ไผเป็นสายลม
อ่าน: 1899ใช่ครับ .. เมื่อผมกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง ผมก็จะได้กรรมสิทธิ์ในความเป็นมนุษย์ของผมกลับคืนมา
หลังจากที่ผมได้เรียนรู้ตลอดเส้นทางเดินของชีวิตที่ผ่านมา เมื่อมองย้อนกลับไปผมได้ผ่านโลกผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ มาทุกรูปแบบทั้งด้านมืดและด้านสว่างซึ่งตัวผมเองถือได้ว่าเป็นกำไรสุด ๆ ของการใช้ชีวิต
เมื่อผมเติบโตขึ้น .. ผมมีแนวคิดที่ไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านชาวช่องเค้าเหมือนกับตอนเป็นวัยสะรุ่นเลยครับ
คำถามต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นตามมาเรื่อย ๆ ในทุกย่างก้าวของการเดินทางและผมก็ได้พิสูจน์ความเชื่อของผมอีกเช่นเดิม ในความเชื่อที่ว่า “ผมจะเรียนเพื่อที่จะแบ่งปัน”
ในมุมคิดของผมที่ฝังอยู่ในหัวตลอดเวลาว่าพัฒนาการของระบบสังคมเรากำลังก้าวมาผิดทาง สังคมกำลังสร้างแนวคิดค่านิยมที่ไม่ถูกต้องทำให้คนในสังคมต่างหลีกหนีและห่างหายจากรากเหง้าแห่งตัวตน ห่างหายจากความเป็นมนุษย์ ระบบสังคมที่ผมเจอกำลังสร้างอสุรกายที่หิวโหย พร้อมที่จะกอบโกยและทำลายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างเฉยชา “การศึกษาที่ผมศรัทธา กลับไม่สามารถตอบสนองต่อการพัฒนาสังคมและพัฒนามนุษย์ได้อย่างที่ผมคิด”
เมื่อระบบสังคมที่เป็นอยู่ต้อนให้ผมจนมุมทางความคิดและตีกรอบการกระทำ ผมจึงตัดสินใจแหกคอกอย่างบ้าคลั่งด้วยการสถาปนาตัวเองเป็นนักกิจกรรม ทำกิจกรรมทั้งในและนอกสถานศึกษาเพื่อที่ผมจะหาพื้นที่ที่ผมสามารถยืนอยู่ได้อย่างภาคภูมิว่า..ผมสามารถแตกต่างและดีได้ ในภาวะกระแสสังคมและระบบที่ผมไม่เข้าใจ ในช่วงวันแห่งวัยอุดมศึกษาของผม ทุกที่ที่ผมย่างก้าว ทุกจุดที่ผมหยุดยืน ผมมักจะบอกกับเหล่าเพื่อนนักเรียนนักศึกษาของผมว่า
“เพื่อนไปทำกิจกรรมที่นั่น ที่โน่น ที่โน้นกันเถอะ”
“เพื่อนเอ๋ย ไปออกค่ายด้วยกันมั้ย”
“เพื่อนเอ๋ย ออกจากกรอบบ้างก็ได้นะ”
“เพื่อนเอ๋ย โลกยังต้องการให้เราไปเยี่ยมเยือนอีกหลายแห่ง”
“เพื่อนเอ๋ย สังคมกำลังเน่า เราน่าจะไปช่วยกันนะ”
“เพื่อนเอ๋ย พ่อแม่พี่น้องเรากำลังแย่ อย่ามัวแต่เห็นแก่ตัวกันอยู่เลย”
คำพูดเหล่านี้กลับกลายเป็นคำถามที่กลับมาทิ่มแทงผมอยู่เสมอว่าเพราะอะไรและทำไมถึงต้องทำอย่างที่ว่านั้นด้วยทั้ง ๆ ที่หลาย ๆ คนรวมทั้งผมสามารถที่จะกอบโกยเก็บเอาผลประโยชน์ต่าง ๆ ใส่ตัวเองให้อิ่มเอมจนพุงกางแก้มป่องและท้องอ้วน
เมื่อผมจบการศึกษา ณ วันนั้น ผมและเพื่อนของผมทุกคนอยู่ในชุดครุยสีขาวที่สง่างาม ด้วยความภาคภูมิ ผมไม่รู้หรอกว่าในใจของเพื่อนผมแต่ละคนคิดอะไรอยู่ ผมไม่รู้หรอกว่าชีวิตของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร ผมไม่รู้เลยครับว่าเพื่อนของผมคนไหนจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตำแหน่งอะไรบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ได้ในความเชื่อมันของผมคือ ผมจะก้มเก็บเพื่อที่จะแบ่งปันและผมจะไม่เกี่ยวกำเพื่อที่จะกอบโกยอย่างแน่นอน
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาผมก็เข้าสู่สนามรบแห่งชีวิต ผมได้ทำงานในองค์กรที่มั่นคงในสายงานที่ผมพอใจและที่สำคัญผมไม่ลืมคำถามต่าง ๆ ที่ได้ตามทิ่มแทงผมอยู่จนถึงทุกวันนี้ หากแต่การแสวงหาคำตอบของผมนั้นมีวิธีการที่เปลี่ยนไป ตอนนี้ผมไม่ใช่คนที่ทำกิจกรรมอย่างบ้าคลั่งแต่ผมกลับเป็นคนที่คอยสร้างขวัญและกำลังใจให้กับรุ่นน้อง ๆ ที่กำลังก้าวเดินสู่วัยแห่งการแสวงหา ผมหันมาหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งแรงบันดาลใจให้กับผู้คนที่พานพบในรอยทางแห่งชีวิต ผมชื่นชอบที่จะสร้างและเข้าร่วมเครือข่ายทางสังคมเพื่อที่จะช่วยกันสร้างสรรค์สังคมให้อุดมและงดงาม ผมมักจะทำตัวเป็นพลังเงียบคอยผลักดันและช่วยเหลือให้กิจกรรมของบรรดาเหล่าผู้ก่อการดีสำเร็จลุล่วงตามความสามารถและโอกาสอำนวย และผมรักที่จะเห็นรอยยิ้มของผู้คนที่ผมพบเจอและอ้อมกอดที่อบอุ่นอารี
ถึงวันนี้ผมรู้ได้อยู่หนึ่งอย่าง หนึ่งอย่างที่ตอบคำถามทั้งหมดของผมได้ในพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงในดวงใจของคนไทยทุกคน ว่า ” หากไม่มีใครปิดทองหลังพระ พระจะสวยและงามเต็มองค์ได้อย่างไร ”
ต่อไปนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมยังเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ในสิ่งที่ผมคิดในสิ่งที่ผมทำ และผมจะทำจะสร้างสิ่งเหล่านั้นต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดเรี่ยวแรง จนกว่าจะหมดปัญญาที่จะคิดจะเดิน
เพราะผมเชื่อและผมกล้าที่จะแตกต่างในวันนั้น ผมจึงได้กรรมสิทธิ์ในความเป็นมนุษย์กลับคืนมาในวันนี้
เพราะผมคือผม
สายลม ไร้ตัวตน แต่รู้ว่ามี
สายลม ไร้ตัวตน แต่รู้ว่ามี………………
บันทึกนี้โพสต์เมื่อ วันที่ วันพุธ, 25 มีนาคม 2009 เวลา 1:20 (เย็น) และจัดไว้ในหมวดหมู่ Uncategorized. ติดตามอ่านการแสดงความเห็นได้ที่ฟีดนี้ RSS 2.0. คุณสามารถจะ ฝากความคิดเห็นไว้, หรือ แทร็กย้อนหลัง จากเว็บไซต์ของคุณได้.