ฝ่าสายฝนไปอิ่มกับเครื่องทำน้ำอุ่น

2 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2010 เวลา 3:51 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1306

     ราว 5 โมงเย็นวันที่ 9 พย.53 ขณะที่ฝนยังตกพรำๆ เครื่องทำน้ำอุ่นของเพื่อนบ้านเสีย ใช้การไม่ได้ เจ้าของก็ป่วยกระเสาะกระแสะด้วยหลายโรค เดินฝ่าสายฝนมาขอให้ผมช่วยไปดูให้หน่อย  จึงสวมรองเท้าบู๊ทถือเครื่องมือ  เครื่องวัดไปช่วยจัดการให้ตามคำขอ       

     จากการตรวจสอบพบว่าไฟเข้าเครื่องและระบบอัตโนโนมัติที่เปิด-ปิดเครื่องด้วยสวิตช์แรงดันก็ OK. แต่น้ำไม่ร้อนหรือแม้แต่อุ่น แกะดูก็พบว่าสายเชื่อมต่อระหว่าง Thermostat กับขั้ว Heater ของหม้อต้มใหม้ ขาดกระจุยอยู่ พิจารณาแล้ว สายไฟก็ขนาดโตใช้ได้ ความยาวก็แค่ประมาณ 2 นิ้วเท่านั้น ตามปกติไม่น่าจะมีอาการดังกล่าว แต่พอดูดีๆก็พบว่าเป็นความบกพร่องของกระบวนการผลิตครับ คือเขาเข้าสายไฟกับขั้วต่อด้วยวิธีย้ำ แต่ย้ำโดนสายฝอย (Stranded Wire) แค่เพียงบางส่วน และย้ำไม่แน่นพอ หม้อต้มกินไฟมากถึง 3500 วัตต์ ก็เลยทำให้สายใหม้เกรียมอย่างที่เจอ  

       สำหรับขดลวดความร้อนของหม้อต้มวัดดูก็พบว่าไม่ขาด ไม่ชอร์ต ไม่รั่ว จึงเดินกลับบ้านอีกรอบ เพื่อทำสายเส้นใหม่พร้อมขั้วเสียบไปแทนของเดิม คราวนี้ผมใช้ลวดสายไฟเส้นโต ขนาดหน้าตัด 4 Sq.mm เข้าขั้วกับขั้วเสียบด้วยการย้ำ  2 จุด และบัดกรีซ้ำอย่างแน่นหนา นำไปเปลี่ยนให้และทดสอบดูก็ OK.ใช้งานได้ดีตามปกติครับ         ตอนขอตัวกลับเขาพยายามจะจ่ายเงิน บอกว่า สองสามร้อยก็ยังดี แต่ผมก็ปฏิเสธไปด้วยเหตุผลว่า ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก วัสดุที่นำมาเปลี่ยนก็ทำเอง ต้นทุนไม่ถึง 5 บาท เอาไว้ถ้าจำเป็นค่อยคิดเงินก็แล้วกัน

             น้ำใจ อิ่มนานกว่าน้ำเงินมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเป็นผู้ให้ ไม่ใช่ผู้รับ .. หรือใครว่าไม่จริง 


หยดน้ำสอนใจ

1 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 5 ตุลาคม 2010 เวลา 2:19 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิต, ต้นไม้ใบหญ้า #
อ่าน: 1878

   สรรพสิ่งรอบตัวคนเรานั้นมีความงามแฝงอยู่มากมาย หากเราปรับใจให้ว่างๆเสียบ้างจะพบความงามและความหมายมากมายจากสิ่งที่เราสัมผัส 

   น่าเสียดายที่หลายคนมัวแต่วุ่นกับภารกิจการงานเหมือนหนูถีบจักร คือหยุดความเร่งร้อน รีบด่วนไม่ค่อยได้ สิ่งดีๆและสวยงามจึงผ่านมาแล้วก็ผ่านไปโดยคนเหล่านั้นไม่สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์ เช่นความเย็นใจ หรือความคิดดีๆที่จะช่วยเตือนจิตสะกิดใจที่ผุดบังเกิดจากการได้สัมผัสสิ่งที่แสนจะธรรมดาๆในธรรมชาติที่แวดล้อมเราอยู่

   พูดถึงเรื่องนี้ทำให้นึกถึงภาพหยดน้ำสองหยดที่คุณ Pensinee Pornjarunphan ได้นำมาวางไว้บน Facebook คือภาพนี้ครับ

   แต่เธอไม่ได้มองหยดน้ำเพื่อเก็บเกี่ยวความงามใส่ใจเท่านั้น หากยังปลดปล่อยความคิดคำนึงออกมาเป็นตัวอักษรอีกด้วย  ความว่า ..

   แม้เป็นเพียง น้ำค้าง หยาดหยด
ดั่งกรด กัดกร่อน ร่อนเร่
ยากเกิน จะให้ หันเห
กลับเร่ ลอยล่อง ท่องไป 

    ภาพเดียวกันนี้ เมื่อท่าน อัยการชาวเกาะ มาเห็นเข้า หลังเก็บเกี่ยวความงามผ่านตา ก็ได้มีตาในมองเห็นอะไรที่ก้าวหน้าออกไปอีกทิศทางหนึ่งได้ และได้ร้อยเรียงคำไว้ว่า ..

                      จากหยดหนึ่ง มารวม อีกหยดหนึ่ง
                   จะได้ซึ่ง สามัคคี ไม่มีหลง
                   รวมหยดหนึ่ง น้ำใจ ให้มั่นคง
                   แล้วจึงตรง เดินหน้าได้ ไปด้วยกัน

      ผมมาเห็นรูปเดียวกันนี้ และมองเห็นความงดงามที่ปรากฏอยู่ในภาพเช่นกัน  แต่เมื่อผ่านการกระตุ้นเตือนด้วยบทกวีของทั้งสองท่านดังกล่าว ก็ได้ลองคิดต่อไปในแนวทางอื่นที่แปลก แตกต่างออกไป และก็เล็งไปสู่การเตือนจิต สะกิดใจตนเอง หรือผู้ที่ได้อ่าน ก็แว้บขึ้นมาในสมอง จากความจริงทางกายภาพที่น่าจะเกิดขึ้นหากหยดน้ำเล็กด้านบน ไหลลงมากระทบและรวมตัวกันเข้ากับหยดน้ำใหญ่ด้านล่าง  ในที่สุดก็กลั่นความคิด ความรู้สึกเป็นตัวอักษร นำไปวางต่อท้ายได้อีกชุดหนึ่ง  ความว่า ..

              ถึงหยดใหญ่ อย่าย่ามใจ ว่าใหญ่กว่า
         ถ้าหยดเล็ก ลงมา แล้วจะหนาว
         หยดน้ำใหญ่ เคยใสแจ๋ว ดูแพรวพราว
         อาจถึงคราว ร่วงพรู สู่พื้นดิน
  (ก็ได้ ..นะจ๊ะ)

        เชื่อว่า หากผมยังวนเวียนอยู่กับความวุ่นวายในสังคมเมืองกทม. ไม่ได้ผันตัวเองมาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่บ้านเกิด  โอกาสที่จะมองเห็นอะไรแบบนี้ น่าจะเป็นไปได้ยากครับ

         ที่มา : http://www.facebook.com/photo.php?pid=31067444&fbid=1450067524992&id=1032347347&ref=nf#!/photo.php?pid=211923&id=100000883890791&ref=notif&notif_t=like


นินทาเพื่อน

1 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 27 กันยายน 2010 เวลา 12:46 (เช้า) ในหมวดหมู่ ชีวิต #
อ่าน: 1242

    เพื่อนผมคนหนึ่งเลือกคู่ครองที่จิตวิปริต มองโลกแง่ร้าย บ้าเงิน เกลียดแม่ ฯลฯ โดยเขานึกว่าจะใช้ความรัก เมตตา ปรารถนาดี เปลี่ยนแปลงเธอได้ แต่สุดท้าย 18 ปีผ่านไปก็สุดทน จึงยกทรัพย์สินและเงินในบัญชีมูลค่ารวม ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทให้ไป เหลือบ้านตึกแถวที่กำลังซื้อผ่อนอยู่คนเดียวเพื่อเตรียมยกให้ลูก

    ผ่านมาร่วม 10 ปี เธอผู้นั้นบริหารจัดการจนต้องขายทรัพย์สินไปเกลี้ยง  แล้วก็หันมาฟ้องร้องจะเอาตึกแถวอีก ขึ้นโรงขึ้นศาล  เพื่อนผมบอกว่าพอแล้วไม่อยากให้อีก  ถ้าให้ลูกก็ OK. แล้วเขาก็ยอมกู้เงินมาจัดสรรเงินสดให้ลูกสองคน คนละ 2.5 แสน เอาเงินไปเคลียร์บ้านออกมาจาก Bank โอนให้เป็นของลูกและขออย่าให้ขาย  แถมส่งเสียลูกคนเล็กอีกเดือนละ 13000 บาท จนจบปริญญาวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐ  พอจบ คนเป็นแม่ก็ฟ้องขับไล่เพื่อนผม โดยให้ลูกไปโกหกในศาลต่างๆนาๆ จนดูเหมือนว่าแม่ลูกช่วยกันไล่พ่ออกจากบ้านที่เพิ่งยกให้ลูกไป  และบ้านนั้นก็ถูกขายไปในที่สุด เพื่อนผมจึงแทบไม่เหลืออะไรเลยในทางวัตถุ  แต่ก็ได้มีโอกาสดีออกจากกทม.ไปใช้ชีวิต ใกล้ชิดธรรมชาติอยู่ที่บ้านเกิด

   ระยะเดียวกัน เขาก็ถูกฟ้องโดยธนาคารยักษ์ใหญ่  เหตุเพราะก่อหนี้สะสมไว้ ทั้งต้นทั้งดอก ยอดรวมล่าสุดเป็นตัวเลขกว่า 9 ล้านบาท  เงินดังกล่าวเป็นการกู้มาเพื่อช่วยให้บ้านของลูกศิษย์ไม่ถูกยึด  เพราะสงสารลูกศิษย์ และลูกเมียของเขา  โดยที่ตัวเขาเองไม่ได้รับประโยชน์จากเงินก้อนนั้นแม้แต่บาทเดียว  แค่นั้นยังไม่พอ คอนโดฯ ของเพื่อ่นต่างชาติที่อาศัยชื่อเพื่อนผมซื้อไว้ก็ถูกธนาคารยึดไป เพื่อนผมก็เห็นใจไปกู้ยืมเงินหลานมาประมูลซื้อคืนให้เขาฟรีๆเรียบร้อยแล้ว เป็นเงิน 4 แสนบาท … ฯลฯ

    เรื่องนี้น่าจะมีการ เป็นบ้า ฆ่าตัวตาย หรือ ฆ่าคนตาย แต่โชคดีที่เพื่อนผมมีครูบาอาจารย์ดี สามารถยิ้มรับทุกอย่าง ด้วยการเห็น “เช่นนั้นเอง” อยู่เสมอ จึงไม่ต้องบ้า ฆ่าคนตาย หรือ ฆ่าตัวตาย แต่ประการใด  ยังใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ทำงานที่รัก เกื้อกูลผู้คนไปตามกำลังที่เขามี และรอวันยิ้มรับความตายที่จะมาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ด้วยความเชื่อลึกๆในใจว่า “อะไรๆก็กัดชีวิต-จิตวิญญาณของฉันไม่ได้หรอก” เรื่อยมาครับ


จะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลืออยู่

3 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 23 กันยายน 2010 เวลา 7:48 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1336

   ถ้าใครมาถามว่า  “ชีวิตคุณเหลืออีกกี่วันครับ” หลายคนคงสะดุ้ง และอาจถึงขั้นไม่พอใจ เหตุเพราะไม่ค่อยมีเวลานึกถึงความจริงในเรื่องดังกล่าว  ทั้งที่ความจริงนั้นมันไมได้ซับซ้อนอะไรเลย

   ความจริงที่ว่าก็คือ

  1. ทุกคนต้องตาย
  2. ปุถุชน คนอย่างพวกเราจะตายเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ และกำหนดเองไม่ได้

  ทีนี้หากมีคำถามว่า “คุณจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลืออยู่” ท่านจะตอบตัวเองกันอย่างไรบ้างล่ะครับ  สำหรับผม คิดทบทวน ตรวจสอบย้อนหลังด้วยแล้ว คิดว่า …

  • ชีวิต สำหรับผม คือสิ่งที่ต้องใช้มันเพื่อ แสวงหาความสุข ความพอใจมาใส่ตนให้มากที่สุด
  • แต่โชคดีที่ได้ค่อยๆค้นพบว่า .. ตัวเรานั้นมีอยู่เพียง 1 คน ส่วนคนอื่นๆนั้น มีอยู่มากมายเหลือประมาณ การทำอะไรเพื่อตัวเราเป็นหลักหรือเห็นแก่ตัวมากๆ จึงน่าจะไม่ฉลาดนัก
  • และเมื่อประจักษ์แจ้งในสัจธรรมที่ว่า ” ทุกชีวิต ล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ทั้งหมด ทั้งสิ้น
  • ผมจึงต่อความให้สมบูรณ์ว่า …. ” ชีวิต  คือสิ่งที่ต้องใช้มันเพื่อแสวงหาความสุข ความพอใจมาใส่ตนให้มากที่สุด ด้วยการให้ และทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อเกื้อกูลผู้อื่น
  • จะสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ไม่สำคัญ .. ภูมิใจ พอใจที่จะขอเดินเส้นทางนั้นต่อไปเรื่อยๆครับ 

  • หรือว่า คะแนน คือ มารร้ายของการเรียนรู้

    3 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 18 กันยายน 2010 เวลา 6:23 (เช้า) ในหมวดหมู่ การจัดการความรู้ #
    อ่าน: 1251

        ผมตื่นมาตีสามกว่าๆ กะว่าจะเข้าไปสำรวจ ดูแลงานขีดเขียนของนักศึกษาที่ไปสอนมาเมื่อสัปดาห์ก่อน และเข้าไปทักทาย บอกกล่าวเรื่องที่น่าจะเติมเต็มให้กัน ก่อนที่จะขับรถออกจากบ้านในระยะทางประมาณ 70 กม. เพื่อไปสอนนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งในวันนี้  แต่แล้วก็มีอันให้ต้องสะดุดหยุดลง ไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจเนื่องจากไปเจอบันทึกใน Blog ของนักศึกษาท่านหนึ่งซึ่ง มีอาชีพเป็นครู และเรียนจบจากสถาบันชื่อดังจาก กทม.เสียด้วย  เขากระทำการอันกระทบกระเทือนจิตใจผมค่อนข้างมากทีเดียวครับ ที่รู้สึกมากกว่าปกตินั้นเพราะเขาไม่ใช่นักศึกษาธรรมดา แต่เป็น ครู ที่มาเรียนต่อในหลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู ครับ

       ผมไม่มีเจตนาร้ายต่อตัวลูกศิษย์ มีความรัก เมตตา ปรารถนาดีให้เต็มเปี่ยมเสมอครับ ไม่เช่นนั้นคงไม่ทรมานสังขารตัวเองขับรถและเดินทางไกลๆไปสอนทั้งที่สุราษฎร์ ชุมพร และกระบี่โดยไม่เคยถามถึงค่าตอบแทนหรอกครับ 

       สิ่งที่จะบอกกล่าวในบันทึกนี้ที่จะว่ากันต่อไปนั้น ผมทำไปด้วยเจตนา ชี้ทางสว่าง หรืออีกนัยหนึ่งคือการพยายามดึงคนที่ผมรักออกมาเสียให้ไกลๆจากปากเหวแห่งความเสื่อมเท่านั้นครับ  จึงจะไม่อ้างอิงชื่อบุคคล หรือนำเสนอสาระละเอียดของสิ่งที่พบ แม้จะบันทึกหลักฐานทั้งหมดไว้แล้วก็ตาม เพราะเราอยากสร้าง ไม่ได้อยากทำลายครับ

       ทุกตัวอักษรในบันทึกที่ผมพบ เมื่อตรวจสอบดูแล้วปรากฏว่า เป็นการไป Copy เอาสิ่งที่บุคคลอื่นเขียนแสดงความรู้และประสบการณ์ไว้ใน Web board แห่งหนึ่งครับ โดยเอามาลงเสมือนว่าเป็นเรื่องของตัวเอง และไม่มีการอ้างอิงใดๆ และเมื่อติดตามต่อไปก็ได้พบอาการเดียวกันอีกในบันทึกอื่นของเขา ที่ผมผิดหวังก็เพราะเราได้ใช้เวลาพูดคุยกันไม่น้อยถึงสิ่งพึงปฏิบัติ และละเว้น ใน “การประยุกต์ใช้ ICT เพื่อสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ และจัดการความรู้” ตามหัวข้อที่ผมเสนอไว้ ผมได้ชี้เหตุแห่งความเจริญและความเสื่อมไว้อย่างชัดเจน แต่แล้วมันก็ยังไม่มีพลังพอที่จะเอาชนะอะไรบางอย่างได้

       อะไรบางอย่างได้แก่อะไรบ้าง  ผมมานึกๆดูแล้วน่าจะมีหลายรายการ

    • ความมักง่าย อยากได้รับผล แต่ไม่อยากออกแรงสร้างเหตุเพื่อผลอันนั้น จึงหาทางลัด และกลโกงเท่าที่จะทำได้เพื่อให้เกิดความสำเร็จ
    • ความเคยชินกับความสำเร็จปลอมๆ ที่ระบบการศึกษามอบให้ อันนี้หมายถึงระบบการประเมินที่หละหลวม ที่ทำให้คนลอกเก่ง เลียนเก่ง Copy เก่ง กลายเป็นคนได้เกรดดีๆ แถมมีเกียรตินิยมมาอวดชาวบ้านได้อีกด้วย
    • การหลงผิดคิดว่าคะแนนคือเป้าหมายสูงสุดของการเรียน ข้อนี้นับว่าเป็นโรคร้ายที่ไม่ค่อยเห็นใครคิดเยียวยารักษา

        จากสิ่งที่พบทำให้ผมรู้สึกว่าจะต้องปรับปรุงคำบอกกล่าวที่ไปทักทายนักศึกษาในบันทึกแรกๆของพวกเขาเสียแล้ว และผมก็ได้ปรุงขึ้นมาชุดหนึ่งดังนี้

        สวัสดีครับ

    ■  มายินดีต้อนรับสู่โลกแห่งการเรียนรู้ นามย่อว่า G2K ครับ
    ■  พื้นที่ตรงนี้จะมีพลัง บันดาลอะไรได้มากมาย หากเราตั้งใจและใช้มันอย่างถูกต้อง ไม่เชื่อให้ลองติดตามอ่านเรื่องที่ชอบ ตามแนวทางที่สนใจของใครต่อใครดูได้ครับ
    ■  การไปทักทาย ต่อยอดความรู้ความคิดกับ “ญาติๆ” เหล่านั้นด้วย มิตรภาพอยู่สม่ำเสมอ ก็จะยิ่งทำให้เครือข่ายเหนียวแน่นและขยายวงกว้างยิ่งขึ้น
    ■  การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ก็จะยิ่งขยายวงกว้างออกไปไม่สิ้นสุดครับ
    ■  สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความสุจริต ความจริงใจและให้เกียรติผู้อื่น เช่นมีการอ้างอิงเสมอเมื่อนำข้อมูลจากแหล่งใดมาเผยแพร่
    ■  เราต้องจะไม่ “ชุบมือเปิบ” เช่นไปยกข้อความอันเป็นความคิดเห็นหรือข้อเขียนของผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นอันขาด เพราะตัวอย่างของความเสื่อมเพราะเรื่องแบบนี้มีมาหลายรายแล้วครับ 
    ■  พึงระลึกไว้เสมอว่า ในโลกอินเตอร์เน็ต เก็บความลับได้ยากครับ   ”

       

         เมื่อพูดถึงเรื่องคะแนน ผมรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา  มาถามว่าทำอย่างไรถึงจะได้คะแนนดีๆ  และบ่อยครั้งมากที่เห็นเขากุลีกุจอกันทำงานเพื่อส่งอาจารย์แบบทุ่มเทกำลังกายใจและทุนทรัพย์ชนิดไม่อั้น เพียงเพื่อ เข็นอะไรบางอย่างที่จะต้องดูดี เข้าตากรรมการ และให้เสร็จทันเวลาที่กำหนด แล้วความสุขสูงสุดก็คือการได้รู้ว่าได้คะแนนมากๆหรือ ได้เกรดดีๆ .. ส่วนได้เรียนรู้อะไร มีประโยชน์ มีคุณค่าต่อชีวิตอย่างไรนั้น มักไม่มีใครถามถึง เพราะได้ถึงเป้าหมายสูงสุดของการเรียนไปแล้ว คือ คะแนน หรือ เกรด นั่นเอง

        ช่วยกันหน่อยเถอะครับ คนละไม้คนละมือ อย่าให้ “คะแนน” ต้องกลายเป็น “มารร้ายของการเรียนรู้” เลย  สักวันหนึ่งเราอาจช่วยให้นักศึกษาเขาปลดแอกอันหนักอึ้ง และสร้างทุกข์มาให้เขายาวนานได้เสียที เขาจะได้เรียนเพื่อเข้าถึงความรู้และจัดการอย่างเหมาะสมจนเป็นความรู้ที่สามารถใช้แก้ปัญหาในชีวิตและการงานได้ ไม่ใช่ไล่คว้าความว่างเปล่าแห่งตัวเลขคือคะแนนอย่างเช่นที่เป็นมา 


    โฆษณาชวนเชื่อที่ไม่น่าให้อภัย

    2 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 14 กันยายน 2010 เวลา 3:00 (เช้า) ในหมวดหมู่ เทคโนโลยี #
    อ่าน: 1269

      สองสามวันก่อนผ่านไปที่ Lotus สาขาสุราษฎร์ธานี เห็นผู้คนมากมายแย่งกันซื้อโทรศัพท์มือถือที่ลดครึ่งราคา ซึ่งส่วนมากเป็นเครื่องจีน และไม่ใช่ Brand ดังๆ แต่ Spec. นั้นมโหฬารเกือบทุกรุ่น   เช่นใส่ 2 SIM ได้ ฟังวิทยุ FM ได้ ดู TV แบบ Analog ได้ เล่น MP-3,MP-4 ได้ ถ่ายรูปได้ .. ฯลฯ แต่ผมมาสะดุดหูเอาตอนที่ได้ยินประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงซ้ำๆหลายครั้งว่า รุ่นนี้เสียงดังดีเพราะมี 96 ลำโพง

      ด้วยความสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร ผมจึงเข้าไปหยิบตัวเครื่อง และกล่องใส่มาพิจารณาดู  เพราะโดยทฤษฎีแล้วเป็นไปไม่ได้ด้วยเหตุผลดังนี้

    1. พื้นที่แคบๆในโทรศัพท์มือถือ ไม่สามารถบรรจุลำโพงเป็นสิบๆตัวได้ ไม่ว่าจะเป็นลำโพงขนาดเล็กเพียงใด
    2. การต่อลำโพงมากๆ หากต่อกันแบบขนาน ค่าโอห์มหรือความต้านทานจะต่ำลงเรื่อยๆ และจะทำให้ภาคขยายเสียงทำงานหนัก เครื่องจะร้อน และเปลือง Battery มาก
    3. การต่อลำโพงมากๆ หากต่อกันแบบอนุกรม  ค่าโอห์มหรือความต้านทานจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ มากจนไม่สมดุลหรือเหมาะสมกับสัญญาณที่ส่งมาจากภาคขยายเสียง เสียงจะไม่ดัง และอาจเงียบไปเลยหากต่อหลายๆตัว เพราะโอห์มสูงเกิน
    4. ถ้าจะเป็นการต่อแบบทำแรงดันให้สูง แล้วค่อยปรับลดลงด้วย Matching Transformer ก็ยิ่งทำไม่ได้เลย เพราะจะเอาเนื้อที่ที่ไหนในเครื่องโทรศัพท์มาใส่หม้อแปลงเป็นสิบๆชุดได้

          สรุปแล้วเป็นไปไม่ได้นั่นเองที่ภายในทรศัพท์มือถือ 1 เครื่องจะมีจำนวนลำโพงมากขนาดนั้น  แล้วผมยิ่งงงหนักขึ้นไปอีกเมื่อพิจารณาข้อความบนกล่องบรรจุผลิตภัณฑ์ เพราะเขาพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่า 96 ลำโพง  ตอนแรกเรานึกว่าเป็นการพูดโม้เกินจริงโดยพนักงานขาย ซึ่งอาจว่าไปด้วยความไม่รู้ก็ได้ แต่ว่าจะเอาตัวเลข 96 มาจากไหน ที่แท้ก็อ่านมาจากกล่องนั่นเอง

         ด้วยความอยากรู้ผมเลยถามว่า “น้องๆ มันจะใส่เข้าไปได้ยังไงตั้ง 96 ลำโพง” แล้วผมก็ถึงบางอ้อ เมื่อน้องเขาบอกว่า ..

      “มันคือจำนวนรูที่เขาเจาะเพื่อให้เสียงออกมาจากตัวเครื่อง

         ผมได้แต่ร้องอ๋อ และไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก  แต่ในใจนั้นพูดกับตัวเองคนเดียวอีกหลายประโยค เช่น ..

          ”ทำไมไม่เจาะเพิ่มอีก 4 รู จะได้โฆษณาให้สุดมันส์ไปเลยว่า มี 100 ลำโพง

     หรือ 

         “อย่างนี้น่าจับไปประหารชีวิต ฐานโฆษณาเกินจริงอย่างรุนแรง และสร้างความเข้าใจผิดให้กับคนหมู่มาก รวมทั้งเยาวชนที่จะพกเอาความรู้ผิดๆติดตัวกันไป ทั้งคนที่ซื้อ และไม่ได้ซื้อโทรศัพท์รุ่นดังกล่าว

         โธ่ ! ไม่น่าเลย .. พับเผื่อย.


    ความงามจากภายใน

    2 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 8 กันยายน 2010 เวลา 7:27 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
    อ่าน: 1191
    • ผมเดินดูแลแปลงพืชผักรอบบ้าน พบความงามทุกวัน งามแบบไม่ต้องมีตัวชี้วัดจากใครที่ไหน งามอย่างอิสระจากข้อกำหนดของใคร  งามมาจากในใจที่เรามองเห็นด้วยตัวเราเอง
    • นี่ครับตัวอย่างสิ่งที่ก่อให้เกิดความงามจากภายในได้ แบบไร้มาตรฐาน

                                                               

      

           แหม เกือบลืมไป … อิ อิ อิ


    พนมสวรรค์ หรือ ฉัตรฟ้า บ้านผมเรียกว่า “ดอกลำเท็ง”

    ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 8 กันยายน 2010 เวลา 5:57 (เช้า) ในหมวดหมู่ ต้นไม้ใบหญ้า #
    อ่าน: 1906

    พืชที่ขึ้นง่ายทั่วไป เป็นไม้หาง่ายรอบๆบ้านที่เห็นมาแต่เด็กๆ และตอนนี้ก็ออกดอกแดงสะพรั่งอยู่หลังบ้าน เราเรียกขานกันว่า “ต้นลำเท็ง”

       ด้วยความอยากรู้ว่ามันจะมีประโยชน์ มีโทษ มีสรรพคุณทางยาอะไรบ้าง ผมเลยค้นหาดู โดยใช้คำค้นว่า “ลำเท็ง” ปรากฏว่า “ลำเท็ง” นั้นเป็นไม้เถา เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่หน้าตาเป็นอย่างนี้

     

      

         โชคดีที่ผมนำภาพต้นไม้ใบหญ้ารอบๆบ้าน Post ขึ้นไปวางไว้ใน Facebook จนกระทั่งเพื่อนรัก อ.สุนทร  ไชยชนะ มาพบเข้าและฝาก Note ให้ข้อมูลว่า ที่บ้านผมเรียก “ลำเท็ง” นั้น แท้จริงมันคือ พนมสวรรค์ หรือ ฉัตรฟ้า ผมก็เลยลองค้นต่อ ก็พบว่าจริงตามที่เพื่อนบอกมา และบางแหล่งบอกว่ามีหลายสี ส่วนที่ผมเคยเห็นมา และมีทั่วไปแถวบ้านที่ไชยา เห็นมีอยู่สีเดียว แบบนี้ครับ

     

     

     

          พนมสวรรค์ หรือ ฉัตรฟ้า หรือ ลำเท็ง ตามที่เห็นในภาพนี้นั้น เป็นไม้พุ่มขนาดสูงประมาณ 2-3 เมตรใบเดี่ยวขนาดใหญ่ และขอบใบมีแฉกแหลม 3-7 แฉก ด้านบนมีขนห่าง ๆ ออกดอกเป็นช่อที่ยอด รูปปิรามิด ขนาดยาว 20-30 ซ.ม. ดอกสีแดงส้ม ชื่อภาษาอังกฤษนั้นเขาใช้คำว่า “Pagoda Flower” ซึ่งก็ดูเข้าท่าดี เพราะเขาออกดอก เป็นฉัตร เป็นชั้นๆ คล้ายเจดีย์  ส่วนสรรพคุณทางยานั้นบางแหล่งระบุว่า 

    • ใบ     แก้ลมในทรวงอก  แก้พิษฝีดาษ
    • ดอก   แก้พิษสัตว์กัดต่อย  แก้พิษฝีกาฬ

           ส่วนจะใช้กิน หรือทาอย่างไรคงต้องค้นหาเพิ่มเติมครับ

         แต่จาก วิกิพีเดีย บอกว่า ..

         เหง้า ใช้แก้ปวดท้อง ขับลม ขับเสมหะ ในกรณีผู้ป่วยกินสารพิษ และต้องการขับสารพิษออกจากทางเดินอาหาร ให้กินมากกว่าครั้งละ 2 กรัม จะทำให้อาเจียน พบว่ามีน้ำมันหอมระเหยในเหง้า

         ราก ซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ และสาร 2-asarone ซึ่งมีฤทธิ์ลดความดันโลหิต แต่มีรายงานว่า เป็นพิษต่อตับและทำให้เกิดมะเร็ง

            แหล่งข้อมูล


    มุดชี ไม่ใช่ เม่า

    ไม่มีความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 5 กันยายน 2010 เวลา 6:23 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
    อ่าน: 1693

       เมื่อวานนี้ผมขับรถออกจากบ้านเดินทางไปสอนที่มรภ.สุราษฎร์ธานีอีกครั้ง และต้องใช้เวลาราว 50 นาทีสำหรับระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตรจากบ้านที่ไชยา ก่อนออกไปดูเวลาแล้วยังมีพอที่จะมาขีดเขียนอะไรได้ จึงรีบจัดการกับรูปภาพโดยใช้ PhotoScape รวมภาพ 3-4 ภาพเข้าด้วยกันแล้ว Save เป็นภาพเดียว จะได้ไม่เสียเวลา Upload ภาพ

       นึกถึงต้นเม่าที่มรภ.สุราษฎร์ธานี ต้นที่ผมได้เก็บเมล็ดมาเพาะเพื่อขยายพันธุ์อยู่ในตอนนี้ เรื่องที่อยากบันทึกจึงมุ่งไปที่เรื่องของเม่า ต่อเนื่องมาจากบันทึกเรื่อง ลูกเม่า .. ผลไม้ประทังความหิวเมื่อวานนี้ ที่มีผู้สนใจมาต่อเติมความรู้ไว้หลายราย

      นอกจากผมพบว่ายังขาดความรู้เรื่องลูกเม่า ว่ามีกี่ชนิด และต่างกันอย่างไรแล้ว เรื่องที่สับสนอยู่อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องเม่า กับ “มุดชี” และเมื่อวานนี้ พี่ชายใจดีชื่อ สุวิทย์  ด้วงโยธาก็อุตส่าห์ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปหาลูกมุดชีมาให้ผมดูจนได้ หลังจากวันก่อนก็ได้วิ่งหาใบมุดชีและลูกเม่าพื้นเมืองมาให้ผมได้เปรียบเทียบกับเม่าที่ได้มาจากมรภ.

      มุดชีนั้นผมหลงลืมเสียสนิท จำได้เลาๆแค่ว่าตอนเด็กๆเคยเก็บกินเล่นเป็นประจำ และยังจำคำกลอนที่ชาวบ้านพูดต่อๆกันมาได้ดีว่า ..

                    ม่วงขี้ไกล  ไฟขี้ใกล้  มุดชีขี้ง่าย  เปิดท้ายไม่ทัน

       ความหมายคืออะไรลองเดาๆกันดูก่อนนะครับ แต่สำหรับคนปักษ์ใต้น่าจะเข้าใจได้ไม่มีปัญหา

        สรุปแล้วผมได้พบเมื่อวานนี้ว่า มุดชีนั้นไม่ใช่เม่า เมล็ดมุดชีเขาโตกว่า รูปทรงออกจะแบนๆกว่าลูกเม่า และที่สำคัญรสเปรี้ยวกว่ามากจนถึงขนาดว่ากินแล้ว “เปิดท้ายไม่ทัน” เลยทีเดียว แบบที่ผมพบที่มรภ.สุราษฎร์นั้น เป็นเม่าพันธุ์หนึ่ง  ไม่ใช่มุดชีอย่างแน่นอน ลองดูภาพเปรียบเทียบได้ครับ

                                       

                                                          เม่าพันธุ์ดีรสหวานอร่อยจาก มรภ.สุราษฎร์ธานี

     

         เม่าพันธุ์ดี(บน) .. เม่าพื้นเมือง(ล่างขวา) และ ต้นเม่าพื้นเมืองที่หน้าบ้าน

     

                                              

                                                           นี่ครับ .. มุดชี ของจริงทั้งผล และใบ .. ไม่ใช่เม่าแน่นอน


    งานวิจัย “ถั่วๆ”

    2 ความคิดเห็น โดย handyman เมื่อ 1 กันยายน 2010 เวลา 1:35 (เย็น) ในหมวดหมู่ การศึกษา, การเพาะปลูก #
    อ่าน: 1849

        ทั้งที่ผมเป็นลูกชาวไร่ชาวนา  แต่ด้วยระบบการศึกษาที่ผิดพลาดมายาวนาน ทำให้ผมรู้เรื่องการทำไร่ ทำนา น้อยที่สุด แต่ดันไปรู้เรื่องไกลตัวที่หลายอย่างไม่ได้มีความหมายอะไรต่อชีวิตเลย 

        จำได้ว่าตอนอยู่ชั้น ป.7 เคยภูมิใจที่สามารถโม้ให้ใครต่อใครฟังได้ว่าดาวเทียมดวงไหนขนาดและน้ำหนักเท่าไร ไล่มาตั้งแต่ Sputnik ของรัสเซีย มาจน Echo-1 Echo-2 ฯลฯ ของอเมริกา  และเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่ไกลตัว เช่นเรื่องดาวอังคาร  และบ้าถึงขนาดพยายามเปิดวิทยุ Short Wave ฟังการถ่ายทอดสดการส่งยานอวกาศจากแหลมเคเนดี้โน่นเลยทีเดียว ไม่เห็นภาพแค่ได้ฟังเสียงก็ยังดี

       มาถึงวันนี้ วันที่เหตุการณ์เลวร้ายในชีวิตได้ผลักดันให้ผม “โชคดี” ได้มีโอกาสเซย์กู๊ดบายกับกทม.ที่ทนอยู่มากว่า 30 ปี กลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดอีกครั้งท่ามกลางความรัก ความอบอุ่น การยอมรับนับถือ และได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้น 

        ทุกวันผมเพลินกับการใช้เวลาอยู่กับดิน น้ำ หญ้า และแปลงพืชผักที่ปลูกไว้รอบๆบ้าน  ความตื่นเต้นเมื่อพบความไม่รู้เกิดขึ้นสม่ำเสมอ ไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งๆที่หลายอย่างควรรู้มาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแล้ว หลายครั้งหลายเรื่องจำเป็นต้องไปเที่ยวถามหาความรู้ ความจริงจากญาติๆ  ซึ่งก็ช่วยให้ค่อยๆหายโง่ไปทีละนิด 

       ความจริงถ้าระบบการศึกษาถูกต้อง  ตอนผมเรียนชั้นประถม ครูน่าจะได้จัดให้ผมได้สัมผัสกับงานที่พ่อแม่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมากกว่าที่เป็นมา  ทบทวนย้อนหลังแล้วดูเหมือน “ความรู้” คืออะไรบางอย่างที่แปลกใหม่และไกลตัว .. อนิจจา

       ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้ผมต้องทำวิจัยแทบทุกวัน ตั้งสมมติฐานว่าอะไรน่าจะเป็นอย่างไร แล้วก็ทดลองพิสูจน์หาความจริง  โชคดีที่ไม่ต้องห่วงว่าจะเขียนบทที่หนึง สอง สาม สี่ ว่าอย่างไร ต้องเคาะย่อหน้ากี่ครั้งก็ไม่ต้องมาปวดหัวกับมัน ว่ากันเนื้อๆ ตรงๆ มีข้อค้นพบหลายเรื่องที่ทดๆเอาไว้ เพื่อจะได้นำมาบอกกล่าวตามเวลาที่มี

       เรื่องที่น่าตื่นเต้นวันนี้ มันเกี่ยวกับเรื่องของถั่วฝักยาวครับ 

        รอบบ้านเราปลูกถั่วฝักยาวไว้ค่อนข้างเยอะ แยกปลูกเดี่ยวๆก็มี ปลูกปนกับพืชอื่นเช่นถั่วพูก็มี ให้ไต่ขึ้นต้นไม้เก่าบ้าง ทำค้างแบบใช้ไม้ไผ่อันเดียวบ้าง  ขึงเชือกฟางให้เป็นที่เกาะเกี่ยวบ้าง ได้ผลผลิตออกมาได้กิน ได้แจก และนำไปทำบุญที่โรงครัววัดสวนโมกข์มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อ 3-4 วันก่อน ตอนไปเยี่ยมท่านอาจารย์โพธิ์

       พูดถึงเมล็ดพันธุ์ถั่วหรือพืชตัวอื่นๆ ผมได้ยินมาว่าเมล็ดจะต้องแก่จัด และนำไปตากแห้งก่อนจึงค่อยนำมาเพาะปลูก ก็ทำตามนั้นเรื่อยมา  แต่ในใจก็สงสัย อยากลองอะไรที่ต่างออกไปด้วย  เพราะเห็นบ่อยมากที่เมล็ดสด ที่แก่จัด เมื่อได้ฝนได้น้ำ มันก็มีรากงอกออกมาได้ตั้งแต่อยู่ในฝัก ครั้นหล่นลงมาก็เจริญเป็นต้นใหม่ได้ตามธรรมชาติ  ไม่ต้องตากแห้งก็ได้ แต่ก็เชื่อว่าที่เขาต้องตากแห้งก็เพื่อให้เก็บไว้ได้นานๆมากกว่า  อย่างไรก็ตามผมเชื่อสนิทใจว่า ถึงอย่างไรเมล็ดที่จะงอกได้ดี ต้องเป็นเมล็ดที่แก่จัดเท่านั้น  แล้ววันหนึ่งก็มีเหตุการณ์ให้ผมได้ลองทำสิ่งที่สวนทางกับความคิด  และผลที่ได้ออกมา เหลือเชื่อครับ

       ลองติดตามเรื่องราวย่อๆ และดูภาพไปตามลำดับซิครับ   คนอื่นคิดอย่างไรไม่ทราบได้  แต่ผมนั้น งง งง งง และ ยัง งง อยู่ครับ

     

    08220820

    นี่คือถั่วสองฝักจากต้นถั่วที่เราปลูก

     

    0822082308220824

    ฝักหนึ่งแก่จัด ได้น้ำฝนช่วย เปลือกเปื่อยยุ่ย เมล็ดมีรากงอกออกมาบ้างแล้ว

    ส่วนอีกฝัก แก่แล้วแต่เปลือกยังไม่แห้งเหี่ยว เมล็ดยังสดและเต่งตึง

     

    0822082508220832

    ผมนำมาทดลองเพาะอย่างละ 10 หลุม หลุมละ 1 เม็ด

    ในใจก็คิดไว้แล้วว่า ที่จะงอกงามขึ้นมาคงเป็นเมล็ดแก่ที่มีรากออกมาบ้างแล้ว

     

    08220837

    ทั้งสองชุดอยู่ติดๆกัน ในร่ม ให้น้ำวันละครั้งเท่าๆกัน

     

    08300855

    ผ่านมา 7 วัน มีต้นอ่อนจากเมล็ดที่ยังไม่แก่จัดโผล่พ้นดินขึ้นมาราว 1 นิ้ว 1 ต้น

     

    08300856

    ส่วนชุดที่เป็ดเมล็ดสมบูรณ์และมีรากออกมาบ้างแล้ว ยังไม่มีโผล่มาให้เห็น

     

    08300909

    เช้า 22 สค. 53 เลยทดลองเพาะผลหมากเม่าสดไว้40 กว่าต้น

     

    08300928

    ตอนแรกว่าจะติดตั้งเครื่องพ่นหมอกให้ให้น้ำอัตโนมัติตามเวลาที่กำหนด แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ หันไปใช้วิธีที่เรียบง่าย เอาน้ำใส่ขวด และเจาะรูฝาบน ก็ใช้รดน้ำได้ ไม่ต้องมากเรื่อง

     

    08311254-3

     บ่าย 2 โมง 54 นาทีของวันที่ 31 สค. 53

    โผล่ขึ้นมาอีก 3 ต้น และกำลังแทรกดินขึ้นมาอีก 1

    ส่วนหลุมที่เพาะด้วยเมล็ดที่เริ่มมีราก ยังไม่มีอะไรโผล่มาให้เห็นแม้แต่ต้นเดียว

     



    Main: 0.2364718914032 sec
    Sidebar: 0.010956048965454 sec