Apr 22

กำลังเรียน ป.๑ คุณยาย แม่เฒ่า หรือนม ได้ถึงแก่กรรมลง ครอบครัวจึงได้ย้ายไปอยู่บ้านแม่เฒ่าซึ่งเป็นบ้านเดิมของแม่… เรือนหลังนี้ จัดอยู่บ้านหัวนอนของบ้านคูขุด อยู่ระหว่างบ้านที่หนองหม่าวกับบ้านที่คลองหลาซึ่งเพิ่งย้ายจากมา ระยะห่างก็อยู่กึ่งกลางบ้านเก่าทั้งสองแห่ง โดยทั้งสามแห่งนี้ก็ตั้งอยู่ริมถนนดินเส้นเดียวกัน… สำหรับเรือนหลังนี้ แม้จะไม่เคยมาอยู่เป็นทางการ แต่ก็แวะเวียนมากินมาเที่ยวอยู่เสมอ…

ลักษณะของเรือน จะเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูงประมาณสองเมตรทรงปันหยา เป็นเรือนปลูกติดกันหลายๆ หลัง โดยแบ่งเป็น ๒ ครอบครัว… ครอบครัวผู้เขียนจะมีปู่หรือพ่อเฒ่าเป็นผู้ใหญ่สุด ส่วนอีกครอบครัวหนึ่งจะมีทวดหญิง (แม่ของแม่เฒ่า) ซึ่งอายุมากแล้วและมียายอีกคนซึ่งเป็นลูกของทวดเป็นผู้ดูแล… สองครอบครัวนี้ใกล้ชิดกันมาก สามารถใช้ห้องครัวหรือห้องส้วมแทนกันได้ และบางครั้งประตูเรือนด้านในระหว่างครอบครัวก็อาจไม่จำเป็นต้องปิด…

แรกที่ย้ายมาอยู่นั้น บ้านพ่อเฒ่ายังมีคนเยอะ กล่าวคือ มีน้าชายและน้าสาวที่ยังไม่มีครอบครัวอยู่อีก ๓ คน ส่วนป้าและน้าอีก ๓ คนที่มีครอบครัวแล้วได้ย้ายเข้ามาอยู่ในตัวเมืองสงขลานานแล้ว (น่าจะมาตั้งแต่ผู้เขียนไม่เกิดหรือจำความไม่ได้)… ส่วนบ้านทวดนั้น ลูกของยายที่รุ่นราวคราวเดียวกับผู้เขียนก็หลายคน (ยายคนนี้เป็นลูกสุดท้องของทวด) เพียงแต่ผู้เขียนมีศักดิ์เป็นหลาน พวกเขามีศักดิ์เป็นน้าเท่านั้น…

ทวดมีลูกหลายคน นอกจากสองครอบครัวที่อยู่ชิดกันแล้ว ยังมีตาอีก ๓ ครอบครัวซึ่งอยู่ในบ้านคูขุด โดยทุกเช้าและเย็น แต่ละครอบครัวของตาซึ่งเป็นน้องของแม่เฒ่า จะยกสำรับกับข้าวมาให้ทวด… ส่วนที่ครอบครัวของผู้เขียนนั้น จะจัดสำรับเป็นพิเศษสองที่ ที่หนึ่งจะยกไปให้พ่อเฒ่าที่ท่านนั่งประจำ ส่วนอีกสำรับจะยกไปให้ทวดที่บ้านยาย…

พ่อเฒ่าเป็นคนบ้านแหลมวัง (บ้านคูขุดอยู่ในหมู่๔ และ๕ ส่วนบ้านแหลมวังอยู่ในหมู่๖) ชอบทำนา เลี้ยงวัว แต่ไม่หากินทางทะเลเพราะฆ่าสัตว์เป็นบาป… ตั้งแต่จำความได้ พ่อเฒ่าได้ถือศีลอุโบสถทุกวันพระ ซึ่งตอนนั้นผู้เขียนยังไม่รู้รายละเอียด รู้แต่เพียงว่า เมื่อถึงวันพระ พ่อเฒ่าไม่กินข้าวเย็น และเป็นหน้าที่ของผู้เขียนต้องไปซื้อชาร้อนใส่กระป๋องนมจากคลองหลามาให้พ่อเฒ่า… พ่อเฒ่ามักจะพาผู้เขียนไปแหลมวังและบางครั้งก็เลยไปดอนคัน (หมู่ ๗ และ๘) โดยไปที่บ้านญาติและเพื่อนของท่าน หรือบางครั้งก็ไปที่วัด ในคราวที่มีงานหรือมีธุระอื่น… ชีวิตผู้เขียนผูกพันกับพ่อเฒ่าพอสมควร จำได้ว่าตอนที่ท่านถึงแก่กรรมนั้น ผู้เขียนอายุเกือบยี่สิบแล้ว และกำลังเรียนอยู่เทคนิคหาดใหญ่…

ครอบครัวของยายหรือบ้านทวดนั้น จะเป็นร้านขายของชำเกือบทุกอย่าง เช่น ผงซักฟอก สะบู่ ยาสีฟัน บุหรี่ น้ำมันก๊าด ยารักษาโรค ตลอดถึงรำข้าวซึ่งเป็นอาหารหมู ซึ่งสินค้าที่นำมาขายในยุคนั้น จะซื้อมาจากพัทลุงมากกว่าซื้อมาจากตัวเมืองสงขลา เพราะตาของยายบ้านทวดเป็นนายท้ายเรือโดยสารวิ่งระหว่างคูขุดกับลำปำ (จ.พัทลุง) แต่มิได้เป็นเจ้าของเรือ และผู้เขียนยังมีตาอีกคนหนึ่งที่อยู่คลองหลาเป็นเจ้าของเรือโดยสารและเป็นนายท้ายเรือเองด้วย… สมัยนั้น จะมีเรือโดยสารและบรรทุกสินค้าแล่นไปมาคูขุด-ลำปำ ๓ ลำ ชื่อเรือสินธ์ประพาส สหสิน และดาวประสิทธิ์  โดยไปวันหนึ่ง นอนลำปำคืนหนึ่ง อีกวันจึงกลับมา สับเปลี่ยนกันไปทุกวัน… บรรดาลูกหลานชาวคูขุดสมัยนั้น จึงมีโอกาสติดเรือไปเที่ยวเสมอ ซึ่งผู้เขียนก็เคยไปบ้างเป็นครั้งคราว…

ส่วนแม่เฒ่านั้น ก่อนที่ท่านจะถึงแก่กรรม มีอาชีพขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปและผ้าผืนผ้าพับ ดังนั้น เมื่อแม่เฒ่าจากไป กิจการนี้จึงตกทอดมาถึงแม่ โดยจะนำเสื้อผ้าไปขายตามตลาดนัดในละแวกนั้น กรณีนี้ทำให้ผู้เขียนคุ้นเคยกับตลาดนัดวัดคูขุดเพราะต้องไปหาแม่ในวันนัดคูขุดทุกครั้ง (เคยเล่าส่วนที่เกี่ยวข้อง คลิกที่นี้)

อีกอย่างหนึ่ง นอกจากจะเป็นช่างตัดเสื้อผ้าเองแล้ว แม่ยังรับเป็นครูสอนการตัดเสื้อผ้าด้วย ซึ่งผู้เขียนเคยเห็นการสอนวิธีตัดเสื้อผ้ามาตั้งแต่จำความได้ เริ่มตั้งแต่เอากระดาษมาวาดแล้วตัดเป็นแบบ… ลูกศิษย์ของแม่ก็เป็นสาววัยรุ่นในสมัยนั้น ซึ่งผู้เขียนเรียกว่าน้าๆ บรรดาน้าเหล่านั้นเคยเลี้ยงดูโดยให้ผู้เขียนอาบน้ำหรือกินข้าวบ้างตามสมควร จนกระทั้งทุกวันนี้ เมื่อเจอกันผู้เขียนก็ยังจำบางคนได้ แต่จำรายละเอียดในตอนนั้นไม่ได้เท่านั้น…

นอกจากขายเสื้อผ้าแล้ว แม่เฒ่ายังขายเบอร์ด้วย (เบอร์ ก็คือ หวย ขายเบอร์ ก็คือขายหวย) ตอนที่แม่เฒ่ายังอยู่นั้น น่าจะมีหลายหุ้น เพราะในความทรงจำนั้น ในวันหวยออก ผู้เขียนจะนอนดูผู้ใหญ่มาทำบัญชีหวยที่เรือนหลังนี้ นอนฟังเค้าคุยกันเรื่องหวย นินทานาย (ตำรวจ) ที่มาไล่จับ หรือมารีดไถ… กิจการนี้ก็ตกมาถึงแม่เช่นเดียวกัน เพียงแต่ภายหลังการเข้าหุ้นและคิดบัญชีหวยจะหายไป…

เมื่อก่อนหวยจะออกเดือนละสามงวด หลังจากหวยออกแล้วก็จะมีการคิดบัญชี… ถ้างวดใดได้กำไร ก็จะมีการซื้อหัวหมู หรือไก่ปากทอง (ไก่ต้มทั้งตัวแล้วใช้แหวนทองตั้งที่ปากไก่) เพื่อเซ่นไหว้ผีกลางบ้าน (เรือนเสาเดียวเล็กๆ สร้างไว้กลางหมู่บ้านเพื่อเป็นที่อยู่ของผีกลางบ้าน.. พวกเราเรียกกันว่าบ้านพ่อเฒ่า เมื่อก่อนบ้านพ่อเฒ่าทำนองนี้ ในบ้านคูขุดจะมีมาก แต่ตอนหลังค่อยๆ ถูกรื้อเพื่อใช้พื้นที่ปลูกบ้าน)… แต่ถ้างวดใดขาดทุน ก็จะไม่เซ่นไหว้ด้วยหัวหมูหรือไก่ปากทอง โดยจะเซ่นไหว้เพียงขนมเปียะลูกโตที่มีไข่แดงตรงกลางแทน ซึ่งโดยมากก็เป็นหน้าที่ของผู้เขียนต้องเดินไปซื้อขนมเปียะมาจากคลองหลา จำได้ว่าสมัยนั้นลูกละ ๗ บาท…

กำไรหรือขาดทุนของหวยแต่ละงวดนั้น จึงเกี่ยวพันถึงผู้เขียนอีกอย่าง คือ มีป้าและยายแก่ๆ บางคนที่ถือฝ่ายเจ้ามือหวย ดังนั้น ถ้างวดใดคิดบัญชีแล้วขาดทุน ผู้เขียนก็ต้องเดินไปเอาเบี้ยจากป้าหรือยายแก่ๆ เหล่านั้น… แต่ถ้างวดใดคิดบัญชีแล้วได้กำไร ป้าหรือยายแก่ๆ ก็มักจะเดินมาเอาเบี้ยที่เรือนของผู้เขียนเอง นานๆ ครั้งที่ผู้เขียนจะถูกใช้ให้เอาไปให้… จำได้ว่า บรรดาป้าและยายแก่ๆ เหล่านั้น มักจะล้อผู้เขียนเสมอทำนองว่า “เวลาขาดทุนก็มาเอาถึงเรือน แต่เวลาได้กำไรไม่ค่อยจะเอามาให้” … ซึ่งจำนวนเงินก็คนละ ๒๐-๕๐ บาทนี้แหละ…

ฝ่ายพ่อ นอกจากหากินทางทะเลสาบแล้ว มีช่วงหนึ่งได้สร้างเครื่องไฟหรือเครื่องขยายเสียง ซึ่งสมัยนั้น อำเภอสทิงพระทั้งหมดยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ยกเว้นบริเวณใกล้ๆ ที่ว่าการอำเภอเท่านั้น โดยหุ้นกับน้าเขยซึ่งอยู่ตำบลกระดังงา (บ้านก๋ง ตำบลกระดังงา กับบ้านแม่ตำบลคูขุด ห่างกันประมาณ ๘ กิโล) และเปิดให้บริการทั่วไป ในคราวที่ใครมีงานบวช งานศพ หรืองานมหรสพอื่นๆ… ดังนั้น ผู้เขียนจึงมีโอกาสไปงานต่างๆ กับพ่อเสมอ ในฐานะลูกเจ้าของเครื่องไฟ (5 5 5…)

จำได้ว่า ผู้เขียนเคยตามเสียงเพลงหรือหนังตะลุงที่เปิดในงานเพื่อไปหาพ่อหลายครั้ง เพราะเมื่อเจอพ่อก็จะได้กินข้าวในงานและได้เบี้ยติดถุงไว้กินขนมอีกต่างหาก… ไปแล้วบางคราวไม่เจอพ่อก็ต้องนั่งคอยอยู่ข้างๆ เครื่องไฟ หรือเดินตามหาอยู่ภายในงาน…

ที่น่าเบื่อที่สุดก็คือ โรงรำวง (คณะรำวง เปิดเป็นเวที มีดนตรีเล่น มีนางรำวง บริการขายบัตร ให้นักเต้นมาเลือกนางรำวงไปเต้นเป็นรอบๆ… จำได้ว่า หัวค่ำรอบละบาท พอดึกหน่อยรอบห้าสิบสตางค์ ถ้ายังไม่เลิก ใกล้ๆ รุ่ง ก็รอบละสลึง) คณะรำวงสมัยนั้น โดยมากไม่มีเครื่องไฟเองจึงต้องมาเช่าเครื่องไฟไปใช้ ในเวลากลางคืนที่ไปเฝ้าเครื่องไฟกับพ่อที่โรงรำวง ความรู้สึกสมัยนั้นบอกว่า รำวงเลิกช้าหรือเล่นนานมาก ผู้เขียนจะกลับบ้านก็ไม่ได้เพราะไกลและมืด บางครั้งต้องนั่งเอาคางเกยเวทีรำวงหลับไป ตื่นขึ้นมาสองรอบแล้ว รำวงก็ยังไม่เลิก เบื่อสุดๆ เลย ไม่รู้เค้าจะเต้นไปทำไมกัน ซ้ำๆ ซากๆ ไม่รู้สนุกตรงไหนเลย (5 5 5…)

ผู้เขียนคุ้นเคยกับอุปกรณ์เครื่องไฟพอสมควรในตอนเด็กๆ เช่น ลำโพงงอนจะใช้พริกเผ็ดๆ ทาไว้เพื่อกันเด็กเป่าเล่น หรือสายเทปเก่าๆ เอามาขึงเล่น เป็นต้น แต่ก็ไม่มีความรู้ในเรื่องเครื่องไฟจนกระทั้งปัจจุบัน เพราะกิจการนี้ได้เลิกไป ก่อนที่ผู้เขียนโตพอที่จะเรียนรู้ได้…

บ้านเดิมของแม่นั้น ตอนแรกไปอยู่ก็มีคนเยอะ ต่อมาน้าสาวซึ่งเป็นครูก็แต่งงานมีครอบครัวแล้วก็ย้ายไปอยู่หาดใหญ่ น้าชายก็สอบตำรวจได้ย้ายไปอยู่สตูล น้าชายคนเล็กก็มาเีรียนหนังสือต่อในตัวเมืองสงขลา… ฝ่ายพ่อเฒ่า บางคราวก็ไปนอนที่ป่าช้าแหลมวังกับตาหลวง (ป่าช้าแหลมวังในสมัยก่อน มีกุฏิพระอยู่ด้วย และฟังมาว่า เมื่อก่อนนั้น ป่าช้ามีสภาพเป็นวัด เรียกกันว่า วัดออก แต่เดียวนี้รู้สึกว่า คำว่าวัดออกจะเลือนหายไปจากคนในท้องถิ่น) หรือบางครั้งก็ไปอยู่กับลูกคนโน้นคนนี้… ดังนั้น ที่บ้านยังมีแต่พ่อ แม่ ผู้เขียน และน้องอีกสองคนเท่านั้น

ต่อมาแม่เลิกขายเบอร์ เริ่มมาค้าขายในตัวเมืองสงขลา ที่จำได้ก็คือเอาลูกหมูมาขาย บางคราวก็มาครั้งละหลายๆ วัน ฝ่ายพ่อก็ออกทะเลหาปลาบ้าง เอาเครื่องไฟไปตามงานบ้าง… จำได้ว่าช่วงนี้ บางครั้ง ผู้เขียนต้องอยู่กับน้องอีกสองคนเท่านั้น (แต่มีบ้านทวดหรือยายที่อยู่ติดกัน) ตื่นเช้า ผู้เขียนก็ต้องหุงข้าวเอง เอาไข่เป็ดใส่ในหม้อข้าวสองฟอง (ที่บ้านเลี้ยงเป็ด เคยเล่าส่วนที่เชื่อมโยงเรื่องนี้ไว้ คลิกที่นี้ ) ฟองหนึ่งสำหรับผู้เขียนคนเดียว อีกฟองหนึ่งแบ่งให้น้องคนละครึ่ง (น้องอ่่อนกว่าผู้เขียนคนละ ๖-๗ ปี)… เกือบทุกวัน เฝ้าคอยว่าตอนสายๆ เที่ยง หรือบ่ายๆ พ่อจะกลับมา แต่บางวันพ่อก็ไม่มา ! … และต้องนับวันว่า วันนี้แม่ยังไม่มา ! วันนี้แม่ยังไม่มา ! บางครั้งนับได้ถึงหกเจ็ดวันกว่าแม่จะกลับมา…

ผู้เขียนก็เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดคูขุดไปปีละชั้นตามปกติ… ที่บ้านนั้น บางครั้งก็คนเยอะ บางครั้งก็มีแต่ผู้เขียนกับน้อง และต่อมา แม่ก็เพิ่มน้องชายให้ผู้เขียนอีกหนึ่งคนที่เรือนหลังนี้…

เพราะเกิดนาน นิทานจึงเยอะ ดังนั้น อาตมาเป็นไผ จึงต้องต่อตอนต่อไป…

Apr 18

เมื่อวาน มีใครคนหนึ่งถามว่า ทำไมไม่เขียน “เจ้าเป็นไผ” บ้าง ผู้เขียนก็บอกว่า ไม่มีใครชวน จึงไม่เขียน… ใครคนนี้จึงบอกว่าเขียนหน่อย แล้วเค้าจะเขียนบ้าง ผู้เขียนจึงจะเขียนนิดหน่อย ตามคำร้องขอของใครคนนั้น…

ไม่รู้ว่าคนอื่นนั้น จะจำอดีตแรกสุดเมื่อไหร่ แต่ผู้เขียนจำความได้ครั้งแรก ในวันที่น้องสาวของผู้เขียนจมน้ำตาย… เริ่มต้นว่า ผู้เขียนเป็นลูกคนโต มีน้องสาวคนเล็กอีกหนึ่งคนในตอนนั้น เรือนหลังแรกที่จำความได้นั้น จะเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูงประมาณสองเมตร กว้างยาวน่าจะไม่เกินด้านละห้าเมตร ลักษณะที่ตั้งของบ้านตามพื้นที่ในสมัยนั้น..

  • ด้านหน้าหันไปทางทิศใต้ อยู่ริมคลองตื้นๆ ตรงข้ามฝั่งคลอง ถัดออกไปไม่เกินร้อยเมตรก็จะมีเรือนของเพื่อนบ้าน…
  • ข้างบ้านด้านทิศตะวันออกจะเป็นถนนดินตัดผ่าน โดยคลองมาสิ้นสุดที่ริมถนน อีกฟากหนึ่งของถนนจะเป็นนาข้าว…
  • ทางทิศตะวันตกจะเป็นเนินดินว่างๆ ไว้เลี้ยงเป็ดเลี้ยงหมู เลยออกไปอีกประมาณสองร้อยเมตรก็จะเป็นเรือนหลังใหญ่ของเพื่อนบ้านซึ่งตั้งอยู่ริมคลองเหมือนกัน ถัดจากเรือนหลังนั้นไปก็จะเป็นทะเล (ทะเลสาบสงขลาตอนใน)…
  • ด้านหลังจะมีที่ว่างเล็กน้อยแล้วก็จะไปชนกับด้านหลังเรือนของเพื่อนบ้าน ซึ่งด้านหน้าเรือนหลังนั้นออกไปก็จะเป็นคลองอีกเช่นกัน…

ฉากแรกชีวิตที่จำได้ ผู้เขียนเดินไปกับแม่เพื่อพาลูกหมูตายไปทิ้งลงคลองหลังบ้าน ทางทิศตะวันตก แต่เรือนตรงกันข้ามตะโกนบอกมาว่า เอาไปทิ้งในทะเลดีกว่า เพราะทิ้งไว้แถวนั้น ต่อไปจะส่งกลิ่นหมิ่น แม่จึงยืมเรือพายที่จอดอยู่ในคลองตรงนั้นพาลูกหมูตายไปทิ้งในทะเล ส่วนผู้เขียนก็นั่งคอยอยู่ที่ก้อนหินใหญ่ริมคลอง กะว่าประเดียวแม่จะมา แต่ผู้เขียนคอยจนกระทั้งหลับไป จนกระทั้งแม่มาปลุก มองดูในเรือ มีสาหร่ายอยู่ แสดงว่าแม่เก็บสาหร่ายมาด้วยเพื่อจะเป็นอาหารหมู…

ผู้เขียนก็เดินกลับมายังเรือนพร้อมกับแม่ ซึ่งจากก้อนหินที่ผู้เขียนนั่งคอยแม่อยู่กับเรือนนั้น น่าจะไม่เกินสามร้อยเมตร… เมื่อมาถึงน้องไม่อยู่ที่บนเรือน เห็นแต่เพียงลูกด้าย เชือกด้าย และเศษผ้าซึ่งน้องเล่นทิ้งอยู่บนเรือน (แม่เป็นช่างตัดเสื้อ และมีจักรอยู่ที่บ้าน แม้กระทั้งปัจจุบัน) ผู้เขียนกับแม่ เที่ยวค้นหาทั่วละแวกนั้นก็ไม่เจอ… จนกระทั้ง ผุ้เขียนอยู่บนเรือน มองลงไปที่ริมคลองหน้าบ้าน เยื้องไปทางทิศตะวันตกเล็กน้อย จะมีกองหินซึ่งขนมาจากเกาะ บางส่วนก็จมอยู่ในคลอง สถานที่นั้นจะใช้เป็นที่ซักผ้าเป็นประจำ ผู้เขียนสังเกตเห็นผ้าสีแดงๆ เหลืองๆ ซึ่งเป็นเศษผ้าลูกไม้ ที่แม่ตัดเป็นเสื้อให้น้อง ก็บอกแม่… แม่ลงไป ผุ้เขียนก็มองตามไป เมื่อแม่หยิบเสื้อขึ้นมา ร่างน้องก็ติดมาด้วย แม่ก็ร้อง จำได้ว่า ผู้เขียนยังไม่เข้าใจทุกข์คือความตายในช่วงนั้น…

เรือนหลังที่ว่า ตั้งอยู่ที่บ้านคูขุด แถวนั้น คนในท้องถิ่นสมัยก่อนเรียกกันว่า บ้านหนองหม่าว แต่ปัจจุบันหนองหม่าวสูญหายไปแล้ว คนในท้องถิ่นจะเรียกกันว่า บ้านพักจากล่าง เพราะด้านทิศตะวันออกเลยนาข้าวไปประมาณห้าร้อยเมตร จะเรียกกันว่า บ้านพังจาก เดียวนี้จึงมีชื่อคู่กันว่า พังจากบน พังจากล่าง…

ศพน้องสาวคนนี้ ไม่ได้เผา แต่นำไปฝังที่ป่าช้าวัดแหลมวัง ที่ริมคลอง ระหว่างต้นตุ่มซึ่งขึ้นอยู่เป็นกอๆ … ตั้งแต่ครั้งโน้นมา คราวใดที่ผู้เขียนผ่านป่าช้าจะแวะไปเยี่ยมหลุมศพน้องทุกครั้ง จนกระทั้งจำไม่ได้ว่าที่ตรงไหนกันแน่ และปัจจุบันนี้ คราวใดที่ผู้เขียนไปที่ป่าช้า ผู้เขียนจะนึกถึงน้องคนนี้เสมอ… ปัจจุบันมีการตัดถนนริมคลอง ผู้เขียนสันนิษฐานว่า ที่ฝังศพน้องนั้น น่าจะอยู่กลางถนน อย่างไรก็ตาม ร่างของน้องคงจะกลายเป็นดินและอื่นๆ ไปนานแล้วตามสภาพ…

นอกนั้นก็จำเหตุการณ์อื่นๆ ไม่ได้… มาจำได้อีกครั้ง ก็ย้ายมาอยู่เรือนหลังใหม่ที่คลองหลา ซึ่งเป็นย่านธุรกิจของบ้านคูขุดและชุมชนริมทะเลสาบสงขลาในสมัยนั้น เป็นบ้านไม้ปลูกทำนองห้องแถวชั้นครึ่ง แต่ด้านหลังก็เป็นลานเนินดิน ใช้เลี้ยงเป็ดเลี้ยงหมูได้ เป็นบ้านของญาติห่างๆ… สำหรับบ้านคูขุดนั้น เป็นหมู่บ้านใหญ่ จะใช้คลองหลาเป็นศูนย์กลาง หมู่บ้านที่อยู่ทางทิศเหนือของคลองหลาจะเรียกว่า บ้านตีน (ตีน เป็นคำปักษ์ใต้แปลว่า ทิศเหนือ) ส่วนหมู่บ้านที่อยู่ทางทิศใต้ของคลองหลาจะเรียกกันว่า บ้านหัวนอน (หัวนอน เป็นคำปักษ์ใต้แปลว่า ทิศใต้)… บ้านหัวนอนนั้นจะเป็นชาวไทยพุทธล้วน ส่วนบ้านตีนลึกเข้าไปจะมีชาวไทยมุสลิมโดยผสมอยู่ และที่บ้านตีนนี้มีสุเหร่าด้วย…

บ้านที่่ผู้เขียนอยู่นั้น ห่างจากคลองหลาไปทางทิศเหนือประมาณสองร้อยเมตร ดังนั้น ผู้เขียนอาจพูดได้ว่าสมัยหนึ่งเป็นเด็กบ้านตีนเช่นเดียวกัน เคยวิ่งเล่นอยู่แถวสุเหร่า มีบังบางคนรักห่วงผู้เขียนมาก ชอบพาไปเที่ยวเสมอ พยายามนึกและสืบมาหลายสิบปีแล้วก็ยังไม่ได้ความ… ส่วนบ้านหนองหม่าวที่เคยอยู่ก่อนย้ายมานั้น จัดว่าเป็นบ้านหัวนอน ถัดไปจากคลองหลาทางทิศใต้ประมาณสองกิโลเมตร…

คลองหลา คูขุด ในสมัยนั้น จัดว่าเป็นชุมชนใหญ่และย่านธุรกิจแห่งหนึ่งของริมทะเลสาบสงขลา เช่น มีร้านขายของขนาดใหญ่ มีน้ำแข็งและน้ำมันขาย มีร้านน้ำชา ร้านก๋วยเตียว หรือโรตีก็มีขาย เป็นต้น… การคมนาคม มีเรือโดยสารวิ่งจากคูขุดคือคลองหลาไปยังอำเภอปากพะยูน และคลองลำปำ อำเภอมือง ของจังหวัดพัทลุง นอกจากนั้นก็มีเรือโดยสารวิ่งมาอำเภอเมืองสงขลาและวิ่งไปอำเภอระโนดตามโอกาส… บริเวณย่านคลองหลา มีวิกหนังชื่อว่า ศรีคูขุด ซึ่งนอกจากมีหนังฉายแล้วก็มี ลิเก มโนราห์ ตลอดถึงคณะละครสัตว์ไปแสดงตามโอกาส… เรือนผู้เขียนอยู่ห่างจากวิกประมาณสามร้อยเมตร ดังนั้น ตอนเป็นเด็กที่นี้ ผู้เขียนยังคงจำได้ว่าหลายครั้งเคยไปดูหนังหรือลิเก แล้วก็เผลอหลับไป ตื่นขึ้นมาในวิกหนังมีอยู่แต่ผู้เขียนคนเดียวเท่านั้น จึงต้องลุกขึ้นเดินอย่างหงอยเหงากลับบ้านคนเดียว (5 5 5…)

ผู้เขียนน่าจะเติบโตอยู่แถวคลองหลาประมาณ ๒-๓ ปี เพราะมาได้น้องชายและน้องสาวเพิ่มอีกสองคนที่บ้านหลังนี้ และเมื่อเข้าเรียน ป.๑ ที่โรงเรียนวัดคูขุด ในปี ๒๔๑๒ ก็ยังคงอยู่บ้านหลังนี้… ลองทบทวนย้อนอดีตไป วันที่น้องสาวคนแรกของผู้เขียนจมน้ำนั้น ผู้เขียนน่าจะอายุไม่เกิน ๕ ขวบ และวันนั้น ถ้าผู้เขียนไม่นั่งคอยแม่จนหลับไปริมคลอง แต่เดินกลับบ้านไปก่อน น้องน่าจะไม่ไปเล่นซักผ้าจนพลัดตกน้ำ…

ฟังว่า ก่อนที่จะไปอยู่บ้านหนองหม่าวนั้น ตอนเด็กๆ ครอบครัวของผู้เขียนอาศัยอยู่บ้านก๋งที่ตำบลกระดังงามาก่อน ตอนหลังเมื่อย้ายมาอยู่สงขลาแล้ว เจอญาติบางคนมาเยี่ยมที่บ้าน เขาบอกว่า ตอนเขาเป็นวัยรุ่นนั้น เคยช่วยพ่อทำงานในโรงสีของก๋ง ส่วนผู้เขียนนั้น เขาเคยอุ้มไปไหนมาไหนตั้งแต่เด็กๆ แต่ผู้เขียนจำช่วงนี้ไม่ได้… จำได้แต่เพียงว่าอยู่หนองหม่าวน้องสาวจมน้ำ แล้วมาอยู่บ้านตีน ได้เริ่มเข้าโรงเรียนตอนอยู่ที่นี้ แต่ก็ยังไม่ทันจบป.๑ นมตาย ! (นม เรียกตามแม่และน้าๆ อันที่จริงต้องเรียกว่า แม่เฒ่า ส่วนภาษากลางก็คือ ยาย) ครอบครัวผู้เขียนจึงต้องย้ายอีกครั้งเป็นครั้งที่สี่…

ยังไม่ได้ขึ้นป.๒ เลย รู้สึกเหนื่อยแล้ว ว่างๆ ค่อยมาเขียนต่อ…

Apr 01

http://lanpanya.com/journal/files/2009/03/picture-1.jpg

หนึ่งดวงจะมี ๑๒ ราศี ซึ่งแต่ละราศีจะมีพระเคราะห์อยู่ครอบครองเป็นเจ้าราศี เรียกกันว่า ดาวเจ้าเรือนแห่งราศีนั้น ซึ่งดาวเจ้าเรือนแต่ละราศีนี้จะเรียกกันตามวิชาโหรว่า ดาวเกษตร เช่น ดาวศุกร์เป็นเจ้าเรือนในราศีตุลย์ จึงเรียกอีกนัยหนึ่งว่า ราศีตุลย์มีดาวศุกร์เป็นเกษตร เป็นต้น…

ส่วน ภพ คือสถานภาพของแต่ละเรือนหรือแต่ละราศีที่ส่งผลต่อลัคนานั้นๆ ท่านให้นับทวนเข็มนาฬิกาไปโดยเริ่มจากลัคนาว่า ตนุ ต่อจากนั้นก็เป็น กุฏุุมพะ สหัชชะ พันธุ ปุตตะ อริ ปัตนิ มรณะ ศุภะ กัมมะ ลาภะ และ วินาสะ… ต่อแต่นี้จะได้วิจารณ์ดวงลานปัญญาตามนัยภพเหล่านี้สืบต่อไป…

ตนุ หมายถึง ตัวเองผู้เป็นเจ้าชาดาหรือดวงนั้นๆ สำหรับดวงลานปัญญามี พระศุกร์ (๖) เป็นเกษตร ดังนั้น พระศุกร์จึงถือว่าเป็นตนุ ซึ่งในดวงกำเนิดของลานปัญญา พระศุกร์หรือตนุไปตกอยู่ที่ราศีเมถุน ซึ่งเป็นภพศุภะ และราศีเมถุนมีพระพุธ (๔) เป็นเกษตร… วิธีอ่านดวงจึงต้องนำมาผสมกันทำนองว่า ตนุ+ศุภะ และ พระศุกร์+พระพุธ (๖+๔) ถ้ามีพระเคราะห์อื่นๆ มาสัมพันธ์หรือโยงถึงที่นี้ก็ต้องนำมาผสมผสานกันอีกครั้งเพื่อจะอ่านให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น… พระศุกร์ซึ่งเป็นตนุแห่งลัคนาราศีตุลย์นี้ เรียกกันย่อๆ ว่า ตนุลัคน์ ซึ่งผู้เขียนได้เล่าไว้แล้วในตอนแรก ฉะนั้น ใครสนใจก็กลับไปอ่านตอนแรกได้…

ภพที่สองคือ กุฏุุุมพะ หมายถึง ทรัพย์ จัดเป็นความมั่นคงเบื้องต้นของดวงชาตา ดวงลานปัญญา มีราศีพิจิกเป็นกุฏุุมพะ ซึ่งมีพระอังคาร (๓) เป็นเกษตร นั่นคือพระอังคารเป็นกูกูมพะของลานดวงปัญญา ดังนั้นจึงต้องตามไปดูว่าพระอังคารสถิตอยู่ที่ไหนตอนดวงลานปัญญาให้กำเนิดมา… ตามดวงพระอังคารไปสถิตอยู่ที่ราศีสิงค์ซึ่งเป็นภพลาภะ เรียกกันตามวิชาโหรว่า กุฏุมพะตกลาภะ และราศีสิงห์มีพระอาทิตย์ (๑) เป็นดาวเกษตร นั่นคือ พระอังคาร + พระอาทิตย์ (๓+๑) นี้คือเบื้องต้นที่ต้องอ่านให้ได้…

ลาภะ หมายถึง สิ่งที่จะได้มา จัดเป็นความมั่นคงในอนาคต เมื่อกุฏุมพะตกลาภะ ก็อาจทำนายได้ว่า ลานปัญญามีความมั่นคงด้านทุนรอนในเบื้องต้นและจะส่งผลให้ได้สิ่งที่พึงปรารถนาอันเป็นความมั่นคงในอนาคตสืบต่อไป ถือว่าดี มิใข่เสีย นี้ประเด็นแรก… ต่อไปก็ต้องดูว่า พระอาทิตย์ไปสถิตอยุ่ที่ใด ก็พบว่าพระอาทิตย์ไปสถิตอยู่ที่เรือนศุภะ ก็อาจผสมกันได้ว่า กุฏุมพะ + ลาภะ + ศุภะ

ศุภะ แปลตามศัพท์ว่า งาม แต่วิชาโหรหมายถึง การสนับสนุนช่วยเหลือต่อลัคนา ซึ่งอาจหมายถึงญาติผู้ใหญ่ หัวหน้า หรือเจ้านาย ผู้ที่จะสนับสนุนหรือเป็นคุณต่อดวงชาตา… เมื่อกุฏุมพะ + ลาภะ + ศุภะ ก็อาจทำนายได้ว่า ลานปัญญาจะมีผู้สนับสนุนด้านทุนรอนอยู่เสมอ มีความมั่นคงด้านทุนรอน จะไม่เดือดร้อน จะไม่เป็นปัญหาในประเด็นนี้…

แต่ ภพลาภะ ที่พระอังคารซึ่งเป็นกุฏุมพะไปสถิตอยู่นั้น มิได้ไปสถิตแต่เพียงลำพัง ยังมีพระเสาร์ (๗) และพระเกตุ (๙) อยู่ร่วม ซึ่งวิชาโหรเรียกว่า กุม นั่นคือ พระอังคารกุมพระเสาร์และพระเกตุ ประเด็นนี้ก็ต้องทำนายให้ลึกลงไปอีก แต่จะพักประเด็นนี้ไว้ก่อน…

ภพที่สามคือ สหัชชะ แปลว่า เพื่อน หรือพวกพ้อง โดยในดวงลานปัญญานี้ ราศีธนูจัดเป็นภพสหัชชะ โดยมีพระพฤหัส (๕) เป็นเกษตร และสถิตอยู่ในเรือนของตนเองตามลำพัง… พอที่จะอ่านได้ว่า ดวงลานปัญญา มีความรู้เท่านั้นเป็นเพื่อนตามลำพัง เพราะพระพฤหัสหมายถึงความรู้

แต่ตรงกันข้ามกับราศีธนู คือ ราศีเมถุน มีกลุ่มดาวเล็งอยู่ได้แก่ พระอาทิตย์ พระพุธ และพระศุกร์ ซึ่งต้องนำมาผสมกับพระพฤหัสอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นเพื่อน พวกพ้อง หรือเครือข่ายของลานปัญญานั้น นอกจากความรู้แล้วก็มามีกลุ่มผู้มีอำนาจ (๑) ที่เข้ามาเป็นเครือข่าย กลุ่มนักคิดนักเขียน (๔) ก็อาจเข้ามาเป็นเครือข่าย และอาจมีกลุ่มสำรวยรักสวยรักงาม (๖) เข้ามาเป็นเครือข่ายอีกพวกหนึ่ง… อย่างไรก็ตาม ลึกๆ แล้วดวงลานปัญญาก็มีแต่เพียงความรู้อย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นเพื่อนหรือเครือข่าย และค่อนข้างจะมั่นคง ไม่แปรผัน เพราะพระพฤหัสเป็นเกษตรนั่นเอง…

ผู้เขียนก็เล่าดวงปัญญามาเพียงสามตอน รู้สึกเบื่อแล้ว เพราะยิ่งเล่าก็ยิ่งยุ่ง ยิ่งยาว ยิ่งรู้สึกว่ายังบกพร่อง… ด้วยว่า มีประเด็นรายละเอียดอื่นๆ อีกที่มิได้นำมาประกอบคำทำนาย กล่าวคือ เรื่องธาตุ เรื่องดาวคู่มิตร คู่ศัตรู คู่ธาตุ คู่สมพล เรื่องดาวแลกเรือน เรื่องการโยคหน้า โยคหลัง และตรีโกณ เป็นต้น

  • ดังนั้น ผู้เขียนจะทิ้งเรื่องดวงปัญญาไว้แต่เพียงแค่นี้ เมื่อไหร่ก็ตาม รู้สึกสนุก ใคร่จะเขียนต่อ ก็จะเขียนต่อ แต่ไม่ขอสัญญาว่าจะเขียนเมื่อไหร่…
Mar 29

http://lanpanya.com/journal/files/2009/03/picture-1.jpg

ลานปัญญา ถือกำเนิดใน เทวีฤกษ์ จัดว่าเป็นนางพญาผู้มีเกียรติยศหรือศักดิ์ศรีสูงสุดในฝ่ายสตรีเพศ นั่นคือ มีอิสรภาพ มั่นคงยั่งยืน ไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของผู้ใด ส่วนความเป็นไปแห่งอำนาจก็ใช้น้ำใจมากกว่าระเบียบกฎเกณฑ์ แต่ถ้าจะร้ายก็น่ากลัวทำนองอารมณ์ของสตรีเพศ (ซึ่งต่างจากราชาฤกษ์ที่เน้นระเบียบกฎเกณฑ์มากกว่า แม้จะร้ายก็ยังคำนึงถึงกฎระเบียบ)

สำหรับลานปัญญาลัคนาสถิตราศีตุลย์ แต่จัดเป็น ลัคน์ลอย จึงค่อนข้างอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง เพราะไม่มีพระเคราะห์ดวงใดกุมอยู่เลย (สังเกตว่า จะมี ส. อยู่โดดๆ ในราศีตุลย์) ดังนั้น เมื่อพิจารณาในแง่นี้ ถ้าลานปัญญาเป็นคนก็อาจทำนายว่าอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ขาดการสนับสนุนจากคนอื่นๆ เท่าที่ควร ต้องพาตนเองไปตามยถากรรม แต่เมื่อเป็นเวบบล็อกก็อาจทำนายว่า ไม่มีเวบอื่นสนับสนุน ช่วยประคับประคอง ต้องพัฒนาเองไปตามที่เห็นสมควร…

ราศีตุลย์ จัดเป็น ธาตุลม จึงมีธรรมชาติที่ไม่มีรูปแบบแน่นอน เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว… และเป็น ธาตุลมกลาง นั่นคือ มีำกำลังแรง ทำให้ความเปลี่ยนแปลงไร้รูปแบบเป็นไปตลอดเวลา… ซึ่งตามนัยนี้ อาจเห็นได้ว่าบล็อกในลานปัญญานี้ แต่ละบล็อกก็พัฒนาเองตามความชอบใจ ไม่ค่อยจะสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว ผู้เขียนเห็นว่า กรณีนี้อาจมาจากอิทธิพลของลัคน์ลอยและธาตุลม…

ในการดูพื้นฐานดวงนั้น ครูโหรบางท่านบอกว่า นอกจากลัคนาแล้ว เบื้องต้นให้ดู ตนุลัคน์ ตนุเศษ และ ตนุเกษตร ตามลำดับ… โดยมีหลักการว่า ตนุลัคน์ดูลักษณะ ตนุเศษดูนิสัย ส่วนตนุเกษตรดูความเป็นไป

ตนุลัคน์ หมายถึง พระเคราะห์ที่เป็นเกษตรของลัคนานั้น ซึ่งดวงลานปัญญานี้สถิตราศีตุลย์โดยมี พระศุกร์ (๖) เป็นเกษตร จึงถือว่าพระศุกร์เป็นตนุลัคน์ ซึ่งประเด็นนี้ผู้เขียนได้เล่าไว้แล้วในครั้งก่อน จึงผ่านไป…

ตนุเศษ เป็นสูตรที่ใช้ทางโหราศาสตร์ วิธีการก็คือ ให้นับทวนเข็มนาฬิกาจากราศีลัคนาไปยังราศีที่ตนุลัคน์สถิตอยู่ แล้วก็นับจากราศีที่ตนุลัคน์สถิตไปยังดาวเกษตรของราศีนั้น ได้เท่าไหร่แล้วเอาสองอย่างนี้มาคูณกัน แล้วก็หารด้วยเจ็ด เหลือเท่าไหร่ก็จัดเป็นตนุเศษ… ซึ่งในดวงลานปัญญานี้ ตนุลัคน์ (๖) ไปสถิตราศีเมถุน นับไปได้เก้าย่าง ส่วนเกษตรของราศีเมถุนก็คือพระพุธ (๔) สถิตอยู่ในราศีของตนเองจึงนับได้แค่หนึ่ง ครั้งเอาเก้ามาคูณกับหนึ่งแล้วหารด้วยเจ็ดจึงเหลือเศษสอง ดังนั้น ตนุเศษของดวงลานปัญญาก็คือพระจันทร์ (๒) ซึ่งในดวงข้างบนจะมีเครื่องหมาย (+) อยู่เหนือ (๒) นั่นคือเป็นที่หมายรู้ว่า (๒) เป็นตนุเศษ จึงต้องพิจารณานิสัยของลานปัญญาจากพระจันทร์

“ทายจริตทายจันทร์” นั่นคือ ลานปัญญาจะมีนิสัยแบบพระจันทร์ ฉลาดแบบผู้หญิง แม้จะเข้าใจและรู้เท่าทันคนอื่นได้ดี แต่แกล้งไม่รู้ไม่เข้าใจ บางครั้งก็มีความแปรปรวนยากที่จะทำความเข้าใจหรือติดต่อสื่อสารกันได้…

พระจันทร์ซึ่งเป็นตนุเศษ สถิตอยุ่ราศีกรกฎชึ่งเป็นเรือนเกษตรของตน จึงมีความมั่นใจในตนเอง แม้จะผิดหรือถูกก็ตาม ไม่ค่อยใส่ใจคนอื่นมากนัก หรือจะว่าเอาแต่ใจตนเองก็ได้…

อนึ่ง พระจันทร์นี้มี พระราหู (๘) สถิตอยู่ราศีมังกรเล็งอยู่ จัดว่าเป็นคราส และครูโหรบอกว่า “ทายมัวเมาทายราหู” … จึงอาจทำนายได้ว่า ลานปัญญามีนิสัยจ้องจับผิดซึ่งกันและกัน มีความพยายามจะครอบงำซึ่งกันและกันอยู่เสมอ…

ตนุลัคน์ไปสถิตอยู่ราศีใด ให้ถือว่าดาวเจ้าเรือนราศีนั้นเป็นตนุเกษตร ในดวงลานปัญญาตนุลัคน์ (๖) สถิตอยู่ในราศีเมถุนซึ่งมีพระพุธ (๔) เป็นดาวเจ้าเรือน ดังนั้น พระพุธ จึงจัดเป็น ตนุเกษตร ของลานปัญญา…

ดังกล่าวไว้แล้วในครั้งก่อนว่า พระพุธ หมายถึง คำพูด การสนทนา หนังสือ หรือความคิดริเริ่ม… นั่นแสดงให้เห็นว่า ลานปัญญาย่อมมีแนวโน้มไปทางนี้ หรืออนาคตของลานปัญญาจะเป็นที่บ่มเพาะของกลุ่มนักคิด นักวิจารณ์…

อนึ่ง พระพุธ (๔) มีพระอาทิตย์ (๑) กุมอยู่ ซึ่งสี่กับหนึ่งนี้รวมกันได้ห้า และ (๕) คือ พระพฤหัสอันเป็นดาวครูหรือนักปราชญ์ ดังนั้น ครูโหรจึงถือว่า (๑) กับ (๔) จัดเป็น ดาวคู่วิชาการ… ในส่วนนี้อาจบ่งชี้ได้ว่า ลานปัญญาน่าจะเจริญรุ่งเรืองในการนำเสนอความคิดเห็นแปลกๆ ใหม่ๆ ที่น่าสนใจในเชิงวิชาการ….

แต่ในราศีนี้ยังมีพระศุกร์ (๖) อยู่ร่วมกับดาวคู่วิชาการ และยังมีพระพฤหัส (๕) จากราศีธนูเล็งมาอีกด้วย… ประเด็นนี้ ผู้เขียนคิดว่าไม่ค่อยจะเป็นคุณต่อลานปัญญานัก เพราะครูโหรบอกว่า (๖) ก็จัดเป็นดาวครูแต่เป็น ครูอสูร ส่วน (๕) ก็จัดเป็นดาวครูแต่เป็น ครูเทวดา… ธรรมดาว่าครูกับครูย่อมรู้ทันกัน มักจะอิจฉาแข่งดีแข่งเด่นซึ่งกันและกัน ดังนั้นความคิดริ่เริ่มจากตนุเกษตร (๔) ที่ได้ (๑) สนับสนุนเป็นดาวคู่วิชาการนั้น แม้จะอาจเป็นไปตามนัยนี้ในอนาคต แต่ก็อาจไม่โดดเด่นเท่าที่ควรเพราะมัวแต่อิจฉาริษยากัน… ประมาณนั้น

  • ยาวพอสมควรแล้ว จะพักไว้ก่อน ยังมีเรื่อง ๑๒ ภพที่พอจะเล่าได้อีกตอนเป็นอย่างน้อย….
Mar 26

http://lanpanya.com/journal/files/2009/03/picture-1.jpg

ลานปัญญา ถือกำเนิดทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐ ครั้งแรกนั้นชื่อว่า lanpanya.net ต่อมาเมื่อย้ายมาอยู่เมืองไทยก็เปลี่ยนนามสกุลใหม่จึงได้ชื่อว่า lanpanya.com เมื่อจะพิจารณาดวงชาตาก็จะใช้กำเนิดเดิม เพราะเป็นรากเหง้าของสิ่งนั้น ทำนองเดียวกับคนเราแรกเกิด แม้จะเปลี่ยนแปลงสถานภาพอย่างไรและกิ่ครั้งก็ตาม แต่รากเหง้าตอนแรกเกิดก็ยังคงติดตัวอยู่…

ลานปัญญาถือกำเนิดใน ราศีตุลย์ หมายถึงคันชั่ง ซึ่งเดิมทีนั้นมนุษย์นิยมใช้คันชั่งเพื่อการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจะได้เกิดความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย ดังนั้น ราศีนี้จึงหมายถึงธุรกิจการเงินการธนาคาร และหมายถึงกระบวนการที่ก่อให้เกิดความยุติธรรม… เมื่อมาพิจารณา ลานปัญญา จึงน่าจะเป็นไปเพื่อการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันอย่างยุติธรรม เสมอภาค เท่าเทียมกัน

ราศีตุลย์มี พระศุกร์ (๖) เป็นดาวเจ้าเรือน ซึ่งมีคำทำนายว่า “ทายกิเลสกำหนัดทายศุกร์” นั่นคือ ลานปัญญามีความสำรวยรักสวยรักงาม มีความพึงพอใจในความเป็นลานปัญญา และทั้งยังมีความปรารถนาเพื่อความสวยงามยิ่งๆ ขึ้นไป… พระศุกร์ ซึ่งเป็นตนุลัคน์ มิได้สถิตอยู่ในราศีตุลย์เรือนของตนเอง แต่ไปสถิตอยู่ที่ราศีเมถุน ดังนั้น จึงต้องตามไป…

พระศุกร์สถิตอยู่ ราศีเมถุน หมายถึงคนคู่ ซึ่งบ่งชี้การอยู่ร่วม ติดต่อ มนุษย์สัมพันธ์ สังคม และนี้คือความเป็นไปของลานปัญญา… แต่ราศีเมถุนนี้มิใช่จะมีแต่พระศุกร์เท่านั้น ยังมีพระอาทิตย์ (๑) และพระพุธ (๔) อีกด้วย แสดงว่าลานปัญญาชอบที่จะยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น ชอบสังคม ไม่ชอบปลีกตัวอยู่ตามลำพัง… จึงต้องตรวจสอบพระอาทิตย์และพระพุธต่อไป…

พระศุกร์อยู่ร่วมกับพระอาทิตย์และพระพุธ โดย พระอาทิตย์ มีทำนายว่า “ทายเกียรติยศทายอาทิตย์” ซึ่งพระอาทิตย์นี้ได้แก่คนมีอำนาจ มียศ มีตำแหน่ง หรือชนชั้นปกครอง … ขณะที่ พระพุธ มีทำนายว่า “ทายวาจาทายพุธ” ซึ่งพระพุธนี้ได้แก่คนชอบโวหารการเจรจา หรือพัฒนามาเป็นหนังสือในปัจจุบัน และนักคิดนักวิจารณ์ก็จัดว่าเป็นพระพุธเหมือนกัน… ส่วนพระศุกร์เองคือผู้ที่สำรวยรักสวยรักงาม และนี้คือกลุ่มคนที่ติดต่อสื่อสารสังคมกันอยู่ในลานปัญญา…

อนึ่ง ตรงข้ามราศีเมถุนที่พระเคราะห์ทั้งสามดวงนี้สถิตอยู่ได้แก่ราศีธนู ซึ่งมี พระพฤหัส (๕) เป็นเจ้าเรือน ในขณะที่กำเนิดลานปัญญาพระพฤหัสสถิตอยู่ในเรือนของตนและกำลังเล็งมายังพระเคราะห์ทั้งสามดวงนี้… มีทำนายว่า “ทายปัญญาบริสุทธิ์ทายพฤหัส” ซึ่งพระพฤหัสนี้จัดเป็นดาวครู หรือนักปราชญ์ราชบัญฑิตก็ได้ นั่นก็คือ สังคมการติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างสมาชิกในลานปัญญาจะถูกตรวจสอบและเพ่งเล็งจากผู้มีปัญญาอยู่ตลอดเวลา และผู้มีปัญญานี้จะมีอำนาจมั่นคงเพราะสถิตอยู่ในราศีธนูซึ่งเป็นเรือนของตน…

อีกนัยหนึ่ง ราศีเมถุนเป็น ศุภะ จัดเป็นภพที่ให้คุณ สนับสนุน ช่วยเหลือเพื่อความมั่นคง ดังนั้น ลานปัญญาจึงเป็นไปเพื่อการณ์นี้… ส่วนราศีธนูเป็น สหัชชะ จัดเป็นเพื่อนพ้อง มิตรสหาย เมื่อมีพระพฤหัสเจ้าเรือนสถิตอยู่แล้วเล็งมายังราศีเมถุน จึงพอจะคาดหมายได้ว่า ผู้มีปัญญาที่เพ่งเล็งเฝ้ามองกลุ่มชนในลานปัญญานี้ เป็นไปฉันท์มิตรสหาย ยินดีจะช่วยเหลือเกื้อกูล…

มีเกจิบางท่านบอกว่า ๑+๔+๖ เมื่อมาร่วมกันให้แปลว่า ขี้เหนียว แต่เมื่อมาเป็นลานปัญญาก็อาจทำนายว่า การพบปะสื่อสารในลานปัญญา ต่างก็สงวนท่าที เกรงกลัวจะถูกหลอก กลัวจะเสียเปรียบ นั่นคือแต่ละคนต่างก็มีความละเอียดรอบคอบในการเข้าร่วมสังคม ซึ่งเป็นการแปลความหมายมาจากความเป็นคนขี้เหนียวอีกต่อหนึ่ง…

ยังมีประเด็นอื่นๆ อีกเยอะ แต่คืนนี้เจ็บตาแล้ว ค่อยติดตามต่อตอนต่อไป…

Mar 14

ชาติหน้า ผีสางเทวดา และผลกรรมดีชั่วมีจริงหรือไม่ ? นับว่ายังคงมีคนสงสัยอยู่ตราบจนปัจจุบัน จากเรื่องราวในปายาสิราชัญญสูตรที่ผู้เขียนประยุกต์นำมาเล่าตามลำดับ (คลิกที่นี้) แม้จะทำให้ผู้อ่านมีแง่คิดเพิ่มขึ้น แต่ผู้เขียนก็ยังคงเชื่อว่า พวกเราก็ยังสงสัยอยู่เหมือนเดิม ซึ่งประเด็นนี้ ถ้าเรามองว่าเป็นปัญหาก็คือปัญหา แต่ถ้าเรามองว่าไม่เป็นปัญหาก็ไม่เป็นปัญหา

ขงจื้อ ปรัชญาเมธีจีนโบราณ ก็เคยถูกถาม ซึ่งเขาก็ได้ตอบเบี่ยงเบนประเด็น แต่เป็นข้อคิดว่า เรื่องของมนุษย์โลกก็ยุ่งยากเกินแล้ว ไฉนต้องไปยุ่งกับเรื่องของเทวดาสวรรค์อีกเล่า… อะไรทำนองนี้

เมื่อ ว่าตามหลักศาสนาทั่วไป จะมีคำสอนเรื่องทำนองนี้ เพียงแต่รายละเอียดแตกต่างกันไป เช่น ชาติหน้า บางศาสนาอาจถือว่ามีเพียงครั้งเดียวเป็นครั้งสุดท้าย กล่าวคือ ถ้าไม่ตกนรกอยู่กับซาตานแล้วก็จะไปอยู่ในอาณาจักรพระเจ้ารวมเป็นหนึ่งเดียว กับพระเจ้า ส่วนพระพุทธศาสนามีคำสอนเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ชาติหน้าจึงมีสืบต่อไปสูงๆ ต่ำๆ ตามแต่ผลกรรมจะพาไป เป็นต้น

ผี สางเทวดาก็เหมือนกัน แต่ละศาสนาก็ให้ความเห็นแตกต่างกันไป เช่น ความเชื่อจีนโบราณก็มีเง็กเซียนฮ่องเต้ปกครองสวรรค์และโลกมนุษย์ ทั้งมีสัตว์ร้ายที่บำเพ็ญบารมีจนมีอิทธิฤทธิ์กลายเป็นปีศาจ ขณะที่ศาสนาโซโลเอสเตอร์ของชาวเปอร์เชียโบราณก็มีเทพเจ้าสูงสุดสององค์ ได้แก่ เทพเจ้าแห่งความดี และเทพเจ้าแห่งความชั่ว มนุษย์โลกจะถูกเทพเจ้าทั้งสองนี้บ่งการณ์หรือครอบงำตามแต่โอกาส ส่วนพุทธศาสนาเชื่อว่าผีสางเทวดานั้น ดีบ้างชั่วบ้าง ขึ้นอยู่กับกรรมเหมือนกัน มิได้สูงหรือด้อยกว่ามนุษย์อะไรนัก และยกย่องว่าความเป็นมนุษย์มีคุณค่าสูงในการบำเพ็ญบารมีกว่าผีสางเทวดาทั้ง หลาย เป็นต้น

ส่วน เรื่องผลกรรมดีชั่วนั้น แต่ละศาสนาก็ต่างกัน โดยศาสนาฝ่ายเทววิทยาที่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลกบอกว่าการทำดีก็คือการทำ ตามโองการของพระเจ้า ส่วนการทำชั่วก็คือการละเมิดโองการของพระเจ้า ส่วนพุทธศาสนาจัดเป็นฝ่ายอเทวนิยมซึ่งไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลกบอกว่า สุทธิ อสุทธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย ความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน คนหนึ่งพึงให้อีกคนหนึ่งบริสุทธิ์นั้นหามิได้เลย นั่นคือ สอนให้เชื่อตัวเองกระทำสิ่งต่างๆ โดยตัวเองเป็นสำคัญ เป็นต้น

และ สุดท้าย มุมมองทางปรัชญาบอกว่า ความเชื่อความเห็นทำนองนี้ จะจริงหรือไม่จริงนั้น มิใช่เรื่องสำคัญ ความสำคัญขึ้นอยู่ที่ว่า หลักความเชื่อความเห็นนั้นๆ เพียงพอต่อแนวทางในการดำเนินชีวิตหรือไม่ ? และเป็นไปเพื่อความสุขสงบของปวงประชาหรือไม่ ? ถ้าว่าสนองตอบคำถามนี้ได้ดีก็ถือว่าระบบความเห็นความเชื่อนั้นๆ ก็ยังคงมีความสำคัญและคนก็ยังคงยึดถือต่อไป แต่เมื่อไหร่ที่ไม่อาจสนองตอบได้ ระบบความเชื่อความเห็นนั้นๆ ก็จะค่อยๆ เสื่อมคลายและสลายไปเองตามธรรมดา

แปลก แต่จริง แม้โลกจะเป็นมาถึงปัจจุบัน แต่เรื่องทำนองนี้ยังคงเหมือนเดิม หนังผีก็ยังคงมีการสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ทั่วโลก คนทำดีทำบุญลบล้างหรือผ่นอคลายบาปก็ยังคงมีอยู่ นั่นคือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ความเชื่อความเห็นทำนองนี้ยังคงสนองตอบพวกเราได้อยู่แม้ปัจจุบัน

Jan 16
  • ครูคือคนคู่โค้ง             ความคิด
  • ควรใคร่คู่ควรคิด          คัดค้าน
  • ครองคำคู่ครองคิด        ควรค่า คือครู
  • ควรเคาคบคำคึ้ง           เคียดแค้น คล่อนคลาย
Jan 09
  • หม้อใบนี้มิใช่หม้อเนยใส มิใช่หม้อน้ำมัน มิใช่หม้อน้ำผึ้ง โทษของหม้อใบนี้มีอยู่มิใช่น้อย ท่านจงฟังโทษเป็นอันมากที่มีอยู่ในหม้อใบนี้.
  • บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วเดินโซเซตกลงไปยังบ่อถ้ำหลุมน้ำครำและหลุมโสโครก พึงบริโภคของที่ไม่ควรบริโภคแม้มากได้ ท่านจงซื้อหม้อนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วไม่มีกฎเกณฑ์ในใจ เที่ยวหยำเปไป เหมือนโคกินกากสุราฉะนั้น เป็นเหมือนขาดที่พักพิง ย่อมฟ้อนรำได้ขับร้องได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วแก้ผ้าเปลือยกาย เที่ยวไปตามตรอกตามถนนในบ้าน เหมือนชีเปลือย มีจิตลุ่มหลง นอนตื่นสาย ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วลุกขึ้นโซเซ โคลงศีรษะและยกแขนขึ้นร่ายรำ เหมือนรูปหุ่นไม้ฉะนั้น ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วนอนจนถูกไฟไหม้ และกินอาหารที่เหลือเดนสุนัขได้ ย่อมถึงการถูกจองจำถูกฆ่า และความเสื่อมแห่งโภคะ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วพูดคำพูดที่ไม่ควรพูด นั่งพร่ำในที่ประชุม ปราศจากผ้าผ่อน เลอะเทอะ นอนจมอยู่ในอาเจียนของตน มีแต่เรื่องฉิบหาย ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้ววางมาดเป็นคนสำคัญ นัยน์ตาขุ่นขวาง เข้าใจว่าบ้านเมืองเป็นของเราคนเดียว พระราชาแม้มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบขัณฑสีมาก็ไม่เสมอเรา ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • บุคคลดื่มน้ำชนิดใดแล้วถือตัวจัด ก่อการทะเลาะวิวาท ยุยงส่อเสียด มีผิวพรรณน่าเกลียด เปลือยกายวิ่งไป อยู่อย่างนักเลงเก่า ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • น้ำชนิดนี้ทำตระกูลทั้งหลายในโลกนี้อันมั่งคั่งบริบูรณ์มีเงินทองตั้งหลายพันให้ขาดทายาทได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • ข้าวเปลือก ทรัพย์สิน เงินทอง ไร่ นา โค กระบือ ในสกุลใดย่อมพินาศไป ตระกูลที่มั่งมีทั้งหลายขาดสูญไป เพราะดื่มน้ำชนิดใด ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • บุรุษดื่มน้ำชนิดใดแล้วเป็นคนหยาบช้า ด่ามารดาบิดาได้ แม้ถึงเป็นพ่อผัวก็พึงหยอกลูกสะใภ้ได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • นารีดื่มน้ำชนิดใดแล้วกลายเป็นคนกักขฬะหยาบช้า ด่าพ่อผัวแม่ผัวและสามีได้ แม้เป็นทาสเป็นคนใช้พึงรับเป็นสามีของตนได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • บุรุษดื่มน้ำชนิดใดแล้วฆ่าสมณะ หรือพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมได้ พึงไปสู่อบายเพราะกรรมนั้นเป็นเหตุ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้วประพฤติทุจริตทางกายทางวาจาหรือทางใจได้ ย่อมไปสู่นรกเพราะประพฤติทุจริต ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • ชนทั้งหลายแม้จะยอมสละเงินเป็นอันมาก มาอ้อนวอนบุรุษใดซึ่งไม่เคยดื่มสุรา ให้พูดเท็จย่อมไม่ได้ บุรุษนั้นครั้นดื่มสุราแล้วย่อมพูดเหลาะแหละเหลวไหลได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • คนรับใช้ดื่มน้ำชนิดใดแล้ว เมื่อถูกเขาใช้ไปในกรณียกิจรีบด่วน ถูกซักถามก็ไม่รู้เนื้อความ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้ว ถึงจะเคยมีความละอายใจอยู่ ก็ย่อมจะทำความไม่ละอายให้ปรากฏได้ ถึงแม้จะเป็นคนมีปัญญาก็อดพูดมากไม่ได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้ว นอนคนเดียวไม่มีเพื่อน คล้ายลูกสุกรนอนเดียวดายด้วยชาติกำเนิดอันต่ำฉะนั้น อดข้าวปลาอาหารย่อมเข้าถึงการนอนเป็นทุกข์อยู่กับแผ่นดิน สิ้นสง่าราศรีและต้องครหานินทา ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • ชนทั้งหลายดื่มน้ำชนิดใดแล้วย่อมนอนคอตก หาเป็นเหมือนโคที่ถูกลงปฏักฉะนั้นไม่ ฤทธิ์สุราย่อมทำให้คนอดทนได้(ไม่กินข้าวกินน้ำ) ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • มนุษย์ทั้งหลายย่อมเว้นดื่มน้ำชนิดใด อันเปรียบด้วยงูมีพิษร้าย นรชนคนใดเล่าควรจะดื่มน้ำชนิดนั้นอันเป็นเช่นยาพิษมีในโลก ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • โอรสทั้งหลายของท้าวอันธกเวณฑะ ดื่มสุราแล้วพาหญิงไปบำเรออยู่ที่ริมฝั่งสมุทร ประหารกันและกันด้วยสาก ท่านจงซื้อหม้อใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำชนิดนั้น.
  • บุรพเทพคืออสูรทั้งหลาย ดื่มน้ำชนิดใดแล้วเมามาย จนจุติจากไตรทิพย์คือดาวดึงสเทวโลก ยังสำคัญตนว่าเที่ยง เป็นไปกับด้วยอสุรมายา ดูก่อนมหาราชเจ้า บุรุษผู้ฉลาดเช่นกับพระองค์ เมื่อทราบว่าน้ำดื่มชนิดนี้เป็นน้ำเมา หาประโยชน์มิได้ จะดื่มทำไม?
  • ในหม้อใบนี้ไม่มีเนยข้นหรือน้ำผึ้ง พระองค์รู้อย่างนี้แล้ว จงซื้อเสีย ดูก่อนท่านสัพพมิตต์ สิ่งที่อยู่ในหม้อนี้ ข้าพเจ้าบอกแก่ท่านแล้วตามความเป็นจริงอย่างนี้แหละ.

บางตอนจาก กุมภชาดก ต้องการอ่านทั้งหมด (คลิกที่นี้)

Dec 01
  • เหวย ! เหวย ! จันทร์แย้ม คืนนี้
  • คิดซิ ! จันทร์แย้ม ทำไม
  • แย้มเยาะ ! ชาวโลก ฤาไฉน
  • เภทภัย อะไร พึงมี
  • จันทร์แย้ม แย้มเยาะ เพราะข้า
  • คิดว่า อย่างโน้น อย่างนี้
  • ลางดี ลางร้าย ไม่มี
  • นั่นซิ ! ก็ถูก เหมือนกัน
  • ปรากฎ การณ์นี้ มีมา
  • โลกา เปลี่ยนแปลง แปรผัน
  • ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทั้งนั้น
  • สั้นสั้น ทุกสิ่ง อนัตตา
Nov 20
  • ลานใจธรรมชาติ คนโง่อวดฉลาด   ใช่ปราชญ์บัณฑิต
  • เรื่องราวปนเป   ไปตามความคิด   ญาติโยมมวลมิตร   เชิญแวะมาเยี่ยม
  • เพิ่งหัดแต่งกลอน   คืนไหนไม่นอน   หมายสอนตัวเรียม
  • เปิดเผยความเห็น   ของจริงของเทียม   มิได้ตระเตรียม   คิดไปพิมพ์ไป
  • ลานปัญญา นี้   ล้วนสุภาพดี   อีกมีน้ำใจ
  • มี ลานเจ๊าะแจ๊ะ สัมพันธ์ภายใน   ใครมีอะไร   เชิญเข้าไปโพสต์
  • อีก ลานซักล้าง เชิญธรรมนำอ้าง   ค่อนข้างจะโปรด
  • นอกนั้นแวะผ่าน   บางครั้งอย่าโกรธ   มิใช่สันโดษ   แต่ขี้เกียจอ่าน
  • เท่าที่แต่งมา   ยังไม่รู้ว่า   ตำราเรียกขาน
  • ร้อยกรอง อะไร   เป็นของโบราณ   สนใจเชิญอ่าน   คลิกที่นี้เทอญ ฯ