ท่านฝากบอกให้ “หัวเราะ” เมื่อพบกับการสูญเสียครั้งใหญ่
อ่าน: 2362หลายปีมาแล้ว น้าทองมากผู้เป็นเสมือนพ่อคนที่สองของผม ได้พบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ในครอบครัว น้ามีลูกชายเพียงสองคน น้องพิมลเรียนอยู่ปีสุดท้ายที่วิทยาลัยครู น้องนพพรก็ไปเรียนอยู่ที่สถาบันเดียวกัน น้องนพพรท้องเสียไปรพ.เขาให้น้ำเกลือแต่ทำพลาด มีฟองอากาศขึ้นไปทำให้สมองมีปัญหา ต้องนอนเป็นอัมพาต รักษาตัวอยู่ที่รพ.ประสาทเป็นแรมเดือน โดยมีแม่ไปคอยประคับประคองดูแล น้องพิมลมาเยี่ยมน้องชายทุกเย็น และแล้วเย็นวันหนึ่งน้องพิมลถูกคนเมาขับรถชนตายที่หน้ารพ.ประสาท
กลับมาจัดการศพกันที่บ้านที่ไชยา ผ่านไปเพียงสองวัน ยายหอม แม่ของน้าทองมากก็มาล้มตายลงอีกคน ผมลงไปจากกทม. เพื่อร่วมงานศพน้องพิมลที่รักผมเหมือนพี่ชายแท้ๆ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นโลงศพวางคู่กันเป็นสองราย ยายหอมที่ดูแลแม่ของผมมา ได้นอนเคียงคู่กับหลานพิมลเสียแล้ว น้องนพพรก็พงาบๆอยู่ที่รพ.ประสาทสงขลาไม่รู้อนาคตว่าจะเป็นรูปแบบใด
ตอนนั้นน้าทองมากเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) สนิทสนม และรับใช้ใกล้ชิดท่านอาจารย์พุทธทาสอยู่เสมอมา เหตุการณ์ครั้งนั้นล่วงรู้ถึงท่านอาจารย์ ท่านจึงสั่งคนมาบอกน้าทองมากว่า …
” บอกครูทองมากด้วยว่า .. ให้หัวเราะ ”
« « Prev : ไปกราบสวัสดีปีใหม่ “คุณครูในดวงใจ-ครูผู้ลิขิตชีวิต”
2 ความคิดเห็น
ประมาณ 99.9% ที่ผมเห็นด้วยกับท่านพุทธทาส ที่ผมปวารณาเป็น “ศิษย์ไกลกุฏิ” ท่านมานาน ผมเพิ่งพบอีกประเด็นที่ไม่เห็นด้วย ที่ท่านบอกให้ “หัวเราะ”
เรื่องแบบนี้ผมว่า ร้องไห้ หรือ หัวเราะ ก็บ้าและโง่พอกันแหละ เป็นผมจะบอกให้ร้องไห้ให้พอ จากนั้นจึงหัวเราะ …มันนจะได้เป็น “สายกลาง” ไง อิอิ
สำหรับผมนั้น เวลาตายไม่ต้องการให้ใครมาร้องไห้หรือหัวเราะหรอก เพราะผมปวารณาไว้แล้วว่าจะยกศพให้รพ. เอาไปผ่าศึกษาชำแหละให้พอ จากนั้นเอาไปป่นเป็นปุ๋ยแล้วเอาไปเทรดต้นไม้ (การเผาทำให้เกิดมลพิษ เปลืองพลังงาน มากกว่าการป่นปุ๋ย) และห้ามยกย่องผมเป็น “อาจารย์ใหญ่” อีกด้วย
เรียนคุณ ทวิช จิตรสมบูรณ์
เข้าใจตามที่แสดงมาครับ แต่ขอเพิ่มเติมว่า ท่านอาจารย์พุทธทาส กับ น้าทองมาก ใกล้ชิดกัน เพราะน้าเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนวัดธารน้ำไหล ก็คือสวนโมกข์นั่นเอง เคยรับใช้ใกล้ชิดท่านมาตลอด คำว่า “หัวเราะ” มันเป็น “ภาษาธรรม” มากกว่าจะมามองว่าคือการหัวเราะ เอิ้ก อ้าก ออกมาครับ และน้าเขาก็เข้าใจว่ามันคือการให้สติของมหากัลยาณมิตรครับ