วันที่ 31 มีค. 54 ผมเสร็จภารกิจการอบรมครูที่โรงเรียนนาสารประมาณ 16.30 น. ฝนที่ยังคงตกพรำๆอย่างต่อเนื่อง ทำให้วิตกกังวลอยู่บ้างว่าจะขับรถกลับบ้านที่ไชยาได้หรือไม่ เพราะรายงานข่าวจากวิทยุกระจายเสียง สวท.สุราษฎร์ธานี พูดถึงระดับน้ำในแม่น้ำตาปีว่าทวีสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะทางต้นๆน้ำแถวอ.พระแสง และ อ.พนม ซึ่งจะมีผลให้น้ำเอ่อท่วมได้อีกมากมายในเวลาอีกไม่นาน ในเขตนาสาร บ้านนาเดิม และพุนพินเป็นต้น
ผมนั่งรถผ่านคลองใหญ่ที่น้ำเคยพัดพาเอาท่อนซุงและโคลน-ทรายมาทับถมเต็มบ้าน และร้านรวงในตลาดนาสารเมื่อปี 31 และสร้างความเสียหายมากและรุนแรงอย่างไม่มีใครคาดคิด ก็ยังเห็นปริมาณน้ำไม่สูงมากนัก แต่ทางพุนพินที่ผมต้องขับรถผ่านนั้น มีผู้รายงานเข้ามาว่าแถวหนองขรี ก่อนขึ้นถนนสายเอเชียตอนนั้นรถวิ่งผ่านไม่ได้แล้ว และแนะนำว่าควรใช้ทาง Bypass ที่ตัดใหม่ จากแยกท่ากูบที่บ้านดอน ไปออกถนนสายเอเชียใกล้ๆสนามบิน แม้จะมีน้ำท่วมเป็นบางช่วง รถก็พอผ่านไปได้
พอผมมาถึงบ้านพักอ.ชัยรัตน์ในมรภ.สุราษฎร์ธานี เวลาก็ห้าโมงเย็นแล้ว จึงรีบขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า ข้าวของใส่รถ รีบออกจากตัวเมืองสุราษฎร์ธานีให้เร็วที่สุด ขับเลยแยกท่ากูบมาได้เล็กน้อย ฟังวิทยุ สวท.สุราษฎร์ฯไปด้วย
เสียง “บ่าวเกลี้ยง” รายงานเป็นภาษาถิ่น ว่าตนเองอยู่แถวต้นน้ำตาปี เห็นปริมาณน้ำที่สูงขึ้นมากอย่างน่าตกใจ ก็ได้แจ้งเตือนให้พี่น้องแถวบ้านนาสาร บ้านนาเดิม และพุนพินว่าให้เตรียมตัวให้ดี เพราะจะค่ำแล้ว น้ำจะไหลบ่าท่วมมากอีกแน่นอนในไม่ช้า ใครอยู่ที่สูงปลอดภัยแล้วก็อย่าออกมา ส่วนใครไม่มั่นใจก็ให้อพยพออกมาเสียจากที่ตั้ง มาอยู่ยังที่สูงและปลอดภัยกว่า
ผมเองฟังแล้วก็ให้เป็นห่วงพี่น้องแถวพุนพินมาก เพราะเมื่อวันก่อนที่ผมขับรถผ่านไปได้นั้น บ้านเรือนริมน้ำตาปี แถวเชิงสะพานพระจุลจอมเกล้า 2 น้ำท่วมแทบมิดหลังคาก็เห็นอยู่มากมาย แล้วตขณะนั้นน้ำท่วมจนผมขับรถกลับทางเดิมไม่ได้ แถมยังจะมีน้ำบ่าจากทางเหนือน้ำเพิ่มมาอีกในค่ำคืนนั้น ทำให้นึกถึง สภาพบ้านเรือนของพี่น้องสองข้างทางที่ผมขับรถผ่านจะโดนกระหน่ำอย่างหนัก หน่วงกันอีกเท่าไรในค่ำคืนนั้น
ส่วนตัวผมเองนั้น ได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านที่ไชยา ว่าไฟฟ้า ประปา และสัญญาณโทรศัพท์กลับคืนมาเรียบร้อยแล้ว จึงขับรถต่อด้วยความโล่งใจว่ากลับไปก็ไม่ต้องลำบากอย่างเมื่อ 3-4 วันก่อนอีกแล้ว
แต่แล้วไม่นานนัก ขณะขับรถอยู่แถวๆในบาง อันเป็นที่ลุ่มต่ำ รถก็ติดเป็นแถวยาว ขยับเขยื้อนไปได้ทีละน้อย ผมสังเกตเห็นชัดเจนว่าน้ำที่เอ่อท่วมจากแม่น้ำตาปี และคลองพุนพินขึ้นมา เป็นทะเลอยู่ในสวนของชาวบ้านแถวนั้น ได้ค่อยๆสูงขึ้น นึกถึงคำที่อ.ชัยรัตน์บอกว่า “ถ้าไปไม่ได้ก็ให้กลับมานะ” แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะกลับอย่างไรในเมื่อรถติดกันยาวอย่างนั้น มีรถบรรทุกใหญ่มากมาย เข้าแถวทั้งข้างหน้าและหลังเรา แถมยังวิ่งเบียดคู่กันพยายามใช้เลนขวาซึ่งน้ำท่วมน้อยกว่า ทำให้รถที่สวนมาต้องจอดรอเพราะไปต่อไม่ได้
มองทางซ้ายมือเห็นน้ำท่วมบ้านเรือน และรถเก๋ง รถปิ๊กอัพหลายคันแช่น้ำ โผล่แต่หลังคาอยู่ข้างบ้าน ทำให้คิดต่อว่าแล้วถ้าเกิดเราต้องติดอยู่แถวนั้นอีก 3-4 ชั่วโมงล่ะ ภาพน้ำค่อยๆเอ่อท่วมถนน และค่อยๆท่วมรถของเราก็เริ่มปรากฏ แต่ไม่ได้ตกใจ เพราะมันเป็นเพียงจินตนาการเพื่อการแก้ปัญหาเท่านั้น
ผมยังคงบันทึกภาพสองข้างทางไปเป็นระยะ ขณะที่เตรียมการณ์เพื่อแก้ปัญหาไปด้วยหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับตัวเอง
ผมคิดว่าจะออกจากรถอย่างไรถ้าน้ำท่วมรถสูงมาก นอกจากประตูด้านขวาแล้วยังเล็ง Sun-roof ไว้ด้วย ว่าน่าจะสะดวกที่จะออกไปยืนบนหลังคารถ โดยไม่ต้องรีบลงไปเปียกน้ำ ต่อเมื่อไม่ไหวจริงๆ ค่อยแหวกว่ายไปหาต้นไม้เพื่อปีนป่ายไปอยู่ในที่สูงกว่า และหากเลือกได้จะเลือกต้นมะขามสักต้นเนื่องจากทราบมาว่าหลายคนเคยรอดตายอยู่ บนต้นมะขาม เพราะมะขามมีรากแน่นหนา ล้มยากกว่าต้นไม้ทั่วไป
ทั้งหมดที่เล่ามาเป็นเพียงจินตนาการเพื่อการแก้ปัญหา ที่ผม คิดสบายๆแบบไม่ให้ความกลัว หรือความตกใจหรือใจตก เข้ามาทำให้ใจแกว่งจนคิดอะไรไม่ออก และแล้วในที่สุดผมก็ขับรถลุยน้ำผ่านมาถึงถนนสายเอเชียได้เรียบร้อย จึงเลี้ยวซ้ายไป U-Turn มาเติมแก๊สที่ปั๊มแก๊สใกล้ทางเข้าสนามบิน ก่อนที่จะขับรถกลับถึงบ้านที่ไชยาโดยสวัสดิภาพในเวลาประมาณสองทุ่ม
อย่างไรก็ตาม ขอสารภาพว่า เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่คิดจะปีนต้นไม้ทั้งๆที่ยังขับรถไปบนถนนลาดยาง .. (แต่มีสภาพเป็นคลอง)