สแกนกำ

โดย Nothing เมื่อ 2 September 2009 เวลา 3:39 pm ในหมวดหมู่ ธรรมะ #
อ่าน: 1937

ถ้าเราศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ากันสักหน่อย ไม่ต้องมาก ไม่ต้องลึก เราก็จะทราบได้โดยง่ายว่าพระพุทธเจ้าสอนเกี่ยวกับเรื่องกรรมไว้ว่าอย่างไร หรือแม้แต่เรายึดหลักกาลามสูตรสักนิด ประดาหนังสือที่อ้างเรื่องกรรมแบบผิดๆ คงไม่แพร่กลาดเกลื่อนขนาดนี้หรอกครับ
ด้วยความโลภ ด้วยความหลง ด้วยความโง่ ของเราผู้เป็นพุทธมามกะแต่เพียงในนาม ทำให้ธุรกิจบิดเบือนพุทธธรรมว่าด้วยกฏแห่งกรรม ได้เติบโตขึ้นอย่างน่ากลัวและไม่น่าให้อภัยอย่างยิ่ง
ด้วยที่ผมชอบเข้าร้านหนังสือ แรกๆ ก็เจอหนังสือจำพวกนี้ไม่กี่เล่ม เช่น สแกนกรรม เอ็กซเรย์กรรม เปิดกรรม แต่มาบัดนี้หนังสือทำนองนี้เพิ่มจำนวนปกมากขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มจะพิมพ์ซ้ำมากขึ้นอีก และที่สำคัญบางสำนักพิมพ์ที่เคยเห็นว่าพิมพ์หนังสือธรรมะที่ตรงตามหลักพุทธศาสนา กลับเป็นผู้นำในการเผยแพร่มิจฉาทิฏฐิเหล่านี้ด้วยซ้ำ
นับตั้งแต่ปรากฏการณ์จตุคามฯ เป็นต้นมา นี่ก็เป็นอีกปรากฎการณ์หนึ่งที่แสดงถึงความหลงของชาวไทยพุทธเราอย่างน่าสงสารเป็นที่สุด

เรามาดูความหมายของกรรมกันสักหน่อย

กรรม การกระทำ หมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา คือ ทำด้วยความจงใจหรือจงใจทำ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เช่น ขุดหลุมพรางดักคนหรือสัตว์ให้ตกลงไปตาย เป็นกรรม แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินใช้ สัตว์ตกลงไปตายเอง ไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารู้อยู่ว่า บ่อน้ำที่ตนขุดไว้อยู่ในที่ซึ่งคนจะพลัดตกได้ง่าย แล้วปล่อยปละละเลย มีคนตกลงไปตาย ก็ไม่พ้นเป็นกรรม), ว่าโดยสาระ กรรมก็คือเจตนา หรือเจตนานั่นเองเป็นกรรม, การกระทำที่ดีเรียกว่า กรรมดี การกระทำที่ชั่ว เรียกว่า กรรมชั่ว (จาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

นี่แหละครับกรรมในความหมายแห่งพระพุทธศาสนา กรรมไม่ใช่เรื่องลี้ลับอะไร มันเป็นเหตุเป็นผลที่สะสมกันมาจนซับซ้อนยุ่งเหยิง ตั้งแต่อดีตชาติมาจนถึงปัจจุบัน ในทางพุทธเราเชื่อว่ามีแต่พระพุทธองค์เท่านั้นที่สามารถเห็นกรรมในอดีตของผู้อื่นได้ แม้แต่อัครสาวกก็ทำได้สูงสุดแค่เห็นกรรมของตนเองได้เท่านั้น ไม่สามารถเห็นกรรมคนอื่นได้ แล้วพวกที่ผลิตหนังสือและสื่อต่างๆ เหล่านี้เป็นใครกันหรือครับ?
และที่สำคัญกรรมในอดีตนั้นไม่สามารถแก้ไขได้ ฉะนั้นใครที่บอกว่ากรรมในอดีตสามารถเอามาแก้เอามาตัด หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่สามารถทำได้ครับ เราทำได้ก็แต่เพียงกรรมใหม่ที่ลดทอนผลแห่งกรรมเก่าเท่านั้น หรือทำกรรมใหม่ที่แรงกว่าจนกรรมเก่าไล่ไม่ทันก็ได้

คำถามก็มีต่อว่าแล้วทำอย่างไรถึงจะทำกรรมใหม่ที่แรงกว่าเก่าได้?

ความสนุกเริ่มตรงนี้แหละครับ เพราะสิ่งเหล่านี้พระพุทธศาสนามีคำตอบให้หมดแล้ว ศัพท์แสงต่างๆ ที่เราเคยเรียนในโรงเรียนหรือได้ยินบอกต่อมา เช่น อริยสัจจ์ , มรรคมีองค์ ๘, ปฏิจจสมุปบาท ฯลฯ ก็เริ่มมามีบทบาทอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เป็นนิยายเหมือนที่เข้าใจกัน(อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งล่ะ)  แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ว่าจะใช้ธรรมข้อไหนศัพท์แสงว่าอย่างไรจะขมวดลงที่ การปฏิบัติธรรม(และเรื่องนี้ก็เป็นหัวข้อใหญ่อีกหัวข้อหนึ่งที่น่าถกเถียงและศึกษากันว่าอันไหนเป็นของแท้ ของเทียม) ฉะนั้นพระพุทธศาสนาของเราเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ  การอ้อนวอน ร้องขอ เดินสาย สแกนกรรม ตัดกรรม(ที่หมายถึงแก้กรรม) ฯลฯ ไม่เป็นวิถีแห่งพุทธศาสนาครับ  ไม่ว่าคุณจะเรียกศาสนาตัวเองว่าอะไร  ถ้าเป็นตามแนวนี้เราถือว่าเป็นชาวพุทธ  แต่ถึงแม้ว่าคุณจะบอกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ  แต่ถ้าปฏิบัติผิดจากทางที่พระพุทธองค์สอน  คุณก็เป็นคนนอกศาสนาพุทธครับ
ถัดจากนี้ถ้าอยากรู้ว่าจะต้องปฏิบัติธรรมอย่างไร เริ่มที่ตรงไหน ให้ใครสอน ฯลฯ ก็ตัวใครตัวมัน หมายความว่าต้องหากัลยาณมิตรกันเอาเอง เพราะผมก็รู้เลาๆ ประมาณนี้แหละครับ

ด้วยความที่คิดว่าตัวเองยังโง่อยู่มาก พอเราศึกษามากขึ้นความรู้เดิมๆ ที่เราเข้าใจว่าถูก นานไปๆ ก็รู้ว่าผิดหรือพลาด ผมเลยตัดสินใจที่จะไม่เขียนบันทึกต่อ เพราะไม่อยากแสดงความโง่ออกมาให้เป็นที่ถกเถียงเสียเวลาเปล่า ครั้นจะรอให้ฉลาดก่อนแล้วค่อยมาคุยกันก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ชาตินี้ไม่รู้จะทันหรือเปล่า ชั่งน้ำหนักดูแล้วก็เลยเสี่ยงเขียนอีกที อย่างน้อยก็เผื่อจุดประเด็นความคิดให้ใครที่ผ่านไปผ่านมาบ้าง และที่สำคัญในนี้มีกัลยาณมิตรเยอะ จะได้ช่วยกันติ ช่วยกันก่อ ช่วยกันรักษาพุทธธรรมอันหาค่ามิได้เอาไว้คู่ชาวไทยเราตราบนานเท่านาน(ขึ้นอยู่กับกรรม)

บันทึกนี้อาจแรงไปหน่อย แต่ชาวไทยพุทธเราตอนนี้เหมือนคนไข้ที่กินแค่ยาพาราฯ คงไม่หาย ต้องใช้ยาแรงครับ
อยากอบรม แลกเปลี่ยน แนะนำ เขกกะบาล ก็เชิญได้นะครับ ตราบใดที่มีเจตนาดีก็ไม่มีปัญหา ถึงเจตนาร้ายก็ไม่มีปัญหาสำหรับผมเช่นกันครับ เพราะเจตนาเป็นกรรมครับ หุหุ

ธรรมสวัสดีครับ

« « Prev : ดอกไม้เหล็ก (๑)

Next : Karma Therapy: ๑.คุณอยู่ลัทธิไหน? » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

15 ความคิดเห็น

  • #1 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 September 2009 เวลา 4:06 pm

    กรี๊ด โอยโดนสุด ๆ เบิร์ดเคยสงสัยมานานว่าไหงแก้กรรมกันได้ง่ายดาย แถมเป็นการแก้ที่คนทำก็ไม่ต้องรับอีกด้วย แปะไว้ก่อนนะคะ แล้วจะเข้ามาคุยต่อ

  • #2 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 September 2009 เวลา 4:20 pm

    หายหน้าไปนานเลยนะครับ  ชอบอ่านแนวนี้อ่ะ  ขอบอก  อิอิ

  • #3 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 September 2009 เวลา 4:42 pm

    มาแว้ว
    ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าการเปลี่ยนชื่อเป็นลานกำทำให้เบิร์ดรู้สึกผิด แหะแหะ

    ยิ่งอ่านยิ่งมันค่ะ แหมสมการรอคอย ถ้าดูจากที่คูรทำอาวุธแจกแจงมา แสดงว่าเรามีความเชื่อคลาดเคลื่อนในเรื่องกรรม ถ้าดุจากคำพูดติดปากของคนไทยเช่นแล้วแต่เวรแต่กรรม  ชาตินี้มีกรรม สุดแต่กรรมจะกำหนด จะเห็นว่าเรามองกรรมในแง่ลบ มุ่งไปที่ชาติก่อน และเชื่อว่าเป็น ผล ของการกระทำนะคะ

    จะว่าเป้นความเชื่อที่ผิดเลยก็ไม่ใช่ เพียงแต่ถูกไม่หมด เพราะทางพุทธศาสนากล่าวว่า กรรมคือการกระทำ ซึ่งเป็นเหตุมากกว่าผลเนาะคะ

    และเมื่อเป็นการกระทำจึงไม่จำเป็นว่าต้องเป็นอดีตชาติเท่านั้น ปัจจุบันก็ได้ อย่างเบิร์ดคุย เอ้ยพิมพ์อยู่ฉอด ๆ แบบนี้ก็ถือว่ากระทำกรรมอยู่เหมือนกัน ซึ่งจะมองว่าเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่วก็ได้อีกทั้งสองข้างนั่นแหละ (แต่เจตนาดีนะคะ อิอิอิ) แถมยังแสดงออกได้ทั้งกาย วาจา ใจเสียด้วยสิคะ

    ดังนั้นคุณทำอาวุธถึงชกตรงเป้าว่า กรรมหมายถึงการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา จะแสดงออกทางกาย วาจา หรืออยู่ในใจก็ตามถือว่าเป็นกรรมทั้งหมด

    จิตวิทยาจะดูที่ทัศนคติ เพราะทัศนคติจะมีผลต่อการกระทำ ถ้าเราดูทัศนคติที่มีต่อการสแกนกรรม ตัดกรรม คงคาดได้ว่าเป็นเรื่องของความกลัวและไม่มีความรู้สึกที่ต้องการปรับปรุงตัว (รู้เพื่อที่จะตัดจะได้ไม่ต้องโดนกรรม)

    ซึ่งทัศนคตินี้ก็ผิดอีกเหมือนกัน เพราะทัศนคติที่มีต่อกรรมของตัวเองตามที่ท่าน ป.อ.ปยุตโตเคยแสดงไว้คือ 1. ต้องมีความรับผิดชอบ คือรู้ว่าเมื่อทำเหตุ ย่อมปฏิเสธผลไม่ได้ 2. ต้องมีการปรับปรุงตัว พุทธศาสนาสอนเรื่องกรรมไม่ใช่ให้ยอมแพ้ ยอมรับชะตากรรม หรือจำทน แต่เพื่อให้เข้าใจ ระวังการกระทำ และปรับปรุงตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ ต่างหากเนาะคะ

    แหม ชักมัน แต่มึนเพราะเป็นไข้ ทำให้คิดไม่ค่อยออก จะกลับมาต่อล้อต่อเถียงใหม่นะค้า อิอิอิ

    ว่าแต่ต่อไปอีกสักเดือนพี่รุมกอดจะย้ายเครื่องแม่ข่ายลานฯ ธีมน้องน้ำเชื่อม ( Syrup) จะปลอดภัยกับบันทึกมากกว่าค่ะ พอย้ายเรียบร้อยแล้วกลับมาใช้ธีมนี้อีกก็ได้

  • #4 nothing ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 September 2009 เวลา 7:02 pm

    สวัสดีครับ คุณหมอจอมป่วน

    เมื่อก่อนผมก็เหมือนคนทั่วไปครับ  พระพุทธศาสนานั้นก็เป็นอะไรที่ไกลตัว  พุทธประวัตินั้นก็เหมือนนิทาน นิยาย เท่านั้นเอง  รู้สึกว่าไม่ได้จำเป็นอะไรต่อชีวิต

    แต่เมื่อโตขึ้น(รู้สึกตอน ม.ปลาย) ได้ไปอ่านหนังสือธรรมะเล่มเล็กๆ แต่จำไม่ได้ว่าของใคร ไม่ท่านอาจารย์พุทธทาส ก็หลวงปู่ชานี่แหละครับ จำไม่ได้เสียแล้วว่าหนังสือชื่ออะไร แต่เป็นการนำธรรมเทศนามาพิมพ์ไว้  อ่านแล้วรู้สึกชอบมาก บางครั้งอ่านแล้วก็หัวเราะเพราะท่านเทศน์สนุก  หัวเราะเสร็จต้องรีบหุบปากแล้วมองซ้ายมองขวาเดี๋ยวเขาหาว่าบ้า

    จากนั้นเป็นต้นมาผมก็ชอบอ่านหนังสือพุทธศาสนา  อ่านมาเรื่อยๆ  ไม่สามารถปรึกษาคนรอบข้างได้เพราะไม่มีใครให้ปรึกษา  แอบชอบ แอบอ่านอยู่คนเดียว

    จากวันนั้นถึงวันนี้(สองปีกว่าๆ ได้มั้ง อิอิ) จากนิยายปรัมปราห่างไกลกับความจริง  กลับกลายเป็นความจริงของชีวิต หรือเป็นตัวชีวิตเลยก็ว่าได้  หมายความว่าขาดธรรมะแล้วชีวิตก็ไม่มีค่าเท่าที่ควรจะเป็น

    ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีหลักปฏิบัติที่ทำได้จริง พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ยิ่งทำยิ่งสุข เรียนจบแล้วจบเลย จนสุดท้ายก็เหนือทุกข์เหนือสุขขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่

    เรื่องอย่างนี้ชาวบ้านธรรมดาเขาไม่เข้าใจ แม้คนรอบข้างผมก็ไม่เข้าใจ หาว่าเราหัวแข็ง ดื้อ ไม่เชื่อฟังบรรพบุรุษ ถ้าไม่ดีบรรพบุรษไม่สืบทอดกันมาหรอก เขาว่างั้น

    เจออย่างนี้ผมเลยเข้าใจเลยว่า ทำไมหลังตรัสรู้ใหม่ๆ พระพุทธเจ้าจึงลังเลใจว่าจะเผยแผ่ศา่สนาดีหรือไม่  เพราะมันยาก มันลึกซึ้ง  แต่โชคดีที่พระกรุณาธิคุณพระองค์ท่านสูงยิ่ง เราเลยได้รับสืบทอดคำสอนอันมีค่าจนถึงปัจจุบัน

    ถึงปัจจุบัน คำสอนแท้ยังคงมีอยู่ พระสงฆ์ผู้สุปฏิปันโนยังมีอยู่ และเหลือน้อยเต็มที และท่านก็ทำหน้าที่ท่านอย่างเต็มที่ รีบหาให้เจอ รีบค้นให้พบกันเถิดครับ  เดี๋ยวพระพุทธศาสนาหายไปเหมือนอินเดียแล้วจะเศร้า

    ของแบบนี้มันสะสมข้ามภพข้ามชาติได้ แค่เอาตัวเองให้รอดก็หืดขึ้นคอแล้วครับ

    ธรรมสวัสดีครับ

  • #5 สิทธิรักษ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 September 2009 เวลา 7:30 pm

    ทุกอย่างจะเงียบสงบถ้าปราศจากเคลื่อนไหว
    สงบเถิด (สะกดตัวเองครับ)

  • #6 nothing ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 September 2009 เวลา 7:50 pm

    สวัสดีครับ คุณเบิร์ด

    มีอะไรจะเล่าให้ฟัง…  ขณะที่ผมเพิ่งโพสต์บันทึกเสร็จ เสร็จปั๊บไฟดับปุ๊บ กะว่าไฟติดจะไปเคาะประตูเรียกคุณเบิร์ด  พอเปิดเครื่องปั๊บ ไม่เท่าไหร่เห็นคุณเบิร์ดมาแสดงความเห็นแล้ว(เร็วมากๆ เลยครับ)  พอเห็นปั๊บไฟก็ดับปุ๊บอีกรอบ  เลยไปธุระข้างนอกเสียเลย ไม่รู้เป็นเพราะกรรมหรือเปล่าน้า อิอิ

    คนเดี๋ยวนี้คิดว่าการแก้กรรมเหมือนแก้ผ้ากระมังครับ  ถึงทำอะไรกันแบบมักง่าย  อาชีพพวกต้มตุ๋นจึงเจริญเติบโตกันนัก  พฤติกรรมแบบนี้เข้ากันเป๊ะๆ กับวัฒนธรรมแดกด่วนเลยครับ

    ถ้าเราไม่แก้ไขเรื่องเหล่านี้  ไม่เอาธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน  ไม่ช่วยกัน ศึกษา รักษา เผยแผ่ธรรมะแท้จริงของพระพุทธองค์ละก็อีกร้อยปีข้างหน้าคนก็คงฆ่ากันเป็นผักแน่ครับ

    เรื่องกรรมนี้กระมังครับที่ทำให้พระพุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่น  ที่ถึงแม้จะเชื่อเรื่องกรรมเหมือนกัน  แต่การตีความก็ต่างกัน ของเราให้พัฒนากรรม แต่ของเขาให้ยอมจำนนและร้องขอมากกว่า (ก็ตรงกับพฤติกรรมที่ชาวไทยเราทำกันอยู่นี่แหละครับ)

    ยิ่งพิมพ์ยิ่งเหมือนจะเป็นไข้  สงสัยจะติดจากคุณเบิร์ดแหงมๆ เอาเป็นว่าใครอยากรู้เรื่องเหล่านี้  หาอ่านงานของท่านอาจารย์พุทธทาส หรือ พระธรรมปิฎก(ป.อ. ปยุตฺโต) รับรองไม่มีหลง

    อ้อ ขอเล่าอะไรทิ้งท้ายหน่อยครับ
    วันนี้ผมได้คุยกับชาวเนปาลคนหนึ่ง  ผมถามเขาว่าเขานับถือศาสนาอะไร(แน่ะๆ ชวนคุยเรื่องต้องห้ามเสียด้วย)  เขาบอกว่าเขาศาสนา ฮินดู-พุทธ  ผมบอกว่าศาสนาฮินดู-พุทธ มีที่ไหน ฮินดูก็ฮินดู พุทธก็พุทธซิ  เขาย้ำว่าเขาเป็นชาวฮินดู-พุทธ เขานับถือพระพุทธเจ้าและเทพอีกหลายองค์(ทำให้ผมนึกได้ว่าเทคนิคนี้แหละครับที่ทำให้ศาสนาพุทธหายไปจากอินเดีย) และเขาบอกต่ออีกว่าก็คนไทยนับถือศาสนาฮินดู-พุทธด้วยไม่ใช่หรือ  ก็เห็นนับถือเทพเจ้าของเขาด้วย  มีให้เห็นเต็มไปหมด….แป่วๆๆๆ จำนนด้วยหลักฐาน แถมจุกพูดไม่ออกเลยครับ

    ธรรมสวัสดีครับ

    ป.ล. อย่ารู้สึกผิดไปเลยครับ ชื่อใหม่นี่แหละดีแล้ว ผมชอบ อิอิ (ลานเอ แปลว่า มากมาย เป็นภาษาใต้ เหมือนกับคำอื่นๆ เช่น อ้านเอ คะลุย ลาสา จังหัน จังหู นั่นแหละครับ)

  • #7 nothing ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 September 2009 เวลา 7:54 pm

    สวัสดีครับ คุณหมีแพนด้า

    โห! มาแนวเซ็นเลยนะครับ ปัญญาไม่ถึงครับ
    สงบเป็นเช่นไร  เคลื่อนไหวเป็นอย่างไร
    ช่วยชี้แจงแถลงไขหน่อยครับ ถือว่าได้ทำกรรมดีครับ อิอิ

    ธรรมสวัสดีครับ

  • #8 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 September 2009 เวลา 8:14 pm

    วันก่อนนิมนต์หลวงพี่ติ๊กมาที่เทศบาลนครพิษณุโลก  ได้หนังสือมาสองเล่ม
    ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง  และกาลานุกรม  ของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)  ทั้งสองเล่มครับ 
    อ่านแล้วชอบมากๆ  อ่านเสร็จก็จะนำไปมอบให้ห้องสมุดครับ  อิอิ

  • #9 nothing ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 September 2009 เวลา 10:46 am

    สวัสดีครับ คุณหมอจอมป่วน
    งานนี้ได้สองเด้งเลยนะครับ  ได้ทั้งปัญญา ได้ทั้งบุญ และบุญที่ส่งไปจะเป็นกรรมดีที่จะมาเสริมปัญญาอีกทีครับ อนุโมทนาด้วยคนครับ

    ธรรมสวัสดีครับ

  • #10 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 September 2009 เวลา 1:13 pm

    vbvbvb = อิอิอิ
    ได้ถามต่อมั้ยคะว่าพุทธของชาวเนปาลคืออันหยัง? เหมือนของไทยหรือเปล่า

    ถ้าดูจากหลักฐานการนับถือของเราที่ทำเอาคุณทำอาวุธจุกนั้น น่าสนใจว่าคนไทยนับถืออะไรแบบผิวเผินนหรือเชื่อตามกันมานะคะ ถามว่าเทพทุกองค์นั้นได้เคยศึกษาหรือไม่ว่าท่านกำเนิดมาจากอะไร ธรรมอะไรทำให้ท่านเป็นเทพ
    เบิร์ดเชื่อว่าน้อยคนจะตอบได้ เหมือนถามว่านับถือพระรูปไหน พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์ใด แต่ตอบไม่ค่อยได้ว่าที่ท่านศักดิ์สิทธิ์นั้นเพราะอะไร วัตรปฏิบัติใดทำให้ท่านสำเร็จอรหันต์  โสดาบัน หรือสกิทาคามี

    ความผิวเผินแบบนี้แหละค่ะทำให้เราเชื่ออะไรหลาย ๆ อย่างแบบที่เห็นกัน เชื่อหัวปักหัวปำและไม่คิดจะเปลี่ยนความเชื่อเพราะบางคนเอาไปอิงกับศักดิ์ศรี ซึ่งคนละเรื่องกันเลย

    สรุปสั้นคงพูดได้ว่าเราอยู่เพื่อพัฒนากรรม (กรรมที่หมายถึงการกระทำ) ไม่ใช่อยู่เพื่อชดใช้กรรมเนาะคะ เมื่ออยู่เพื่อพัฒนากรรมก็ควรมีการปฏิบัติให้ถูกต้อง

    1. กรรมเก่า ผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้ แต่เราควรรู้เพื่อรู้จักมัน จะได้ไม่ทำอีก หรือปรับปรุงให้ดีขึ้น
    2. กรรมปัจจุบัน  คือกรรมที่เราทำได้ และควรทำให้ดีที่สุด เพราะตรงนี้เป็นจุดสำคัญ
    3. กรรมอนาคต  แน่นอนว่าเราข้ามเวลาไปทำก่อนไม่ได้แน่ แต่เราวางแผนเพื่อเตรียมตัวในการทำกรรมอนาคตให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นอีก ได้ด้วยการทำกรรมปัจจุบันและทบทวน ไตร่ตรอง เพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งมีแผนในการทำกรรมดีในอนาคตไปเรื่อย ๆ นะคะ

    แหม ติดหวัด 2009 จากเบิร์ดซะด้วย อิอิอิ ดีจัง ๆ

  • #11 นักการหนิง ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 September 2009 เวลา 4:04 pm

    นั่นซิ งง งง อยู่ อะไรกันนิ เห็นหนังสือจำพวกนี้ก็ดูแปลก ๆ อยู่

  • #12 nothing ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 September 2009 เวลา 6:30 pm

    สวัสดีครับ คุณเบิร์ด

    เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ  เรานับถือพระพุทธศาสนาอย่างผิวๆ เหมือนกินส้มคงแทะได้แค่เปลือก  เรานับถือสิ่งต่างๆ ตามกิเลสของเรา  แค่จะเช่า(น่าจะใช้คำว่าซื้อนะ)วัตถุมงคลถึงกับเหยียบกันตายก็ยังมี  ซึ่งถ้าถามต้อนไปต้อนมาถึงเหตุผลที่นับถือก็คงได้คำตอบเลื่อนลอย หาเหตุผลไม่ได้ สุดท้ายไม่ทำตามคนอื่นก็สนองกิเลสตัวเองนั่นแหละ

    ผมไม่ปฏิเสธเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ถึงแม้เรื่องนี้จะมีจริง พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงสรรเสริญ ทรงรังเกียจเสียด้วยซ้ำ

    พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตฺโต) ท่านเน้นเรื่องการพัฒนากรรมมาก ท่านว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อจำนนต่อกรรม เราเกิดมาเพื่อพัฒนากรรม อย่างที่คุณเบิร์ดขยายความนั่นแหละครับ

    ส่วนเรื่องการพูดคุยกับชาวเนปาลนั้น ผมหยุดบทสนทนาเพียงแค่นั้น ไม่อยากคุยมากเพราะมีข้อจำกัดเรื่องภาษาครับ แต่ข้อจำกัดไม่ได้อยู่ที่ผมเพราะ…เราคุยกันเป็นภาษาไทยครับ 555555

    ธรรมสวัสดีครับ

  • #13 nothing ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 September 2009 เวลา 6:36 pm

    สวัสดีครับ คุณนักการหนิง

    นั่นแหละครับเป็นอนุสรณ์แห่งความหลงของชาวไทยพุทธเรา
    ถ้าไปร้านหนังสือก็ลองหานามผู้แต่งที่เป็น พุทธทาสภิกขุ  พระพรหมคุณภรณ์(ป.อ. ปยุตฺโต) หรือถ้าเอาเป็นภาษาชาวบ้านหน่อยก็ของคุณดังตฤน ครับ

    อย่าเสียเวลาให้กับหนังสือขยะเหล่านั้นเลยครับ หาหนังสือที่เป็นธรรมะแท้ๆ มาอ่าน อ่านเรื่อยๆ เล่นๆ ก็ได้ แล้วจะรู้ว่าพระพุทธศาสนานั้นไม่เก่าคร่ำครึอย่างที่คิดกันเลย ตรงข้ามกลับทันสมัยหรือล้ำสมัยด้วยซ้ำ ไม่เชื่อลองพิสูจน์ด้วยต้วเองเลยครับ

    ธรรมสวัสดีครับ

  • #14 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 September 2009 เวลา 3:52 am

    “เจออย่างนี้ผมเลยเข้าใจเลยว่า ทำไมหลังตรัสรู้ใหม่ๆ พระพุทธเจ้าจึงลังเลใจว่าจะเผยแผ่ศา่สนาดีหรือไม่  เพราะมันยาก มันลึกซึ้ง  แต่โชคดีที่พระกรุณาธิคุณพระองค์ท่านสูงยิ่ง เราเลยได้รับสืบทอดคำสอนอันมีค่าจนถึงปัจจุบัน”

    อ่านตรงนี้แล้วยิ้มด้วยความถูกใจ  ด้วยมันบ่งบอกว่า นี่แหละคนที่เข้้าใจธรรมค่ะ

    เห็นด้วยๆ กับความเห็น

    หมอเจ๊ค่ะ สวัสดีค่ะ

     

  • #15 nothing ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 September 2009 เวลา 1:20 pm

    สวัสดีครับหมอเจ๊

    ผมเพิ่งเห็นความเห็นของหมอเจ๊ครับ ไม่รู้ว่าผมหรือระบบผิดพลาดกันแน่ ธรรมดาคนที่เป็นสมาชิกเมื่อออกความเห็นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ผมอนุมัติก่อน หรือถ้ารออนุมัติก็ควรส่งเมล์ไปให้  ก่อนหน้านี้ก็ส่งเมล์ไปให้ผมอัตโนมัติแต่ดันไปอยู่กล่องขยะเสียนี่  แต่ตอนนี้ไม่ส่งไปเลยครับ แป่วๆๆๆ

    หลังพุทธกาล ยิ่งนานเท่าไหร่ คำสอนของพระพุทธองค์ก็ถูกบิดเบือนไปมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็เข้าใจได้ด้วยเนื่องจากเหตุปัจจัยหลายอย่าง  มันเป็นหน้าที่ของเราผู้ที่แสดงตนเป็นพุทธบุตรครับ  ที่จะต้องเดินตามทางที่พระองค์พระราชทานไว้ให้ อย่าช้านะครับคุณหมอ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะต้องตายเมื่อไหร่(เรื่องเหล่านี้คนเป็นหมอน่าจะเข้าใจดีกว่าใครอื่น) ที่สำคัญตายแล้วก้ไม่รู้ว่าจะไปเกิดเ้ป็นอะไร  ไม่มีภพภูมิไหนที่เหมาะกับการปฏิบัติธรรมเท่ากับการเป็นมนุษย์อีกแล้วครับ  ภาษิตธิเบตเขาว่า “เราไม่รู้หรอกว่าพรุ่งนี้ หรือชาติหน้า อะไรจะมาก่อนกัน” ครับ

    ธรรมสวัสดีครับ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.27663993835449 sec
Sidebar: 0.099533081054688 sec