ชีวิตธรรมดา ตอนค้นหาตัวเอง
การจากบ้านครั้งนี้ เป็นการค้นหาตัวเอง มีอะไรในตัวเองหายไปตั้งเยอะ ที่เห็นๆ คือความอ่อนโยน ความอ่อนแอ และมีความสับสนในวิธีคิด วิธีจัดการกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย ที่เกิดขึ้นในชีวิตช่วงนี้ พันธนาการที่มีต่อพ่อถูกปลดออกได้แล้ว แต่ยังมีพันธนาการในใจอีก คือการโหยหาความรักจากพ่อ ….. ช่วงชีวิตนี้มีความลำบากในการเลือกเส้นทางชีวิต มีหลายๆ คนมาแสดงไมตรี อาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้ก็หน้าตาดีไม่ใช่น้อย….อิ อิ หุ หุ ไม่เข้าใจว่าเราจะเลือกคนอย่างไรมาเป็นคู่ชีวิต ผู้ชายที่จะมาเป็นคู่ชีวิตที่ดีมีลักษณะเป็นอย่างไร เพราะไม่เคยเห็นบทบาทของผู้นำครอบครัวที่ดี
สับสน วางตัวไม่ถูก ตัดสินใจไม่เป็น อึดอัด งงงวย ว่าเราต้องการชีวิตคู่ที่ดี แล้วเราจะมีมันได้อย่างไร มีแล้วจะเป็นอย่างไร จะเลือกคนอย่างไร แล้วยังไง แล้วยังไง แล้วยังไง แล้วยังไง แล้วยังไง
แม่เคยสอนว่าให้ใจเย็นๆ เลือกคู่ก็เหมือนกับเดินหาต้นไม้ในป่า วัยรุ่น เราจะพบป่าละเมาะ ต้นไม้จะเล็กๆ แต่เราจะคิดว่าต้นใหญ่แล้ว ใช่แล้ว นี่เลย แต่จริงๆ แล้วเมื่อเราเดินเข้าป่าลึก ไป อีกเราจะพบต้นไม้ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ……………. ไม่เข้าใจหรอกค่ะ เพียงแต่จำได้
สามปีที่อยู่สระบุรี… … พยายามฝ่าพันธนาการของเด็กบ้านแตก….. แม้ตอนเป็นเด็กวัยรุ่นจะไม่เป็นเด็กใจแตก ………แต่คมหนามของบ้านแตกยังบาดลึกอยู่เสมอๆ ไม่เข้าใจว่าตนเองนั้นต้องการสิ่งใด อะไร และอย่างไร
ชีวิตผกผันมาอยู่พิษณุโลก…ค่อยๆ วางจิตใจ เริ่มต้นใหม่ เริ่มวางจิตใจไว้กับตัวเอง ไม่ปล่อยให้อดีต ความโหยหาความรัก ความอบอุ่น มารบกวน พินิจพิเคราะห์ตัวเอง ….. ถามตัวเองว่า
- วันนี้อยู่เป็นโสดมีความสุขไหม…………….มีความสุข
- ถ้ามีคู่ครองแล้วเป็นทุกข์จะรับได้ไหม …..ไม่ได้
- ต้องการอะไรระหว่างมีความสุขกับมีคู่ครอง………ความสุข
- ทำอย่างไร………….ไม่ทำอะไร
การเลือกคนที่มาเป็นชีวิตคู่ตอนนี้เริ่มใช้สมองมากกว่าอารมณ์ มองให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุด ศึกษาดูความบ้าบออย่างที่สุด ก่อนตัดสินใจ ทดสอบด้วยแบบทดสอบที่ออกแบบเอง จนกระทั่งเห็นว่าผ่านจึงพาไปหาแม่ ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจเลือกคนคนหนึ่งมาเป็นคู่ชีวิต……………
ห้าปีแรก เป็นอะไรที่สุดขั้ว มาจากความแตกต่างที่สุดขั้ว ต้องใช้การปรับตัวขนานใหญ่ทั้งเขาและเรา ที่ใช้มากที่สุดคือการพูดคุยกัน เพื่อหาความลงตัว แต่เรื่องหนึ่งๆ ไม่ได้คุยครั้งเดียวแล้วลงตัว คุยกันหลายครั้งตามแต่เหตุการณ์จะเป็นไป…. จากการที่พูดคุยปรับตัวเข้าหากันทั้งสองฝ่าย ทำให้ชีวิตคู่ยืนยาวมาได้จนทุกวันนี้ ……….
เหตุหนึ่งที่มีปัญหา เพราะเราเองที่ไม่เคยเห็นบทบาท พฤติกรรม ของผู้ชายในบ้าน ปัญหาจึงเกิดจากการคาดเดาซึ่งหากไม่เป็นไปอย่างที่คาดเดาก็จะมีปัญหาความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น แต่เนื่องจากชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเรียนรู้การประนีประนอม การผ่อนสั้นผ่อนยาว ทุกครั้งที่มีปัญหาจิตก็จะตกมากๆ และต้องใช้เวลากอบกู้นาน ทั้งๆ ที่เป็นเด็กบ้านแตกที่ต้องการความรัก ต้องการครอบครัวที่อบอุ่น กลับเลือกใช้วิธีแตกหัก โชคดีที่คนข้างตัวเป็นคนที่ประนีประนอมและเป็นคนจิตใจดี พร้อมจะรับฟัง เข้าใจ และปรับตัว ทำให้นำพาชีวิตคู่มาได้จนทุกวันนี้
ความมั่นคง จิตใจดี และให้รักอย่างแท้จริง ……….. ความมั่นคงค่อยๆ ก่อเกิดในจิตใจตามระยะเวลา …….. จิตใจที่แหว่งวิ่นถูกเติมเต็ม ความเจ็บปวดซาลงมาก จวบจนวันนี้แทบจะไม่หลงเหลือในจิตใจ โซ่ตรวนได้หลุดเป็นข้อๆ ไป
มาวันนี้เคยถามตัวเองว่าเขาเป็นอะไร…….. คำตอบที่ได้รับคือเขาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา
นับจากวันที่ปลดพันธนาการจากพ่อมาจวบจนโซ่ตรวนหลุดออกไปทีละข้อ ……….. วันนี้เมื่อหันกลับไปนึกถึงวันที่พ่อออกไปจากบ้าน ความรู้สึก ไม่จึ้ดมากนัก ……….. วันนี้กลับต้องขอบคุณพ่อที่ออกไปจากบ้านที่ทำให้ตัวเองได้เข้มแข็ง ได้เรียนรู้ต่อสู้ในโลกใบนี้ และที่สำคัญคือได้มีวันนี้
ที่ผันที่ผ่าน ปม และโซ่ตรวนพันธนาการของจิตใจ มาได้ส่วนหนึ่ง มาจากน้ำมือของแม่…..ผู้ให้กำเนิด ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคยทอดทิ้ง และในวันที่ล้มคว่ำคะมำหงาย แม่ไม่เว่า ไม่ด่า หรือซ้ำเติม แม่ยื่นมือมาโอบอุ้มและให้โอกาสลุกขึ้นมา …….. “แม่……หนูเหนื่อยและท้อแท้ เสียใจเหลือเกิน แม่ตอบว่า อืม หนูเหนื่อยเกินไปแล้วนะ มาอยู่กับแม่ ให้แม่ดูแล แม่กับข้าวอร่อยๆ ให้หนูกินดีกว่า” ไม่ช้าไม่นานลูกนกที่ซมซานกลับมาหาแม่ก็ถูก จับใส่เฝือก ป้อนน้ำป้อนข้าว ให้กำลังใจ สักพักปีกที่หักก็ประสานกันดี ได้สารอาหารรัก สารอาหารใจจากแม่ ลูกนกแข็งแรง เติบโตมาอีกหนึ่งขั้น ….จากประสบการณ์ความเจ็บปวด แต่ละขั้น แต่ละขั้นเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่มีแม่เป็นเบื้องหลัง สมัยนี้คงเรียกว่ามี Back Up
ไม่รู้จะขอบคุณแม่อย่างไรดี นอกจากให้ความรักและดูแลแม่อย่างดี…..คิดว่ามาถึงวันนี้แล้วก็ยังนับไม่ได้ว่า ได้ดูแลแม่อย่างดีที่สุด ………. นับวันที่ผ่านไป ผ่านไป เราสองคนแม่ลูกกลมเกลียวกันมากขึ้น มากขึ้น เหมือนเป็นเกลียวหนึ่งของเส้นเชือกของแม่ ……….
ไม่รู้ว่าตัวเองเจอตัวเองที่ค้นหาหรือยัง……. เพียงเต่วันนี้เป็นสุขมากขึ้น ….ทุกข์น้อยลง….เจอตัวเองหรือยัง……..หรือไม่ต้องหา ตัวเองก็อยู่กับตัวเองนี่แหล่ะ…….. คุณคือใคร คุณคือใคร
ถอดบทเรียนชีวิต
1. เด็กบ้านแตกต้องการความรัก ต้องการครอบครัวที่อบอุ่น กลับเลือกใช้วิธีแตกหักกับคู่ครองของตนเอง ……….. อาจเป็นเพราะเด็กคนนั้นไม่มีภาพการประนีประนอมของพ่อกับแม่ในใจเขา
2. ทุกจังหวะชีวิตมีคลิก ลองค่อยๆ พิจารณาจังหวะแต่ละจังหวะ บางจังหวะทำให้ก้าวผ่านปมบางปมไปได้
3. แต่ก่อนเป็นเด็กน้อย ด้อยปัญญา จึงกำหนดอะไรไม่ได้ คิดอะไรก็ไม่ค่อยเป็น ไม่ค่อยแตก วันนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว อยากกำหนดอะไรจงกำหนด คิดอะไรค่อยๆ คิดด้วยปัญญาเดี๋ยวมันก็แตก
4. เพราะพ่อเป็นเช่นนี้ จึงมีวันนี้ เพราะแม่เป็นเช่นนี้ จึงมีวันนี้ ขอบคุณทุกๆ เหตุการณ์ที่ผ่านมาของชีวิตที่ทำให้มีคน คนนี้และมีวัน วันนี้ ขอบคุณจริงๆ
« « Prev : วงส้มตำ แห่งเมืองสองแคว
Next : ติดโช๊คอั๊พให้หัวใจ » »
8 ความคิดเห็น
สวัสดีค่ะ แวะมาทักทายและชื่นชมในการถ่ายทอดเรื่องราวที่งดงาม จริงใจ
เราเชื่อว่า ทุกเรื่องราวและผู้คนที่เข้ามาในชีวิตเราเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่จักวาลจัดสรรอย่างเฉพาะเจาะจงมาให้เรา ด้วยความเมตตา
ยินดีที่ได้รู้จักคะ่ ^_^
สวัสดีค่ะคุณสายลม แสงแดด และไอดิน ……..คิดง่ายๆ ด้วยคนนะ ชีวิตนี้ มันส์เป็นบ้า .55555 ฮิ้ว
ขอบคุณมากๆๆๆ สำหรับกำลังใจ รีบกอบเก็บมาไว้ในใจทันทีเลยค่ะ
คุณดาค่ะ ทีแรกก็ไม่กล้าหรอกค่ะ ติดกรอบ ติดแหง็ก ตาหลังอ่านของใครๆ มากมาย ทนไม่ไหวจริงๆ ค่ะ ขอแจมมั่ง ก็ชีวิตนักการหนิงออกจะมันส์ซะขนาดนี้……… ยังไงก็ต้องมอบเป็นของขวัญสำหรับทุกคนที่เข้าเก็บเกี่ยวแหล่ะค่ะ
อิอิ
ฮั่นแน่ พี่หมอเจ๊ มีเข้ามาขำ…
ขอบคุณมากนะคะ ทุกถ้อยคำมีความหมาย ให้ความรู้สึกค่ะ อยากให้คนที่มีช่วงชีวิตทำนองนี้ ได้เข้ามาอ่านแล้วได้แนวคิด แนวปฎิบัติ ของคุณหนิงจังค่ะ ป้าหวานมองว่ามีเด็กรุ่นใหม่อีกมากที่คิดว่า ตนเองเสมือนบ้านแตก เพราะขาดความอบอุ่นภายในครอบครัว ทั้งๆที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
สวัสดีค่ะป้าหวาน…. เห็นด้วยกับที่ป้าหวานมอง เด็กรุ่นใหม่มีวิถีชิวิตที่ทำให้แบ่งแยกจากธรรมชาติ… และจากสภาพสังคมปัจจุบันที่ส่งผลให้เขาเหล่านี้ขาดรากเหง้าค่ะ … การเลียงดูเด้กสมัยจึงยากยิ่งนัก ใกล้ชิดมากก็บ่นว่าอึดอัด ถูกควบคุม ห่างไปนิดหนึ่งก็บอกว่าถูกทอดทิ้ง….
หนิงเองก็ทั้งว้าวุ่น และสับสน ไม่เข้าใจตนเองค่ะ … กว่าจะผ่านด่านของวัยมาได้ เรียนรู้ผิดถูกอยู่ก็ไม่ใช่น้อยค่ะ โชคดีที่เป็นคนช่างอ่านช่างเขียน … มีสิ่งใดกระทบใจ กระทบความรู้สึก ก็จะเขียน คุยกับตัวเอง ค่อยๆ ใคร่ครวญ.. บางครั้งเขียนเสร็จก็ร้องไห้ยกใหญ่ เหมือนชีวิตจะดับวายเสียตรงนั้น แต่เมื่อน้ำตานองหน้าตัวเองและหน้ากระดาษ ไม่นานนัก ..การคิดได้คิดออกก็บังเกิดค่ะ บางครั้งเขียนไปเขียนมาได้คำตอบเอง และนำมาใช้ในชีวิตทุกวันนี้….
มีครั้งหนึ่งที่มีเหตุการณ์ที่ความวิกฤตในชีวิต … ได้เขียน ได้ทบทวน ได้อ่านได้ระบายผ่านตัวหนังสือ …ทุกวันๆ ในทุกวันก็จะเขียนบอกกับตัวเองว่าอดทนอีกนิดหนึ่งนะ อีกนิดหนึ่งๆ ๆ ๆ ในวันต่อๆ มา ก็เขียน อดทนอีกนิดหนึ่ง มีสติอีกนิดหนึ่ง ทำอย่างนี้ อย่างนี้ จนกระทั่ง วันสุดท้ายที่เขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น ได้บอกกับตัวเองว่า …วิกฤติไม่อยู่กับเราตลอดไป ขอเพียงมีความอดทนที่จะอยู่กับมัน และมีสติ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ตรงนี้แหล่ะค่ะป้าหวาน ที่ประคองชีวิตของหนิงมาได้จวบจนทุกวันนี้ ที่ทำให้วันนี้ไม่ค่อยร้อนหนาวมากนัก
ส่วนเป็นเพราะว่า รักและเห็นความลำบากของแม่ค่ะ อยากเห็นแม่มีความสุข ทำให้การอยู่ของหนิงมีคุณค่า
ขอบคุณป้าหวานมากค่ะ