สวนโมกข์พุมเรียง

1 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 2 เมษายน 2012 เวลา 10:50 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1970

พอพูดว่าสวนโมกข์ คนทั่วไปก็นึกถึงแต่ “วัดธารน้ำไหล” อันเป็นที่ ท่านพุทธทาส ใช้เป็นที่ศึกษา ปฏิบัติ และ ประกาศธรรม จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตฝ่ายกายของท่าน ที่จริงแล้ว สวนโมกข์พุมเรียง คือจุดกำเนิด หรือเป็นเสมือนปฐมบทของสวนโมกข์ที่เราท่านรู้จักกันในปัจจุบัน เหตุการณ์มีมาตั้งแต่พศ.2475 แล้วครับ

ท่านพุทธทาส หรือ พระมหาเงื่อม ในเวลานั้น พร้อมด้วยโยมน้องชาย คือ นายยี่เกย หรือ คุณธรรมทาส พานิช และ เพื่อนในคณะธรรมทานประมาณ 4 - 5 คน เท่านั้น ที่ร่วมรับรู้ถึงปณิธานอันมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามรอยพระอรหันต์ ของท่าน ทุกคนเต็มอกเต็มใจ ที่จะหนุนช่วยด้วยความศรัทธา โดยพากันออกเสาะหาสถานที่ ซึ่งคิดว่ามี ความวิเวก และ เหมาะสมจะเป็นสถานที่ เพื่อทอลองปฏิบัติธรรม ตามรอยพระอรหันต์ สำรวจกันอยู่ประมาณเดือนเศษ ก็พบ วัดร้าง เนื้อที่ประมาณ 60 ไร่ ชื่อ วัดตระพังจิก ซึ่งรกร้างมานาน บริเวณเป็น ป่ารกครึ้ม มีสระน้ำใหญ่ ซึ่งร่ำลือกันว่ามีผีดุอาศัยอยู่ เมื่อเป็นที่พอใจแล้ว คณะอุบาสก ดังกล่าว ก็จัดทำเพิงที่พัก อยู่หลัง พระพุทธรูปเก่า ซึ่งเป็น พระประธาน ใน วัดร้าง นั้น แล้วท่านก็เข้าอยู่ใน วัดร้างแห่งนี้ เมื่อวันทื่ 12 พฤษภาคม 2475 อันตรงกับ วันวิสาขบูชา โดยมี อัฐบริขาร ตะเกียง และ หนังสืออีกเพียง 2 - 3 เล่ม ติดตัวไป เท่านั้น

เข้าไปอยู่ได้ไม่กี่วัน วัดร้าง นาม ตระพังจิก นี้ ก็ได้รับการตั้งนามขึ้นใหม่ ซึ่งท่านเห็นว่า บริเวณใกล้ที่พักนั้น มี ต้นโมก และ ต้นพลา ขึ้นอยู่ทั่วไป จึงคิดนำคำทั้งสองมาต่อเติมขึ้นใหม่ ให้มีความหมายใน ทางธรรม จึงเกิดคำว่า สวนโมกขพลาราม อันหมายถึง สวนป่าอันเป็นกำลังแห่งความหลุดพ้นทุกข์ ขึ้นในโลกตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ที่มาของข้อมูล :  http://www.rosenini.com/suanmokkh/pumriang/pr01.htm

ตามไปดูได้ครับ มีภาพถ่ายงามๆให้ดูด้วย


ครั้งแรกในชีวิตที่คิดจะปีนต้นไม้ ทั้งที่กำลังขับรถไปบนถนนลาดยาง

3 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 3 เมษายน 2011 เวลา 10:27 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1978

วันที่ 31 มีค. 54 ผมเสร็จภารกิจการอบรมครูที่โรงเรียนนาสารประมาณ 16.30 น. ฝนที่ยังคงตกพรำๆอย่างต่อเนื่อง ทำให้วิตกกังวลอยู่บ้างว่าจะขับรถกลับบ้านที่ไชยาได้หรือไม่ เพราะรายงานข่าวจากวิทยุกระจายเสียง สวท.สุราษฎร์ธานี พูดถึงระดับน้ำในแม่น้ำตาปีว่าทวีสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะทางต้นๆน้ำแถวอ.พระแสง และ อ.พนม ซึ่งจะมีผลให้น้ำเอ่อท่วมได้อีกมากมายในเวลาอีกไม่นาน ในเขตนาสาร บ้านนาเดิม และพุนพินเป็นต้น

ผมนั่งรถผ่านคลองใหญ่ที่น้ำเคยพัดพาเอาท่อนซุงและโคลน-ทรายมาทับถมเต็มบ้าน และร้านรวงในตลาดนาสารเมื่อปี 31 และสร้างความเสียหายมากและรุนแรงอย่างไม่มีใครคาดคิด ก็ยังเห็นปริมาณน้ำไม่สูงมากนัก  แต่ทางพุนพินที่ผมต้องขับรถผ่านนั้น  มีผู้รายงานเข้ามาว่าแถวหนองขรี ก่อนขึ้นถนนสายเอเชียตอนนั้นรถวิ่งผ่านไม่ได้แล้ว  และแนะนำว่าควรใช้ทาง Bypass ที่ตัดใหม่ จากแยกท่ากูบที่บ้านดอน ไปออกถนนสายเอเชียใกล้ๆสนามบิน แม้จะมีน้ำท่วมเป็นบางช่วง รถก็พอผ่านไปได้

พอผมมาถึงบ้านพักอ.ชัยรัตน์ในมรภ.สุราษฎร์ธานี เวลาก็ห้าโมงเย็นแล้ว จึงรีบขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า ข้าวของใส่รถ รีบออกจากตัวเมืองสุราษฎร์ธานีให้เร็วที่สุด ขับเลยแยกท่ากูบมาได้เล็กน้อย ฟังวิทยุ สวท.สุราษฎร์ฯไปด้วย

เสียง “บ่าวเกลี้ยง” รายงานเป็นภาษาถิ่น ว่าตนเองอยู่แถวต้นน้ำตาปี  เห็นปริมาณน้ำที่สูงขึ้นมากอย่างน่าตกใจ ก็ได้แจ้งเตือนให้พี่น้องแถวบ้านนาสาร บ้านนาเดิม และพุนพินว่าให้เตรียมตัวให้ดี เพราะจะค่ำแล้ว น้ำจะไหลบ่าท่วมมากอีกแน่นอนในไม่ช้า ใครอยู่ที่สูงปลอดภัยแล้วก็อย่าออกมา ส่วนใครไม่มั่นใจก็ให้อพยพออกมาเสียจากที่ตั้ง มาอยู่ยังที่สูงและปลอดภัยกว่า

ผมเองฟังแล้วก็ให้เป็นห่วงพี่น้องแถวพุนพินมาก  เพราะเมื่อวันก่อนที่ผมขับรถผ่านไปได้นั้น บ้านเรือนริมน้ำตาปี แถวเชิงสะพานพระจุลจอมเกล้า 2 น้ำท่วมแทบมิดหลังคาก็เห็นอยู่มากมาย แล้วตขณะนั้นน้ำท่วมจนผมขับรถกลับทางเดิมไม่ได้  แถมยังจะมีน้ำบ่าจากทางเหนือน้ำเพิ่มมาอีกในค่ำคืนนั้น ทำให้นึกถึง สภาพบ้านเรือนของพี่น้องสองข้างทางที่ผมขับรถผ่านจะโดนกระหน่ำอย่างหนัก หน่วงกันอีกเท่าไรในค่ำคืนนั้น

ส่วนตัวผมเองนั้น ได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านที่ไชยา ว่าไฟฟ้า ประปา และสัญญาณโทรศัพท์กลับคืนมาเรียบร้อยแล้ว  จึงขับรถต่อด้วยความโล่งใจว่ากลับไปก็ไม่ต้องลำบากอย่างเมื่อ 3-4 วันก่อนอีกแล้ว

แต่แล้วไม่นานนัก ขณะขับรถอยู่แถวๆในบาง อันเป็นที่ลุ่มต่ำ รถก็ติดเป็นแถวยาว ขยับเขยื้อนไปได้ทีละน้อย ผมสังเกตเห็นชัดเจนว่าน้ำที่เอ่อท่วมจากแม่น้ำตาปี และคลองพุนพินขึ้นมา เป็นทะเลอยู่ในสวนของชาวบ้านแถวนั้น ได้ค่อยๆสูงขึ้น นึกถึงคำที่อ.ชัยรัตน์บอกว่า “ถ้าไปไม่ได้ก็ให้กลับมานะ” แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะกลับอย่างไรในเมื่อรถติดกันยาวอย่างนั้น มีรถบรรทุกใหญ่มากมาย เข้าแถวทั้งข้างหน้าและหลังเรา แถมยังวิ่งเบียดคู่กันพยายามใช้เลนขวาซึ่งน้ำท่วมน้อยกว่า ทำให้รถที่สวนมาต้องจอดรอเพราะไปต่อไม่ได้

มองทางซ้ายมือเห็นน้ำท่วมบ้านเรือน และรถเก๋ง รถปิ๊กอัพหลายคันแช่น้ำ โผล่แต่หลังคาอยู่ข้างบ้าน ทำให้คิดต่อว่าแล้วถ้าเกิดเราต้องติดอยู่แถวนั้นอีก 3-4 ชั่วโมงล่ะ  ภาพน้ำค่อยๆเอ่อท่วมถนน และค่อยๆท่วมรถของเราก็เริ่มปรากฏ  แต่ไม่ได้ตกใจ เพราะมันเป็นเพียงจินตนาการเพื่อการแก้ปัญหาเท่านั้น

ผมยังคงบันทึกภาพสองข้างทางไปเป็นระยะ ขณะที่เตรียมการณ์เพื่อแก้ปัญหาไปด้วยหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับตัวเอง

ผมคิดว่าจะออกจากรถอย่างไรถ้าน้ำท่วมรถสูงมาก นอกจากประตูด้านขวาแล้วยังเล็ง Sun-roof ไว้ด้วย ว่าน่าจะสะดวกที่จะออกไปยืนบนหลังคารถ โดยไม่ต้องรีบลงไปเปียกน้ำ  ต่อเมื่อไม่ไหวจริงๆ ค่อยแหวกว่ายไปหาต้นไม้เพื่อปีนป่ายไปอยู่ในที่สูงกว่า และหากเลือกได้จะเลือกต้นมะขามสักต้นเนื่องจากทราบมาว่าหลายคนเคยรอดตายอยู่ บนต้นมะขาม เพราะมะขามมีรากแน่นหนา ล้มยากกว่าต้นไม้ทั่วไป

ทั้งหมดที่เล่ามาเป็นเพียงจินตนาการเพื่อการแก้ปัญหา ที่ผม คิดสบายๆแบบไม่ให้ความกลัว หรือความตกใจหรือใจตก เข้ามาทำให้ใจแกว่งจนคิดอะไรไม่ออก และแล้วในที่สุดผมก็ขับรถลุยน้ำผ่านมาถึงถนนสายเอเชียได้เรียบร้อย จึงเลี้ยวซ้ายไป U-Turn มาเติมแก๊สที่ปั๊มแก๊สใกล้ทางเข้าสนามบิน ก่อนที่จะขับรถกลับถึงบ้านที่ไชยาโดยสวัสดิภาพในเวลาประมาณสองทุ่ม

อย่างไรก็ตาม ขอสารภาพว่า เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่คิดจะปีนต้นไม้ทั้งๆที่ยังขับรถไปบนถนนลาดยาง .. (แต่มีสภาพเป็นคลอง)


ความสำเร็จ

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 24 มีนาคม 2011 เวลา 8:52 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิต, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1539

  • ความสำเร็จอยู่ที่ไหน
  • ที่แน่นอนต้องอยู่ที่ใจ
  • ความล้มเหลวในสายตาคนอื่น อาจเป็นความสำเร็จของเราก็ได้
  • เหตุเพราะเขามองที่วัตถุ ส่วนเรามองด้านในของเรา
  • หากใจเราชนะได้ อิสระได้ท่ามกลางปัญหามากมาย นั่นคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
  • ต่อๆไป เมื่อมีปัญหาอะไรก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเสียทั้งสิ้น


หัวใจอยู่ที่ “รัก”

1 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 12 มีนาคม 2011 เวลา 6:11 (เช้า) ในหมวดหมู่ การศึกษา, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1973

เคยอ่าน เคยฟังมั้ยครับเรื่องที่ครูฝรั่งแก่ๆตอบนักวิจัยว่าทำไม เหล่าเด็กเกเรในอดีต ซึ่งต่างประสบความสำเร็จในชีวิต ผิดคำพยากรณ์ของนักวิจัยที่ว่าพวกนั้นต้องไม่พ้นคุก ตะราง .. อดีตเด็ก “นักเลง” เหล่านั้นต่างพูดถึงชื่อครูคนเดียวกัน จนต้องตามล่าหาตัวเพื่อถามว่า ครูไปทำอะไรกับเด็กกลุ่มนั้น .. คำตอบที่ได้คือ .. “ฉันก็จำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ฉันรู้ว่า ฉันรักพวกเขา” .. หัวใจอยู่ตรงนั้นครับ


ถ่ายรูปได้มากและนานๆได้ โดยไม่ต้องกังวลใจเรื่อง “แบตฯหมด”

2 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 10 มกราคม 2011 เวลา 7:20 (เช้า) ในหมวดหมู่ เทคนิค-เทคโนโลยี, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1823

      ผมรำคาญกับการต้องเปลี่ยนแบตฯ ชาร์จแบตฯ เมื่อต้องถ่ายรูปด้วยกล้องดิจิตอลนานๆ ในงานหรือกิจกรรมต่างๆ จึงจัดชุด Power Supply ดังที่เห็นในภาพ โดยหาซื้อแบตเตอรี่แบบ Maintenance-free ขนาด 6 V. 6.0 Ah มาลูกหนึ่ง จัดทำสายเพื่อเสียบต่อขั้วแบตฯและหัวปลั๊กสำหรับเสียบเข้าช่อง DC.In ที่กล้องดิจิตอล บรรจุแบตเตอรี่เข้ากระเป๋าสะพายขนาดย่อม มีสายคล้องไหล่ ปรับระดับได้ตามต้องการ

     ตอนใช้งานอาจดูรุ่มร่าม รุงรังหน่อย แต่น่าพอใจที่เมื่อชาร์จไฟเต็มแล้วถ่ายรูปไป 3-4 วันก็ไม่มีทีท่าว่าแบตฯจะหมดเลย ไม่ต้องห่วงว่าจะพลาด Shot เด็ดๆในงานหรือกิจกรรมที่เราบันทึกภาพครับ    


สัญชาตญาณของมะรุม

4 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 11 ธันวาคม 2010 เวลา 3:30 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1962

     ผมมีเรื่องเกี่ยวกับมะรุมที่บ้านที่อยากนำมาฝากว่าปลูกอย่างไร เจอปัญหาอะไร และได้แก้ไขไปอย่างไร  แต่เพราะไปเจอเรื่องมะรุม 3 ต้นที่ไปปลูกไว้ที่ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงระดับอำเภอซึ่งห่างบ้านไปราว 2-3 กม. ก็เลยต้องเอาเรื่องดังกล่าวมาเล่าก่อนเพราะแปลกดี

    เริ่มจากเมื่อวันที่ 20 กค. 53 ได้มีกิจกรรมปลูกต้นไม้ในศูนย์ โดยมีนายอำเภอไชยา คือคุณนิคม  ปิ่นแก้ว เพื่อร่วมรุ่นมัธยมพุทธนิคมของผมมาเป็นประธาน  ผมเองปลูกมะรุมไว้ 3-4 ต้นที่บ้าน  และปลูกแบบเพาะติดๆกันประมาณ 30-40 ต้น เพื่อตัดยอดกินในลักษณะ ผักยืนต้น  แต่ขณะนั้นแต่ละต้นก็สูงราวๆ 1 ฟุต  จึงตัดสินใจถอนสามต้นเป็นกล้าไม้ไปปลูกในศูนย์ดังกล่าว  ตอนแรกก็ขุดหลุมปลูกเรียงไว้ข้างป่าธรรมชาติที่เหลืออยู่หย่อมหนึ่ง  แต่พอปลูกเสร็จมีคนมาทักท้วงว่า  ผู้รับเหมาจะมาไถปรับพื้นที่บริเวณนั้นให้ดูเรียบร้อยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า  ก็เลยจำต้องถอนออกและย้ายที่ไปปลูกใหม่เรียงกันเป็นแนว  ใกล้ๆกับต้นไม้ที่ท่านประธานคือนายอำเภอเป็นคนปลูก

3 ต้นที่เห็นคือการปลูกครั้งแรก

 

         ผมปลูกใหม่เสร็จก็นึกสนุกขึ้นมาเลยหยิบเศษกระดาษกล่องแถวๆนั้นมาเขียนป้ายมาเสียบไว้ที่ไม้ที่ปักรอบๆโคนต้น  ระบุว่าเป็นต้นมะรุมของใคร โดยใส่ชื่อ พ่อ แม่ และยาย ซึ่งจากโลกนี้กันไปหมดแล้วทั้งสามท่าน

 

     ผ่านไป 2 เดือน คือวันที่ 19 กย. 53  ผมแวะไปเยี่ยมมะรุมทั้งสามต้นอีกครั้ง พบว่าเติบโตดีทั้งสามต้น แต่ความสูงและความสมบูรณ์ของแต่ละต้นต่างกัน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะดินดีไม่เท่ากันก็ได้ เนื่องจากเป็นที่นาดอนเก่า

นี่คือภาพที่ถ่ายเมื่อวันที่ 19 กย. 53 แต่ภาพเด็กนั้นถ่ายเมื่อ 2 เดือนก่อน

 

      และแล้วทั้งมะรุมที่บ้านผม และ 3 ต้นที่กำลังพูดถึง ต่างก็ได้รับผลกระทบจากการที่น้ำท่วมขังเป็นเวลานาน เมื่อช่วงอุทกภัยภาคใต้ที่ผ่านมา  ที่บ้านผมนั้นทั้งสามต้นใหญ่ต่างทิ้งใบเหลือแต่ต้นโล่งๆ เหมือนต้นไม้ตาย จึงจัดการตัดต้นที่สูงที่สุดที่สูงราว 5 เมตรแล้ว ตัดให้เหลือเป็นตอราว 1 เมตร แล้วนำทั้งลำต้นและกิ่งตัดเป็นท่อนไปฝังดินได้อีก4-5 ต้น ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มผลิใบให้เห็นบ้างแล้ว 

     ส่วนมะรุม 3 ต้นที่ศูนย์เรียนรู้ฯ  ไม่ได้มีโอกาสไปดูจนกระทั่งเมื่อเช้าวันที่ 1 ธค. ที่ผ่านมาก็ได้ขี่จักรยานผ่านไปดู  ครั้งแรกก็ใจหายเพราะมองไปไม่มีต้นใดเหลือให้เห็น มีแต่ไม้ปักอยู่ 3 อัน  ไปดูใกล้ๆก็พบว่ามันคือมะรุมที่ผมปลูกไว้นั่นเอง ต้นกลางที่เคยสมบูรณ์ที่สุดและมีใบหนา กลายเป็นว่ามีไม้เถาวัลย์บางชนิดพันไปจนถึงยอด เมื่อสังเกตดีๆ ทุกต้นยังไม่ตายครับ เห็นมีการแตกตา ผลิใบออกมาให้เห็นเมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ  แต่ต้นกลางนี่ไม่มีแตกตา แตกใบเลยครับ

\

 

     หลังจากที่ผมสางเถาวัลย์ออกมากองก็แหงนดูที่ยอดต้นมะรุมดังกล่าว  เหลือเชื่อจริงๆครับ  ไม่มีการแตกตาแตกใบ แต่ที่ยอดปลายสุดนั้นออกดอกเป็นช่อเลยครับ .. เห็นแล้วให้นึกเห็นใจ  คิดไปไกลว่านำท่วมคราวนี้มันคงเห็นว่าน่าจะไม่ไหวแน่แล้ว เลยรีบออกดอก เตรียมการขยายเผ่าพันธุ์ให้ทันการกระมัง

    คิดแล้วก็ให้งงๆ ว่าจะเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณได้หรือไม่ .. สัญชาตญาณการสืบสานเผ่าพันธุ์ของต้นมะรุม


คนมากรัก

ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 11 ธันวาคม 2010 เวลา 9:11 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1234

      เห็นหัวเรื่องบันทึกนี้แล้ว  หลายท่านคงเดาว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควร  รักเดียวใจเดียวนั่นแหละดีที่สุด .. ฯลฯ  แต่ผมว่าไม่จริง  ผมไม่เชื่อจึงเขียนได้บทกลอนนี้เพื่อยืนยันครับ

     คนหลายรัก สังคมมัก จะติฉิน
เคยได้ยิน มานมนาน เกินขานไข
หญิงรักชาย ชายรักหญิง ต้องจริงใจ
อย่ามัวไป หลงเริงร่า หาคู่ชม

    แท้ความรัก สูงส่งนัก ใช่ความใคร่
ยิ่งแจกจ่าย เท่าไร ยิ่งสุขสม
แบ่งใจรัก เผื่อแผ่ไป ให้สังคม
น่านิยม หรือตำหนิ ตริตรองดู

    เห็นแก่ตัว มากมาก อยากได้รัก
ยิ่งอยากมาก ก็ยิ่งหนัก น่าอดสู
ทุกทุกอย่าง ต้องเป็นไป ตามใจกออู
แล้วจะรู้ รสรักได้ อย่างไรกัน

    ลองสิลอง คิดใหม่ ด้วยใจว่าง
มองทุกอย่าง ด้วยใจ อย่าไปฝัน
ล้าง บวก-ลบ ชั่ว-ดี ที่ผูกพัน
จะพบวัน เบาสบาย ทั้งกายใจ

    แล้วความรัก อันสูงค่า จะมาสู่
คำว่ากอ สระอู จะเลือนหาย
เห็นทุกอย่าง ตามเป็นจริง ได้มากมาย
พร้อมแจกจ่าย แบ่งรักไป ให้ทุกคน.


ซ่อมเตาไมโครเวฟสำเร็จอย่างเหลือเชื่อด้วยไอเดียแบบ “ปิ๊งแว้บ”

3 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2010 เวลา 1:19 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2720

      ผมโชคดีที่มีเรื่องร้ายๆเข้ามาในชีวิตจนทำให้ได้อพยพ ย้ายถิ่น หันหลังให้ กทม. กลับมาอยู่บ้านนอก และได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังที่ผมได้ถือกำเนิด มีโอกาสลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกอีกด้วย

     ความตั้งใจเดิมนั้นกะว่าจะลองใช้เวลา ปลูกผัก ปลูกข้าว ปลูกต้นไม้ และทำงานที่ถนัดและสนใจช่วยเหลือผู้คนและสังคมที่ผมไปอยู่ แรกๆก็ค่อนข้างน่าพอใจ และเป็นไปด้วยดีครับ  แต่ด้วยเหตุที่เราเป็นที่รู้จักของผู้คนมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนมัธยมว่า บ้าเรื่องงานช่างไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีเอามากๆ  เคยทำเครื่องส่งวิทยุเล่น  ประกอบวิทยุขาย และทำงานลักษณะ “สารพัดช่าง” มาตั้งแต่ครั้งกระโน้นจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป  บรรดาญาติๆ และ ลูก หลาน เหลน โหลน จึงได้เรียกหาความช่วยเหลือในเรื่องการแก้ไข ซ่อม สร้าง ดัดแปลงอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆอยู่สม่ำเสมอ  มีโจทย์แปลกๆใหม่เข้ามาก็ไม่น้อย  ประกอบกับการที่เราขนสมบัติเก่าอันได้แก่วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ที่สะสมมานานนับสิบปีในกทม.กลับไปด้วย  ขนาดว่ารถสิบล้อเที่ยวเดียวขนไม่หมดเลยทีเดียว การได้มีโอกาสทำงานโดยได้ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เดิมจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าจะเอาข้าวของเหล่านั้นไปทิ้งที่ไหน อย่างไร 

     นับวันผมเลยใช้เวลาแต่ละวันหมดไปกับงานช่างและงานประดิษฐ์ดัดแปลงข้าวของต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ  แปลงผักก็เริ่มมีหญ้ารกจนน่าหนักใจ  แต่ทำไงได้ครับ  ของมันเคยๆทำอยู่ และเป็นของชอบ ก็เลยจำยอม ลดความเป็น เกษตรการจำเป็น  มาเป็น ช่างจำเป็น มากขึ้นทุกวัน

     การทำงานในลักษณะการแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องสนุก เพราะมันมักมีเรื่องที่ท้าทาย ความรู้ความคิด และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแปลกๆ ใหม่ๆเสมอ หลายครั้งเป็นการประยุกต์ใช้วัสดุรอบตัวมาแก้ปัญหาได้สำเร็จอย่างน่าสนใจ เป็นแนวทางปฏิบัติใหม่ๆที่ค้นพบ และสมควรนำมาเผยแพร่เพื่อแลกเปลี่ยนแบ่งปันให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างต่อๆไป  เช่นเรื่องการซ่อมเตาไมโครเวฟสำเร็จได้ด้วยไอเดียแบบ “ปิ๊งแว้บ” ที่จะพูดถึงนี่แหละครับ

     เตาไมโครเวฟยี่ห้อ Sharp ที่บ้านเสีย ใช้การไม่ได้มาร่วมสัปดาห์แล้วครับ อาการก็คือหน้าจอ LCD ยังแสดงผลเป็นตัวเลขได้อยู่ แต่ปุ่มกดที่เป็นระบบ Soft Touch เพื่อเปิด-ปิดเครื่อง และตั้งค่าต่างๆใช้การไม่ได้  จนเมื่อวันที่ 12 พย. ที่ผ่านมาผมก็ได้มีโอกาสถอดสกรูเปิดฝาครอบเครื่องออกมาดูว่าจะจัดการอะไรได้เองหรือว่าจะต้องส่งซ่อม
 

     เมื่อเปิดเครื่องออกมา สิ่งที่พบเป็นของแถมคือจิ้งจกตายแห้งอยู่ในนั้น 1 ตัว  นอกนั้นตรวจสอบแล้วแทบทุกอย่างยังทำงานเป็นปกติ เช่นสวิตช์อัตโนมัติ 3 ตัวที่ทำงานสัมพันธ์กับการเปิด-ปิดฝาตู้ พัดลม หลอดไฟ และหม้อแปลง (Transformer) เป็นต้น (1-2-3)

     สุดท้ายผมก็พุ่งความสนใจไปยังแผ่นวงจรควบคุมอันประกอบด้วย Micro-processor และอุปกรณ์ประกอบทั้งหมดอยู่บน Board เดียวกัน (4)  พิจารณาด้วยสายตาทั้งด้านบน ด้านล่างของแผ่นวงจรก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ทั้งสี และกลิ่น จึงไล่ต่อไปยังขั้วต่อสายแพซึ่งเป็นตัวเชื่อมโยงจากแผงสวิตช์ควบคุมด้านหน้าเครื่อง และจอแสดงผล LCD  (5-6-7) มายังแผงวงจรดังกล่าว  พบว่าเขาใช้ฟิล์มคาร์บอนเป็นขั้วของสายไฟสิบเส้นที่ปลายสายแพนั้น โดยอาศัยแถบยางคาร์บอนเป็นตัวเชื่อมต่อด้วยวิธีกดทับลงไปเมื่อขันสกรูยึดแผ่นวงจร

     จากการตรวจสอบฟิล์มคาร์บอนที่ปลายสาย พบว่าสีดำนั้นจางมาก  ครั้นวัดดูด้วยโอห์มมีเตอร์ก็ปรากฏว่ามันได้สูญเสียความเป็นตัวนำไฟฟ้าไปแล้วเกือบทุกเส้น  จึงสันนิษฐานว่าจุดนี้เองน่าจะเป็นต้นเหตุสำคัญ  ความจริงแล้วเขาสามารถเคลือบฟิล์มคาร์บอนให้หนากว่านั้นได้  แต่สงสัยว่ากลัวผู้ใช้จะไม่ได้เสียเงินเมื่อผ่านไป 4-5 ปี จึงทำมาแบบนั้น  ผมพบมามากมายหลายตัวอย่างแล้วที่อุตสาหกรรมยุคใหม่เขาจงใจใช้วัสดุที่ไม่เหมาะกับงาน โดยมุ่งแสวงประโยชน์จากการขายชิ้นส่วนซึ่งมักออกแบบมาให้ต้องเปลี่ยน “ยกชุด” ด้วยราคาที่แพงอย่างเหลือเชื่อ  กรณีเตาไมโครเวฟนี้ก็เช่นกัน  สายแพดังกล่าวติดตายอยู่กับแผงสวิตช์ด้านหน้า ไม่สามารถเปลี่ยนเฉพาะสายได้  ต้องเปลี่ยนยกแผง (5) เท่านั้น

    ตอนแรกผมคิดจะแก้ปัญหาที่พบด้วยการตัดแผ่นทองแดงบางๆ หรือไม่ก็ใช้ลวดสายไฟเล็กๆ 10 ชิ้นมาวางทาบกับขั้วต่อของเดิมที่เป็นคาร์บอนหมดสภาพ  แต่ห่วงเรื่องรอยต่อ หรือการสัมผัสกันจะไม่ดีพอ จึงยังไม่ลงมือทำ  ทันใดนั้นก็เกิดอาการ “ปิ๊งแว้บ” ขึ้นมาในใจ  เห็นภาพของวัสดุที่จะใช้ และภาพความสำเร็จชัดเจน และมั่นใจมากๆ จึงรีบดำเนินการทันที

    ผมไปหยิบขวดกาวลาเท็กซ์ เทกาวออกมาเพียงเล็กน้อย ประมาณครึ่งช้อนชา  เทน้ำลงไปผสมเล็กน้อยให้เหลวหน่อย  แล้วก็ไปเอาถ่านไฟฉายเก่ามาก้อนหนึ่ง  ทุบและงัดแงะ แกะเปลือกนอกออก หยิบเอาเฉพาะแกนคาร์บอนของขั้วบวกไปใช้ (ระมัดระวังไม่ไปสัมผัสกับสารพิษในก้อนถ่านโดยไม่จำเป็น) จากนั้นก็เอาเศษคาร์บอนเพียงเล็กน้อยแค่ประมาณขนาด 2 หัวก้านไม้ขีดไฟ  นำไปห่อด้วยเศษถุงพลาสติกใส สองสามชั้น เพื่อให้สามารถมองเห็นภายในได้ แล้วจึงใช้ค้อนทุบๆๆ ให้แตกละเอียดเป็นผงคาร์บอน (8) นำไปผสมเข้ากับกาวลาเท็กซ์ที่เตรียมไว้  คนให้เข้ากันดีก่อนที่จะใช้พู่กันเล็กๆจุ่มเพื่อนำไประบายลงบนปริเวณแถบคาร์บอนที่ปลายสายแพของเก่า (9) จากนั้นใช้เครื่องเป่าผมค่อยๆเป่าให้แห้ง  เมื่อเห็นว่าแห้งพอหมาดๆจึงใช้ปลายมีดค่อยๆขูดเอาส่วนเกินออก คล้ายๆเซาะร่องให้มีช่องว่างระหว่างตัวนำทั้ง 10 เส้น เพื่อไม่ให้มีการลัดวงจรถึงกันได้ (10) จากนั้นก็นำไปประกอบกับวงจรเหมือนเดิม และประกอบชิ้นส่วนกลับตามเดิมจนสำเสร็จ 

      เหลือเชื่อจริงๆครับที่ “การปิ๊งแว้บ” ครั้งนี้ได้ผลดีเกินคาด  วงจรและระบบทุกอย่างทำงานเป็นปกติ  เตาไมโครเวฟดังกล่าวใช้งานได้ดีเหมือนเดิม จนกระทั่งบัดนี้ 

      หากแก้ปัญหาดังกล่าวไม่ได้ ผมคงต้องไปหาซื้อแผงสวิตช์ควบคุมทั้งแผงที่เขาผลิตขึ้นมาเฉพาะรุ่นของเตาไมโครเวฟ ซึ่งคิดว่าราคาน่าจะถึงหลักพันเป็นแน่แท้

     นี่แหละครับคุณค่าของ “ปิ๊งแว้บ” ที่ผมเจอมาเมื่อสองสามวันก่อน


ฝ่าสายฝนไปอิ่มกับเครื่องทำน้ำอุ่น

2 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2010 เวลา 3:51 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1223

     ราว 5 โมงเย็นวันที่ 9 พย.53 ขณะที่ฝนยังตกพรำๆ เครื่องทำน้ำอุ่นของเพื่อนบ้านเสีย ใช้การไม่ได้ เจ้าของก็ป่วยกระเสาะกระแสะด้วยหลายโรค เดินฝ่าสายฝนมาขอให้ผมช่วยไปดูให้หน่อย  จึงสวมรองเท้าบู๊ทถือเครื่องมือ  เครื่องวัดไปช่วยจัดการให้ตามคำขอ       

     จากการตรวจสอบพบว่าไฟเข้าเครื่องและระบบอัตโนโนมัติที่เปิด-ปิดเครื่องด้วยสวิตช์แรงดันก็ OK. แต่น้ำไม่ร้อนหรือแม้แต่อุ่น แกะดูก็พบว่าสายเชื่อมต่อระหว่าง Thermostat กับขั้ว Heater ของหม้อต้มใหม้ ขาดกระจุยอยู่ พิจารณาแล้ว สายไฟก็ขนาดโตใช้ได้ ความยาวก็แค่ประมาณ 2 นิ้วเท่านั้น ตามปกติไม่น่าจะมีอาการดังกล่าว แต่พอดูดีๆก็พบว่าเป็นความบกพร่องของกระบวนการผลิตครับ คือเขาเข้าสายไฟกับขั้วต่อด้วยวิธีย้ำ แต่ย้ำโดนสายฝอย (Stranded Wire) แค่เพียงบางส่วน และย้ำไม่แน่นพอ หม้อต้มกินไฟมากถึง 3500 วัตต์ ก็เลยทำให้สายใหม้เกรียมอย่างที่เจอ  

       สำหรับขดลวดความร้อนของหม้อต้มวัดดูก็พบว่าไม่ขาด ไม่ชอร์ต ไม่รั่ว จึงเดินกลับบ้านอีกรอบ เพื่อทำสายเส้นใหม่พร้อมขั้วเสียบไปแทนของเดิม คราวนี้ผมใช้ลวดสายไฟเส้นโต ขนาดหน้าตัด 4 Sq.mm เข้าขั้วกับขั้วเสียบด้วยการย้ำ  2 จุด และบัดกรีซ้ำอย่างแน่นหนา นำไปเปลี่ยนให้และทดสอบดูก็ OK.ใช้งานได้ดีตามปกติครับ         ตอนขอตัวกลับเขาพยายามจะจ่ายเงิน บอกว่า สองสามร้อยก็ยังดี แต่ผมก็ปฏิเสธไปด้วยเหตุผลว่า ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก วัสดุที่นำมาเปลี่ยนก็ทำเอง ต้นทุนไม่ถึง 5 บาท เอาไว้ถ้าจำเป็นค่อยคิดเงินก็แล้วกัน

             น้ำใจ อิ่มนานกว่าน้ำเงินมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเป็นผู้ให้ ไม่ใช่ผู้รับ .. หรือใครว่าไม่จริง 


จะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลืออยู่

3 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 23 กันยายน 2010 เวลา 7:48 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1264

   ถ้าใครมาถามว่า  “ชีวิตคุณเหลืออีกกี่วันครับ” หลายคนคงสะดุ้ง และอาจถึงขั้นไม่พอใจ เหตุเพราะไม่ค่อยมีเวลานึกถึงความจริงในเรื่องดังกล่าว  ทั้งที่ความจริงนั้นมันไมได้ซับซ้อนอะไรเลย

   ความจริงที่ว่าก็คือ

  1. ทุกคนต้องตาย
  2. ปุถุชน คนอย่างพวกเราจะตายเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ และกำหนดเองไม่ได้

  ทีนี้หากมีคำถามว่า “คุณจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลืออยู่” ท่านจะตอบตัวเองกันอย่างไรบ้างล่ะครับ  สำหรับผม คิดทบทวน ตรวจสอบย้อนหลังด้วยแล้ว คิดว่า …

  • ชีวิต สำหรับผม คือสิ่งที่ต้องใช้มันเพื่อ แสวงหาความสุข ความพอใจมาใส่ตนให้มากที่สุด
  • แต่โชคดีที่ได้ค่อยๆค้นพบว่า .. ตัวเรานั้นมีอยู่เพียง 1 คน ส่วนคนอื่นๆนั้น มีอยู่มากมายเหลือประมาณ การทำอะไรเพื่อตัวเราเป็นหลักหรือเห็นแก่ตัวมากๆ จึงน่าจะไม่ฉลาดนัก
  • และเมื่อประจักษ์แจ้งในสัจธรรมที่ว่า ” ทุกชีวิต ล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ทั้งหมด ทั้งสิ้น
  • ผมจึงต่อความให้สมบูรณ์ว่า …. ” ชีวิต  คือสิ่งที่ต้องใช้มันเพื่อแสวงหาความสุข ความพอใจมาใส่ตนให้มากที่สุด ด้วยการให้ และทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อเกื้อกูลผู้อื่น
  • จะสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ไม่สำคัญ .. ภูมิใจ พอใจที่จะขอเดินเส้นทางนั้นต่อไปเรื่อยๆครับ 


  • Main: 1.2267518043518 sec
    Sidebar: 0.19546604156494 sec