้งสิ้น  สิ่งสกปรกน่าเกลี่ยดนั้นก็คือตัวเรานี้เอง ร่างกายนี้เป็นที่ประชุมแห่งของโสโครก  เป็นอสุภะ น่าเกลียด…” เมื่อเปิดดูภาพภายในเล่มก็ต้องปิดลงก่อน  และก็บอกในใจว่า .. ขอเวลาอีกสักสองสามวันให้จิตมั่นคงกว่านี้อีกนิดหนึ่ง

ในวันนี้  ฝนตกและฟ้ามืดคลึ้มทั้งวัน  ช่างเป็นบรรยากาศที่สนับสนุนให้จิตเกิดการปรุงแต่งได้เป็นอย่างดี วันนี้กำหนดการเดินจงกลมและนั่งสมาธิสลับกัน อย่างละครึ่งชั่วโมง  ภาคก่อนเที่ยงและหลังเที่ยง สลับกับการอ่านหนังสือธรรมะ

พอหลับนั่งสมาธิ  เห็นงูเห่าเลื้อยๆ เข้ามาแผ่แม่เบี้ยที่ด้านข้างๆ  หลังทางขวามือ  ดูอย่างไงก็ไม่ไป เดี๋ยวก็เลื้อยเข้ามาอีกแล้ว  จะพุทโธอย่างไงวุ้ยเนี่ย  เดี๋ยวก็มาอีกแล้ว  ตัวเดิมนั้นแหละ  แผ่แม่เบี้ยชัดมาก  เดี๋ยวก็มาอีกแล้ว  จะนั่งสมาธิได้ไหมเนี่ย  มันเอาตรูตายแน่ๆ  นั่งไปกลัวไปสักพัก  เราสร้างขึ้นเองหรือเปล่า  ลองทดสอบดู  ลองคิดว่ามันมาอยู่ข้างหน้า  เอ๊ะเจ้างูตัวก็ทำตามแหะ ย้ายมาไว้ตรงลิ้นปี่ ก็มาแหะ  ลองขยายดู  อะโหตัวเบ้อเร่อเลย  คิดไปคิดมาสักพักเจ้างูก็หายไป  เป็นไงหล่ะ ยายนักการหนิง หลอกตัวเองระเบิดเทิดเทิง  สักพักก็มีแม่ชีมาแทนที่งู  เอ้ายังไงวุ้ยเนี่ย  ของจริงหรือของปลอมวุ้ย ลืมตาก็ไม่ได้ยังนั่งสมาธิอยู่  ลองพุทโธไม่สนใจดูซิแม่ชีจะไปไหม  ทำอย่างไรก็ัยังอยู่  เอ! สงสัยจะเป็นแบบเจ้างูตัวนั้นแหล่ะ  …. ว่าแล้วก็จัดการซะเรียบร้อย  ถึงตอนนี้เริ่มนั่งสมาธิได้ ……….    เราคิดไปเอง  หลอกตัวเองชัดๆ

การตื่นในระหว่างกลางคืนลดลง

วันที่สาม เริ่มตืนตีห้าครึ่ง  วันนี้สัตว์ต่างๆ ก็มีมาให้เห็นเหมือนเดิม  วันนี้กำหนดการเดินจงกลม นั่งสมาธินานขึ้น  ฟ้ามืดคลึ้มทั้งวัน เย็นๆ  จิตใจเลยเกิดความหดหู่ื  ตอนเย็นต้องออกไปเดินบริวเณด้านหน้าที่พักเพื่อรับแสงอาทิตย์   เวลาที่เดินจงกลมหรือนั่งสมาธิใจก็บอกกับตัวเองตลอดว่าอยากอ่านหนังสือ  อยากอ่านหนังสือได้ยินไหม

วันที่สี่ เช้านี้พระอาจารย์สอนธรรมให้กับญาติโยมที่มาทำบุญ  และเล่าประสบการณ์ปฏิบัติธรรมของท่าน   และท่านสอนการนั่งสมาธิและเดินจงกลมตามหลักอาณาปนสติและใช้คำบริกรรมพุทโธ  โดยเมื่อจิตไหลไปคิดให้รู้เท่าทันและกลับมาที่ลมหายใจ  อีกทั้งได้สอนว่าที่ต้องเดินจงกลมและนั่งสมาธิเพื่อให้จิตมีกำลังเพียงพอ  และมีสติที่ว่องไว  เมื่อเกิดกิเลสใดๆ  ขึ้นในจิตก็สามารถใช้จิตที่ถูกฝึกมานั้นได้อย่างง่ายดาย

ชีวิตดำเนินตามปกติคะ  แต่วันนี้กำหนดชุดละ 45 นาที แต่คาบเช้านั่งสมาธิไม่ได้ต้องเดินจงกลมแทน จนกระทั่งคาบบ่าย  จึงจะสามารถนั่งสมาธิได้  ตอนเย็นน้องสาวถามว่าวันหลังเจ๊อยากมาปฏิบัติธรรมที่ี่นี่อีกไหม   นักการหนิงตอบว่า  “ครึ่งๆ”  ตอบตามที่ใจคิดเช่นน้นจริงๆ  เพราะแต่ละครั้งที่เดินเข้าออกที่พัก บรรยากาศค่อนข้างบีบหัวใจค่ะ

วันที่ห้า วันที่หก เจริญสติโดยกำหนดการนั่งและเดินจงกลมอย่างละหนึ่งชั่วโมง   วันนี้ตั้งใจพิจารณาทุกขเวทนาโดยตรง  ผลของการพิจารณาทุกขเวทนาสองวันนี้ไม่เหมือนกัน  นักการหนิงไม่บังอาจเล่าลงในรายละเอียดของการพิจารณาทุกขเวทนาได้  ถ้าท่านผู้ใดสนใจให้ลองหาได้ในหนังสือของพระอาจารย์มิตซูโอะ สเวคโก    เรื่อง ทุกขเวทนา ที่เห็นชัดๆ คือเห็นความทุกข์ของรูป

วันที่หกเป็นคืนสุดท้ายในกำหนดการ  คืนนี้ก่อนทำวัตรเย็น จิตมีอาลัยเกิดขึ้น อยากให้การทำวัตรเย็นเนิ่นช้าออกไป

เช้าวันที่เจ็ด ตื่นมาประมาณตีห้า  อาบน้ำล้างหน้า ทำวัตรเช้า  จิตมีอาลัยอีีกครั้ง   แต่ไม่ว่าอย่างไรวันเวลาก็ไม่หยุดอยู่กับที่  มีเกิดย่อมมีดับ  หลังจากทานอาหารเช้า   แ้ล้วจึงฟังธรรมะ และกราบลาพระอาจารญ์และถามข้อสงสัยในการปฏิบัติธรรมในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ส่งน้องสาวไปขึ้นเครื่องบิืน  จบก็ขับรถยนต์กลับพิษณุโลก คนเดียว  สมองปลอดโปร่งมากๆ  มากกว่าไปเที่ยวตามที่ต่างๆ สงสัยจะเป็นบุญกุศล  ฮั่นแน่

เล่าประสบการณ์ในการนี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อนค่ะ

บุญกุศลที่ข้าพเจ้าที่ทำมาในครั้งนี้ ขอมีแก่ท่านผู้ที่ข้าพเจ้าเคารพเป็นครูบาอาจารย์  พ่อแม่ ลุง ป้า น้า อา พี่ เพื่อน  น้อง  ลูก หลาน  ในลานปัญญาทุกคน   ธรรมะให้ความร่มเย็นเสมอ

« « Prev : บทวิเคราะห์ เจ้าเป็นไผ2 องค์ที่ 12

Next : เรียนรู้การเปลี่ยนวิถีชีวิต » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4335 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 5.0721051692963 sec
Sidebar: 0.0097558498382568 sec