ท่านฝากบอกให้ “หัวเราะ” เมื่อพบกับการสูญเสียครั้งใหญ่

2 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 14 มกราคม 2011 เวลา 5:02 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิต #
อ่าน: 2248

     หลายปีมาแล้ว น้าทองมากผู้เป็นเสมือนพ่อคนที่สองของผม ได้พบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ในครอบครัว น้ามีลูกชายเพียงสองคน  น้องพิมลเรียนอยู่ปีสุดท้ายที่วิทยาลัยครู น้องนพพรก็ไปเรียนอยู่ที่สถาบันเดียวกัน  น้องนพพรท้องเสียไปรพ.เขาให้น้ำเกลือแต่ทำพลาด มีฟองอากาศขึ้นไปทำให้สมองมีปัญหา ต้องนอนเป็นอัมพาต รักษาตัวอยู่ที่รพ.ประสาทเป็นแรมเดือน โดยมีแม่ไปคอยประคับประคองดูแล   น้องพิมลมาเยี่ยมน้องชายทุกเย็น และแล้วเย็นวันหนึ่งน้องพิมลถูกคนเมาขับรถชนตายที่หน้ารพ.ประสาท

     กลับมาจัดการศพกันที่บ้านที่ไชยา ผ่านไปเพียงสองวัน ยายหอม แม่ของน้าทองมากก็มาล้มตายลงอีกคน ผมลงไปจากกทม. เพื่อร่วมงานศพน้องพิมลที่รักผมเหมือนพี่ชายแท้ๆ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นโลงศพวางคู่กันเป็นสองราย ยายหอมที่ดูแลแม่ของผมมา ได้นอนเคียงคู่กับหลานพิมลเสียแล้ว น้องนพพรก็พงาบๆอยู่ที่รพ.ประสาทสงขลาไม่รู้อนาคตว่าจะเป็นรูปแบบใด

    ตอนนั้นน้าทองมากเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) สนิทสนม และรับใช้ใกล้ชิดท่านอาจารย์พุทธทาสอยู่เสมอมา  เหตุการณ์ครั้งนั้นล่วงรู้ถึงท่านอาจารย์ ท่านจึงสั่งคนมาบอกน้าทองมากว่า …

                     ” บอกครูทองมากด้วยว่า .. ให้หัวเราะ

 

                                              


ไปกราบสวัสดีปีใหม่ “คุณครูในดวงใจ-ครูผู้ลิขิตชีวิต”

1 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 14 มกราคม 2011 เวลา 7:21 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิต #
อ่าน: 1375

     หลังจากผมได้เคยไปเยี่ยมคุณครูสุวรรณ สุวรรณรักษ์ ที่บ้านของท่านเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ตั้งแต่ 1 พค. 2545 ตามที่เขียนเล่าไว้ในบันทึกเรื่อง ครูสุวรรณ “ครูผู้ลิขิตชีวิตผม” ผมก็ไม่มีโอกาสไปเยี่ยมท่านอีกเลย แม้จะย้ายไปอยู่บ้านเกิดที่ไชยาที่ห่างจากบ้านท่านเพียงประมาณ 11 กม.เท่านั้น ขับรถผ่านหน้าบ้านท่านทีไรก็ได้แต่นึกว่าจะต้องมากราบท่านและเล่าเรื่องราวการอพยพหลบภัยของผม ให้ได้สักวัน รอจนกระทั่งเมื่อวานนี้ 13 มค. 54 จึงออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปกราบคารวะท่าน

   คุณครูสุวรรณเป็นครูในดวงใจ และครูผู้ลิขิตชีวิตผมอย่างไร คงต้องกลับไปติดตามในบัน ทึกเก่า ตาม Link ข้างบน ส่วนเมื่อวานนี้ ก็ได้รับทราบด้วยความตกใจว่าภรรยาคู่ชีวิตของท่านได้จากไปแล้วตั้งแต่ปี 2549

  พอผมไปถึงลูกชายของท่านก็รีบไปตาม บอกว่ามีคนมาหา และภาพที่ได้เห็นก็คือ คุณครูเดินออกมาจากห้องในอาคารไม้หลังเก่าของโรงแรมอุดมลาภ โรงแรมเล็กๆเก่าๆที่ท่านมาซื้อกิจการ และปรับปรุงให้ทันสมัย มีการสร้างอาคารเป็นตึกเพิ่มขึ้น และมีบ้านพักแบบทันสมัยหลังใหญ่อยู่ด้านหลัง ในบริเวณเดียวกัน แต่นั่นสำหรับลูกๆอยู่ ตัวท่านเองนั้นยังคงสมถะ เรียบง่าย พักอยู่ในห้องชั้นล่าง ของอาคารไม้หลังเดิม

  ท่านเดินออกมาพบที่นั่งรออยู่ผมด้วยรอยยิ้ม ปัจจุบันท่านอายุ 86 ปีแล้ว แต่ดูสุขภาพยังดีใช้ได้ทีเดียว จะมีปัญหาบ้างก็เรื่องการได้ยิน ที่เราเริ่มจะต้องพูดให้ดังกว่าแต่ก่อน ตามคำแนะนำของลูกสาวท่าน ซึ่งก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นมัธยมกับผม

  ผมอดไม่ได้ที่จะถามถึงอัลบั้มชื่อลูกศิษย์ของท่านอีกครั้ง ท่านก็เดินไปหยิบมาให้ดูและถ่ายภาพตามที่ผมต้องการ ที่จริงท่านมีเล่มใหญ่หลายเล่มมาก มีตั้งแต่ลูกศิษย์รุ่นน้าชายของผมซึ่งปัจจุบันก็อายุ 80 ปีแล้ว แต่เมื่อวานท่านหยิบ “เล่มเล็ก” ซึ่งดูเหมือนกับว่าท่านจะมีไว้ข้างกายตลอดเวลา เหลือเชื่อครับ ท่านทำของท่านเองด้วยใจรัก ทำมาตั้งแต่ปี 2487 และเก็บชื่อลูกศิษย์พร้อมภาพถ่ายเล็กๆที่ติดคู่กับลายเซ็นชื่อของลูกศิษย์แต่ละคน 

   ในบันทึกเก่าผมไม่ได้มีภาพมาให้ดู วันนี้จะพาไปชมกันชัดๆครับ

เมื่อคุณครูออกมาเริ่มนั่งคุยกับผม

 

                                          นี่คือ Album บรรจุชื่อศิษย์ ตั้งแต่ปี 2487

             -  บนซ้าย .. ปกหน้าด้าน ในคุณครูตอนเป็นหนุ่ม และตรา รร.พุทธนิคมที่ท่านแกะสลักเอง

             -  บนขวา .. ปกหลังด้านนอก มีรูปของท่าน

             -  ล่างซ้าย .. รองปกหน้า พร้อมลายเซ็นที่เชื่อว่าท่านน่าจะแกะสลักตรายางเอง

             -  ล่างขวา .. อำนวย อินทรสุข เพื่อนสนิทของผม ครูดีแห่งรร.บ้านทุ่งนางเภา จากไปแล้วตั้งแต่ 10 พย. 27 ท่านบันทึกไว้ชัดเจน

 

อีกบางหน้าใน “อัลบั้มแห่งความรัก” ของคุณครูสุวรรณ

ที่มีหน้าเด๋อด๋า ของเจ้าของบันทึกนี้อยู่ด้วย

 

ถ่ายภาพกับท่านอีกครั้งก่อนอำลากลับ

 

    เมื่อลาคุณครูสุวรรณออกมาแล้ว ผมยังโชคดีที่ได้พบกับคุณครูผู้สร้าง อีกหนึ่งท่านเมื่อแวะไปกราบท่านที่บ้านท่าโพธิ์ ใกล้ๆกับรพ.ไชยา นั่นคือคุณครูชอบ  นาคเมือง ท่านเป็นครูใหญ่ รร.พุทธนิคม 1 และเป็นครูประจำชั้นมศ.3 ที่ผมเรียนอยู่ในสมัยนั้น คุณครูชอบ เป็นผู้ที่คอยเคี่ยวเข็ญพวกเราเรื่องภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก จำได้ว่าทุกเย็นท่านจะติวเข้ม ให้พวกเราทำแบบฝึกหัด โดยมิได้มีค่าจ้างค่าตอบแทนแต่อย่างใด

   เมื่อบอกว่าคุณครูสุวรรณ ทำให้ผมรักภาษาอังกฤษได้อย่างไร จากบันทึกเก่า .. คุณครูชอบ  นาคเมือง ก็คือผู้ส่งแรงผลักดันให้ผมต้องกลายมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ทั้งๆที่ใจนั้นบ้าไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์เป็นชีวิตจิตใจ มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม  เมื่อวานผมก็ได้เรียนให้ท่านได้ทราบว่า ผมภูมิใจ ที่ได้ทั้งภาษาและวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี จนสามารถนำมาบูรณาการ ประยุกต์ สร้างสรรค์งานในหน้าที่ และช่วยเหลือผู้คนได้อย่างน่าพอใจ ก่อนกลับท่านเลยฝากโทรศัพท์แบบ Cordless Phone ยี่ห้อ Fujitel ที่ชำรุดให้ไปช่วยซ่อม 1 เครื่อง ก็รับมาด้วยความอิ่มใจที่จะได้ทำอะไรแม้เล็กๆน้อยๆ เพื่อช่วยเหลือท่านผู้มีพระคุณ อันเป็นความสุขรายวันที่ผมสามารถเก็บเกี่ยวได้ ง่ายๆและสม่ำเสมอ

 

ผมกับคุณครูชอบ  นาคเมือง


ถ่ายรูปได้มากและนานๆได้ โดยไม่ต้องกังวลใจเรื่อง “แบตฯหมด”

2 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 10 มกราคม 2011 เวลา 7:20 (เช้า) ในหมวดหมู่ เทคนิค-เทคโนโลยี, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1823

      ผมรำคาญกับการต้องเปลี่ยนแบตฯ ชาร์จแบตฯ เมื่อต้องถ่ายรูปด้วยกล้องดิจิตอลนานๆ ในงานหรือกิจกรรมต่างๆ จึงจัดชุด Power Supply ดังที่เห็นในภาพ โดยหาซื้อแบตเตอรี่แบบ Maintenance-free ขนาด 6 V. 6.0 Ah มาลูกหนึ่ง จัดทำสายเพื่อเสียบต่อขั้วแบตฯและหัวปลั๊กสำหรับเสียบเข้าช่อง DC.In ที่กล้องดิจิตอล บรรจุแบตเตอรี่เข้ากระเป๋าสะพายขนาดย่อม มีสายคล้องไหล่ ปรับระดับได้ตามต้องการ

     ตอนใช้งานอาจดูรุ่มร่าม รุงรังหน่อย แต่น่าพอใจที่เมื่อชาร์จไฟเต็มแล้วถ่ายรูปไป 3-4 วันก็ไม่มีทีท่าว่าแบตฯจะหมดเลย ไม่ต้องห่วงว่าจะพลาด Shot เด็ดๆในงานหรือกิจกรรมที่เราบันทึกภาพครับ    


Positive Thinking ของดีที่ต้องใช้ให้เป็น

3 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 6 มกราคม 2011 เวลา 6:03 (เย็น) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้, การศึกษา, ชีวิต #
อ่าน: 1327

    ใครๆก็มักพูดถึงความคิดเชิงบวกหรือ Positive Thinking และมองว่า Negative Thinking นั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงมีพึงเป็น ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะใครเล่าจะชอบการถูกตำหนิ แต่ก็พึงระวังว่า Positive จนเกินพอดีก็มีผลเสียได้เหมือนกัน อาจทำให้คนที่เราหวังดีไม่มีโอกาสเห็นความจริงในตน หรือกว่าจะเห็นหรือรู้สึกได้ก็สายเสียแล้ว .. เพราะมัวแต่โอ๋หรือถนอมน้ำใจกัน

    Positive Thinking สุนทรียสนทนา หรือการหยิบความสำเร็จแม้เพียงเล็กน้อยของผู้คนมาชื่นชม มาให้กำลังใจกัน เป็นสิ่งที่ผมชื่นชมเช่นที่หลายๆคนชื่นชอบ และก็ใช้สำเร็จมาหลายครั้งแล้วทั้งในระดับห้องเรียน และการทำงานโครงการใหญ่ๆดูแลงานวิจัยกว่า 30 โครงการ จึงขอยกมือให้ทุกท่านที่สนับสนุนเรื่องแนวนี้

    การตำหนิติเตียนมันบั่นทอนกำลังใจ ไม่มีใครชอบ ไม่มีใครต้องการได้รับ แต่จากประสบการณ์อีกมุมหนึ่ง ในกลุ่มเพื่อนฝูงที่รู้ใจ และครูบาอาจารย์ที่เราเคารพบูชา เราใช้หมัดตรง หรือของแข็ง กันมากเหมือนกันและได้ผลดีมากเสียด้วย เช่นท่านอาจารย์ถามว่า ทำไมคุณโง่อย่างนั้น? .. เป็นอาจารย์เขา ทำได้แค่นั้นหรือ ? ฯลฯ

    สรุปแล้วของแต่ละอย่างคงต้องเลือกให้เหมาะกับคนและสถานการณ์ .. ดีสำหรับคนหนึ่งอาจเลวร้ายสำหรับอีกคนหนึ่งได้เสมอ .. สรุปอีกทีก็คือจง ระวัง ระวัง และ ระวัง

     ถ้าผมกำลังจะตกหลุมลึกโดยไม่รู้ตัวและมีใครสักคนกระโดดถีบจนผมล้มลงและรอดพ้นจากการตกหลุม ผมจะขอบคุณการถีบของเขาอย่างจริงใจ ผมไม่ต้องการให้ใครมาปลอบโยน ให้กำลังใจในภาวะวิกฤติเช่นนั้น .. ในที่สุด คิดบวก หรือ คิดลบ ไม่มีทางสู้ “คิดเห็นตามที่เป็นจริง” ได้หรอก ผมเชื่อเช่นนี้


ส.ค.ส. ๒๕๕๔

8 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 20 ธันวาคม 2010 เวลา 12:04 (เช้า) ในหมวดหมู่ ธรรม #
อ่าน: 1986

    ใกล้ปีใหม่นี้ “คนจนอย่างพี่” ไม่มีอะไรมอบให้ จึงขอส่ง ส.ค.ส. จากใจ แบบง่ายๆด้วยภาพถ่าย 3 ภาพ เก็บมาเมื่อครั้งไปเยี่ยมบ้านเกิด 5 พค. 49 … เป็น “พรปีใหม่” จากสวนโมกข์ .. เชิญเก็บเกี่ยวไปคิดและรับประโยชน์ตามอัธยาศัยครับ

        ขอจงประสบความสำเร็จในการลด สิ่งที่มีอยู่เท่าเดิม ให้เหลือน้อยลงได้เรื่อยๆนะครับ แล้วรับความ สะอาด  สว่าง  สงบ  เป็นรางวัลจากการกระทำดังกล่าวกันทุกท่านทุกคน .. เทอญฯ


ตัวผมนี่หรือ มีทั้งความดื้อ และความประมาท

1 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 19 ธันวาคม 2010 เวลา 11:10 (เย็น) ในหมวดหมู่ ชีวิต #
อ่าน: 1246

   ความประมาท มักเกิดจาก ความเชื่อมั่น ที่มากเกินไป เช่น ผมเรียนค่อนข้างดี จบป.ตรี ก็คิดว่ายังไง สอบบรรจุเข้ารับราชการได้ Sure ! ตอนนั้นในใจนึกอยู่แต่ว่าจะ เลือกวิทยาลัยครูไหนดีนะ ? แล้วก็ไม่อ่านหนังสือสอบ  ผลออกมาคือ สอบได้ที่ 113  ปีนั้นสาขาวิชาของผมเขาบรรจุ ไม่กี่สิบคน และเรียกบรรจุรอบสองถึงที่ 110 มันส์ มั้ยล่ะ เจ้า ความประมาท !

    ผลที่ตามมาทำให้ผมต้องไปสอนอยู่ รร.เอกชนอยู่ค่อนปี อะไรๆก็ดีหมด แต่ผมก็  ดื้อ คือ มีเจตจำนง ที่จะทำ หรือ ไม่ทำ ตามที่ คนอื่น หรือ ตนเอง เคยคิดว่าควรทำ ในที่นี้คือการ ลาออกเสีย ทำตัวเองให้เป็นคนว่างงาน และเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบบรรจุครั้งที่สองในปีถัดมา 

     บางวันไปนั่งอ่านระเบียบ กฎหมาย ใต้ร่มไม้ข้างหอพัก อยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมงก็ง่วง เลยเดินกลับจะไปนอน แต่แล้ว  เสียงพ่อ ก็ก้องเข้ามาในสำนึกอีกว่า   ” ปีนี้เอาให้ได้นะ ไปไหน ใครถาม พ่ออายเขาเสียแล้ว “  ก็เพื่อนซี้ผมที่ไปจากตำบลเดียวกัน  เรียนด้วยกันมาตลอด เขาสอบบรรจุได้ที่ 1 ในสาขาของเขาตั้งแต่ปีแรก ไม่ใช่ 1 สองตัว ตามด้วย 3 อย่างที่ผมได้   ผมจึง ดื้อ เดินกลับไปนั่งอ่านหนังสือต่อทันที
     ผลจากความ ดื้อ ทำให้ผมสอบบรรจุ ได้ที่ 2 จากผู้เข้าสอบจากทั่วประเทศ 842 คน และได้รับการบรรจุทำงานรับราชการต่อเนื่องมาจนลาออกจากราชการเมื่อไม่นานมานี้  

    ทำงานมาไม่กี่ปีหรอกครับ 30 ปี ฝ่าๆ เท่านั้นเอง ! ( ตายจริง ! ใครไม่รู้ต้องนึกว่าเราแก่แล้ว แน่เลย .. ขอปฏิเสธว่า ยังครับ … ยังแก่กว่านี้ได้อีกครับ )


เพราะสลัดพิธีกรรม เราจึงทำ(งาน)กันด้วยความผ่อนคลาย

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 19 ธันวาคม 2010 เวลา 8:34 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
อ่าน: 1186

    ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ หรือกระบวนการจัดการความรู้ ที่มีการรวมคน ร่วมคิดร่วมเรียนรู้  หลายเวที ติดรูปแบบ ติดพิธีกรรม จนสาระสำคัญหดหายไป ซึ่งน่าคิดว่า จำเป็นอะไรที่ต้องทำเช่นนั้น ผมเชื่อและศรัทธาในวิธีการที่เป็นธรรมชาติ และผ่อนคลาย ได้ทำสิ่งที่น่าพอใจมากๆ ก็ตอนร่วมงานกับคุณหมอทวีศักดิ์ นพเกษร ครับ
   ปีงบประมาณ 2548 ผมเป็นหัวหน้าโครงการใหญ่ เป็นผู้ประสานงานระดับประเทศ ทำงานให้ สกอ. ดูแลชุดโครงการวิจัยอันประกอบด้วย โครงการย่อย 37 โครงการ ที่กระจายอยู่ตาม ม.ราชภัฏ ที่มี 8 Nodes 8 ภูมิภาค และแต่ละ Node เป็นผู้ประสานงานต่ออีกชั้นหนึ่ง ในการอบรม 5 วันเพื่อพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเชิงคุณภาพ ทั้งที่มีเรื่องหนักที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝนมาก แต่ทุกคนก็ไม่เครียด งานก็สำเร็จด้วยดี … ดู 3 ภาพนี้ก็คงพอมองเห็นว่าเราเล่นกันอย่างไร

 แต่งกายตามสบาย เพื่อให้ผ่อนคลาย

 

จะนั่งจะนอนยังไงก็ได้ ขอให้ได้งาน

โอกาสเช่นนี้ พิธีกรรม ไม่ใช่สิ่งจำเป็น หรือใครว่าไม่ใช่ครับ.

               

     ส่วนตัวผมนั้นสบาย คอยกระตุ้น ส่งเสริม
อำนวยความสะดวก ให้ทุกอย่างเดินไปและได้ผลตามที่ตั้งความมุ่งหวังเอาไว้

 

 


สัญชาตญาณของมะรุม

4 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 11 ธันวาคม 2010 เวลา 3:30 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1962

     ผมมีเรื่องเกี่ยวกับมะรุมที่บ้านที่อยากนำมาฝากว่าปลูกอย่างไร เจอปัญหาอะไร และได้แก้ไขไปอย่างไร  แต่เพราะไปเจอเรื่องมะรุม 3 ต้นที่ไปปลูกไว้ที่ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงระดับอำเภอซึ่งห่างบ้านไปราว 2-3 กม. ก็เลยต้องเอาเรื่องดังกล่าวมาเล่าก่อนเพราะแปลกดี

    เริ่มจากเมื่อวันที่ 20 กค. 53 ได้มีกิจกรรมปลูกต้นไม้ในศูนย์ โดยมีนายอำเภอไชยา คือคุณนิคม  ปิ่นแก้ว เพื่อร่วมรุ่นมัธยมพุทธนิคมของผมมาเป็นประธาน  ผมเองปลูกมะรุมไว้ 3-4 ต้นที่บ้าน  และปลูกแบบเพาะติดๆกันประมาณ 30-40 ต้น เพื่อตัดยอดกินในลักษณะ ผักยืนต้น  แต่ขณะนั้นแต่ละต้นก็สูงราวๆ 1 ฟุต  จึงตัดสินใจถอนสามต้นเป็นกล้าไม้ไปปลูกในศูนย์ดังกล่าว  ตอนแรกก็ขุดหลุมปลูกเรียงไว้ข้างป่าธรรมชาติที่เหลืออยู่หย่อมหนึ่ง  แต่พอปลูกเสร็จมีคนมาทักท้วงว่า  ผู้รับเหมาจะมาไถปรับพื้นที่บริเวณนั้นให้ดูเรียบร้อยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า  ก็เลยจำต้องถอนออกและย้ายที่ไปปลูกใหม่เรียงกันเป็นแนว  ใกล้ๆกับต้นไม้ที่ท่านประธานคือนายอำเภอเป็นคนปลูก

3 ต้นที่เห็นคือการปลูกครั้งแรก

 

         ผมปลูกใหม่เสร็จก็นึกสนุกขึ้นมาเลยหยิบเศษกระดาษกล่องแถวๆนั้นมาเขียนป้ายมาเสียบไว้ที่ไม้ที่ปักรอบๆโคนต้น  ระบุว่าเป็นต้นมะรุมของใคร โดยใส่ชื่อ พ่อ แม่ และยาย ซึ่งจากโลกนี้กันไปหมดแล้วทั้งสามท่าน

 

     ผ่านไป 2 เดือน คือวันที่ 19 กย. 53  ผมแวะไปเยี่ยมมะรุมทั้งสามต้นอีกครั้ง พบว่าเติบโตดีทั้งสามต้น แต่ความสูงและความสมบูรณ์ของแต่ละต้นต่างกัน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะดินดีไม่เท่ากันก็ได้ เนื่องจากเป็นที่นาดอนเก่า

นี่คือภาพที่ถ่ายเมื่อวันที่ 19 กย. 53 แต่ภาพเด็กนั้นถ่ายเมื่อ 2 เดือนก่อน

 

      และแล้วทั้งมะรุมที่บ้านผม และ 3 ต้นที่กำลังพูดถึง ต่างก็ได้รับผลกระทบจากการที่น้ำท่วมขังเป็นเวลานาน เมื่อช่วงอุทกภัยภาคใต้ที่ผ่านมา  ที่บ้านผมนั้นทั้งสามต้นใหญ่ต่างทิ้งใบเหลือแต่ต้นโล่งๆ เหมือนต้นไม้ตาย จึงจัดการตัดต้นที่สูงที่สุดที่สูงราว 5 เมตรแล้ว ตัดให้เหลือเป็นตอราว 1 เมตร แล้วนำทั้งลำต้นและกิ่งตัดเป็นท่อนไปฝังดินได้อีก4-5 ต้น ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มผลิใบให้เห็นบ้างแล้ว 

     ส่วนมะรุม 3 ต้นที่ศูนย์เรียนรู้ฯ  ไม่ได้มีโอกาสไปดูจนกระทั่งเมื่อเช้าวันที่ 1 ธค. ที่ผ่านมาก็ได้ขี่จักรยานผ่านไปดู  ครั้งแรกก็ใจหายเพราะมองไปไม่มีต้นใดเหลือให้เห็น มีแต่ไม้ปักอยู่ 3 อัน  ไปดูใกล้ๆก็พบว่ามันคือมะรุมที่ผมปลูกไว้นั่นเอง ต้นกลางที่เคยสมบูรณ์ที่สุดและมีใบหนา กลายเป็นว่ามีไม้เถาวัลย์บางชนิดพันไปจนถึงยอด เมื่อสังเกตดีๆ ทุกต้นยังไม่ตายครับ เห็นมีการแตกตา ผลิใบออกมาให้เห็นเมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ  แต่ต้นกลางนี่ไม่มีแตกตา แตกใบเลยครับ

\

 

     หลังจากที่ผมสางเถาวัลย์ออกมากองก็แหงนดูที่ยอดต้นมะรุมดังกล่าว  เหลือเชื่อจริงๆครับ  ไม่มีการแตกตาแตกใบ แต่ที่ยอดปลายสุดนั้นออกดอกเป็นช่อเลยครับ .. เห็นแล้วให้นึกเห็นใจ  คิดไปไกลว่านำท่วมคราวนี้มันคงเห็นว่าน่าจะไม่ไหวแน่แล้ว เลยรีบออกดอก เตรียมการขยายเผ่าพันธุ์ให้ทันการกระมัง

    คิดแล้วก็ให้งงๆ ว่าจะเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณได้หรือไม่ .. สัญชาตญาณการสืบสานเผ่าพันธุ์ของต้นมะรุม


คนมากรัก

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 11 ธันวาคม 2010 เวลา 9:11 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1234

      เห็นหัวเรื่องบันทึกนี้แล้ว  หลายท่านคงเดาว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควร  รักเดียวใจเดียวนั่นแหละดีที่สุด .. ฯลฯ  แต่ผมว่าไม่จริง  ผมไม่เชื่อจึงเขียนได้บทกลอนนี้เพื่อยืนยันครับ

     คนหลายรัก สังคมมัก จะติฉิน
เคยได้ยิน มานมนาน เกินขานไข
หญิงรักชาย ชายรักหญิง ต้องจริงใจ
อย่ามัวไป หลงเริงร่า หาคู่ชม

    แท้ความรัก สูงส่งนัก ใช่ความใคร่
ยิ่งแจกจ่าย เท่าไร ยิ่งสุขสม
แบ่งใจรัก เผื่อแผ่ไป ให้สังคม
น่านิยม หรือตำหนิ ตริตรองดู

    เห็นแก่ตัว มากมาก อยากได้รัก
ยิ่งอยากมาก ก็ยิ่งหนัก น่าอดสู
ทุกทุกอย่าง ต้องเป็นไป ตามใจกออู
แล้วจะรู้ รสรักได้ อย่างไรกัน

    ลองสิลอง คิดใหม่ ด้วยใจว่าง
มองทุกอย่าง ด้วยใจ อย่าไปฝัน
ล้าง บวก-ลบ ชั่ว-ดี ที่ผูกพัน
จะพบวัน เบาสบาย ทั้งกายใจ

    แล้วความรัก อันสูงค่า จะมาสู่
คำว่ากอ สระอู จะเลือนหาย
เห็นทุกอย่าง ตามเป็นจริง ได้มากมาย
พร้อมแจกจ่าย แบ่งรักไป ให้ทุกคน.


ซ่อมเตาไมโครเวฟสำเร็จอย่างเหลือเชื่อด้วยไอเดียแบบ “ปิ๊งแว้บ”

3 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2010 เวลา 1:19 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2720

      ผมโชคดีที่มีเรื่องร้ายๆเข้ามาในชีวิตจนทำให้ได้อพยพ ย้ายถิ่น หันหลังให้ กทม. กลับมาอยู่บ้านนอก และได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังที่ผมได้ถือกำเนิด มีโอกาสลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกอีกด้วย

     ความตั้งใจเดิมนั้นกะว่าจะลองใช้เวลา ปลูกผัก ปลูกข้าว ปลูกต้นไม้ และทำงานที่ถนัดและสนใจช่วยเหลือผู้คนและสังคมที่ผมไปอยู่ แรกๆก็ค่อนข้างน่าพอใจ และเป็นไปด้วยดีครับ  แต่ด้วยเหตุที่เราเป็นที่รู้จักของผู้คนมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนมัธยมว่า บ้าเรื่องงานช่างไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีเอามากๆ  เคยทำเครื่องส่งวิทยุเล่น  ประกอบวิทยุขาย และทำงานลักษณะ “สารพัดช่าง” มาตั้งแต่ครั้งกระโน้นจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป  บรรดาญาติๆ และ ลูก หลาน เหลน โหลน จึงได้เรียกหาความช่วยเหลือในเรื่องการแก้ไข ซ่อม สร้าง ดัดแปลงอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆอยู่สม่ำเสมอ  มีโจทย์แปลกๆใหม่เข้ามาก็ไม่น้อย  ประกอบกับการที่เราขนสมบัติเก่าอันได้แก่วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ที่สะสมมานานนับสิบปีในกทม.กลับไปด้วย  ขนาดว่ารถสิบล้อเที่ยวเดียวขนไม่หมดเลยทีเดียว การได้มีโอกาสทำงานโดยได้ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เดิมจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าจะเอาข้าวของเหล่านั้นไปทิ้งที่ไหน อย่างไร 

     นับวันผมเลยใช้เวลาแต่ละวันหมดไปกับงานช่างและงานประดิษฐ์ดัดแปลงข้าวของต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ  แปลงผักก็เริ่มมีหญ้ารกจนน่าหนักใจ  แต่ทำไงได้ครับ  ของมันเคยๆทำอยู่ และเป็นของชอบ ก็เลยจำยอม ลดความเป็น เกษตรการจำเป็น  มาเป็น ช่างจำเป็น มากขึ้นทุกวัน

     การทำงานในลักษณะการแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องสนุก เพราะมันมักมีเรื่องที่ท้าทาย ความรู้ความคิด และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแปลกๆ ใหม่ๆเสมอ หลายครั้งเป็นการประยุกต์ใช้วัสดุรอบตัวมาแก้ปัญหาได้สำเร็จอย่างน่าสนใจ เป็นแนวทางปฏิบัติใหม่ๆที่ค้นพบ และสมควรนำมาเผยแพร่เพื่อแลกเปลี่ยนแบ่งปันให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างต่อๆไป  เช่นเรื่องการซ่อมเตาไมโครเวฟสำเร็จได้ด้วยไอเดียแบบ “ปิ๊งแว้บ” ที่จะพูดถึงนี่แหละครับ

     เตาไมโครเวฟยี่ห้อ Sharp ที่บ้านเสีย ใช้การไม่ได้มาร่วมสัปดาห์แล้วครับ อาการก็คือหน้าจอ LCD ยังแสดงผลเป็นตัวเลขได้อยู่ แต่ปุ่มกดที่เป็นระบบ Soft Touch เพื่อเปิด-ปิดเครื่อง และตั้งค่าต่างๆใช้การไม่ได้  จนเมื่อวันที่ 12 พย. ที่ผ่านมาผมก็ได้มีโอกาสถอดสกรูเปิดฝาครอบเครื่องออกมาดูว่าจะจัดการอะไรได้เองหรือว่าจะต้องส่งซ่อม
 

     เมื่อเปิดเครื่องออกมา สิ่งที่พบเป็นของแถมคือจิ้งจกตายแห้งอยู่ในนั้น 1 ตัว  นอกนั้นตรวจสอบแล้วแทบทุกอย่างยังทำงานเป็นปกติ เช่นสวิตช์อัตโนมัติ 3 ตัวที่ทำงานสัมพันธ์กับการเปิด-ปิดฝาตู้ พัดลม หลอดไฟ และหม้อแปลง (Transformer) เป็นต้น (1-2-3)

     สุดท้ายผมก็พุ่งความสนใจไปยังแผ่นวงจรควบคุมอันประกอบด้วย Micro-processor และอุปกรณ์ประกอบทั้งหมดอยู่บน Board เดียวกัน (4)  พิจารณาด้วยสายตาทั้งด้านบน ด้านล่างของแผ่นวงจรก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ทั้งสี และกลิ่น จึงไล่ต่อไปยังขั้วต่อสายแพซึ่งเป็นตัวเชื่อมโยงจากแผงสวิตช์ควบคุมด้านหน้าเครื่อง และจอแสดงผล LCD  (5-6-7) มายังแผงวงจรดังกล่าว  พบว่าเขาใช้ฟิล์มคาร์บอนเป็นขั้วของสายไฟสิบเส้นที่ปลายสายแพนั้น โดยอาศัยแถบยางคาร์บอนเป็นตัวเชื่อมต่อด้วยวิธีกดทับลงไปเมื่อขันสกรูยึดแผ่นวงจร

     จากการตรวจสอบฟิล์มคาร์บอนที่ปลายสาย พบว่าสีดำนั้นจางมาก  ครั้นวัดดูด้วยโอห์มมีเตอร์ก็ปรากฏว่ามันได้สูญเสียความเป็นตัวนำไฟฟ้าไปแล้วเกือบทุกเส้น  จึงสันนิษฐานว่าจุดนี้เองน่าจะเป็นต้นเหตุสำคัญ  ความจริงแล้วเขาสามารถเคลือบฟิล์มคาร์บอนให้หนากว่านั้นได้  แต่สงสัยว่ากลัวผู้ใช้จะไม่ได้เสียเงินเมื่อผ่านไป 4-5 ปี จึงทำมาแบบนั้น  ผมพบมามากมายหลายตัวอย่างแล้วที่อุตสาหกรรมยุคใหม่เขาจงใจใช้วัสดุที่ไม่เหมาะกับงาน โดยมุ่งแสวงประโยชน์จากการขายชิ้นส่วนซึ่งมักออกแบบมาให้ต้องเปลี่ยน “ยกชุด” ด้วยราคาที่แพงอย่างเหลือเชื่อ  กรณีเตาไมโครเวฟนี้ก็เช่นกัน  สายแพดังกล่าวติดตายอยู่กับแผงสวิตช์ด้านหน้า ไม่สามารถเปลี่ยนเฉพาะสายได้  ต้องเปลี่ยนยกแผง (5) เท่านั้น

    ตอนแรกผมคิดจะแก้ปัญหาที่พบด้วยการตัดแผ่นทองแดงบางๆ หรือไม่ก็ใช้ลวดสายไฟเล็กๆ 10 ชิ้นมาวางทาบกับขั้วต่อของเดิมที่เป็นคาร์บอนหมดสภาพ  แต่ห่วงเรื่องรอยต่อ หรือการสัมผัสกันจะไม่ดีพอ จึงยังไม่ลงมือทำ  ทันใดนั้นก็เกิดอาการ “ปิ๊งแว้บ” ขึ้นมาในใจ  เห็นภาพของวัสดุที่จะใช้ และภาพความสำเร็จชัดเจน และมั่นใจมากๆ จึงรีบดำเนินการทันที

    ผมไปหยิบขวดกาวลาเท็กซ์ เทกาวออกมาเพียงเล็กน้อย ประมาณครึ่งช้อนชา  เทน้ำลงไปผสมเล็กน้อยให้เหลวหน่อย  แล้วก็ไปเอาถ่านไฟฉายเก่ามาก้อนหนึ่ง  ทุบและงัดแงะ แกะเปลือกนอกออก หยิบเอาเฉพาะแกนคาร์บอนของขั้วบวกไปใช้ (ระมัดระวังไม่ไปสัมผัสกับสารพิษในก้อนถ่านโดยไม่จำเป็น) จากนั้นก็เอาเศษคาร์บอนเพียงเล็กน้อยแค่ประมาณขนาด 2 หัวก้านไม้ขีดไฟ  นำไปห่อด้วยเศษถุงพลาสติกใส สองสามชั้น เพื่อให้สามารถมองเห็นภายในได้ แล้วจึงใช้ค้อนทุบๆๆ ให้แตกละเอียดเป็นผงคาร์บอน (8) นำไปผสมเข้ากับกาวลาเท็กซ์ที่เตรียมไว้  คนให้เข้ากันดีก่อนที่จะใช้พู่กันเล็กๆจุ่มเพื่อนำไประบายลงบนปริเวณแถบคาร์บอนที่ปลายสายแพของเก่า (9) จากนั้นใช้เครื่องเป่าผมค่อยๆเป่าให้แห้ง  เมื่อเห็นว่าแห้งพอหมาดๆจึงใช้ปลายมีดค่อยๆขูดเอาส่วนเกินออก คล้ายๆเซาะร่องให้มีช่องว่างระหว่างตัวนำทั้ง 10 เส้น เพื่อไม่ให้มีการลัดวงจรถึงกันได้ (10) จากนั้นก็นำไปประกอบกับวงจรเหมือนเดิม และประกอบชิ้นส่วนกลับตามเดิมจนสำเสร็จ 

      เหลือเชื่อจริงๆครับที่ “การปิ๊งแว้บ” ครั้งนี้ได้ผลดีเกินคาด  วงจรและระบบทุกอย่างทำงานเป็นปกติ  เตาไมโครเวฟดังกล่าวใช้งานได้ดีเหมือนเดิม จนกระทั่งบัดนี้ 

      หากแก้ปัญหาดังกล่าวไม่ได้ ผมคงต้องไปหาซื้อแผงสวิตช์ควบคุมทั้งแผงที่เขาผลิตขึ้นมาเฉพาะรุ่นของเตาไมโครเวฟ ซึ่งคิดว่าราคาน่าจะถึงหลักพันเป็นแน่แท้

     นี่แหละครับคุณค่าของ “ปิ๊งแว้บ” ที่ผมเจอมาเมื่อสองสามวันก่อน



Main: 1.1520519256592 sec
Sidebar: 0.062206029891968 sec