นินทาเพื่อน
อ่าน: 1235เพื่อนผมคนหนึ่งเลือกคู่ครองที่จิตวิปริต มองโลกแง่ร้าย บ้าเงิน เกลียดแม่ ฯลฯ โดยเขานึกว่าจะใช้ความรัก เมตตา ปรารถนาดี เปลี่ยนแปลงเธอได้ แต่สุดท้าย 18 ปีผ่านไปก็สุดทน จึงยกทรัพย์สินและเงินในบัญชีมูลค่ารวม ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทให้ไป เหลือบ้านตึกแถวที่กำลังซื้อผ่อนอยู่คนเดียวเพื่อเตรียมยกให้ลูก
ผ่านมาร่วม 10 ปี เธอผู้นั้นบริหารจัดการจนต้องขายทรัพย์สินไปเกลี้ยง แล้วก็หันมาฟ้องร้องจะเอาตึกแถวอีก ขึ้นโรงขึ้นศาล เพื่อนผมบอกว่าพอแล้วไม่อยากให้อีก ถ้าให้ลูกก็ OK. แล้วเขาก็ยอมกู้เงินมาจัดสรรเงินสดให้ลูกสองคน คนละ 2.5 แสน เอาเงินไปเคลียร์บ้านออกมาจาก Bank โอนให้เป็นของลูกและขออย่าให้ขาย แถมส่งเสียลูกคนเล็กอีกเดือนละ 13000 บาท จนจบปริญญาวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐ พอจบ คนเป็นแม่ก็ฟ้องขับไล่เพื่อนผม โดยให้ลูกไปโกหกในศาลต่างๆนาๆ จนดูเหมือนว่าแม่ลูกช่วยกันไล่พ่ออกจากบ้านที่เพิ่งยกให้ลูกไป และบ้านนั้นก็ถูกขายไปในที่สุด เพื่อนผมจึงแทบไม่เหลืออะไรเลยในทางวัตถุ แต่ก็ได้มีโอกาสดีออกจากกทม.ไปใช้ชีวิต ใกล้ชิดธรรมชาติอยู่ที่บ้านเกิด
ระยะเดียวกัน เขาก็ถูกฟ้องโดยธนาคารยักษ์ใหญ่ เหตุเพราะก่อหนี้สะสมไว้ ทั้งต้นทั้งดอก ยอดรวมล่าสุดเป็นตัวเลขกว่า 9 ล้านบาท เงินดังกล่าวเป็นการกู้มาเพื่อช่วยให้บ้านของลูกศิษย์ไม่ถูกยึด เพราะสงสารลูกศิษย์ และลูกเมียของเขา โดยที่ตัวเขาเองไม่ได้รับประโยชน์จากเงินก้อนนั้นแม้แต่บาทเดียว แค่นั้นยังไม่พอ คอนโดฯ ของเพื่อ่นต่างชาติที่อาศัยชื่อเพื่อนผมซื้อไว้ก็ถูกธนาคารยึดไป เพื่อนผมก็เห็นใจไปกู้ยืมเงินหลานมาประมูลซื้อคืนให้เขาฟรีๆเรียบร้อยแล้ว เป็นเงิน 4 แสนบาท … ฯลฯ
เรื่องนี้น่าจะมีการ เป็นบ้า ฆ่าตัวตาย หรือ ฆ่าคนตาย แต่โชคดีที่เพื่อนผมมีครูบาอาจารย์ดี สามารถยิ้มรับทุกอย่าง ด้วยการเห็น “เช่นนั้นเอง” อยู่เสมอ จึงไม่ต้องบ้า ฆ่าคนตาย หรือ ฆ่าตัวตาย แต่ประการใด ยังใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ทำงานที่รัก เกื้อกูลผู้คนไปตามกำลังที่เขามี และรอวันยิ้มรับความตายที่จะมาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ด้วยความเชื่อลึกๆในใจว่า “อะไรๆก็กัดชีวิต-จิตวิญญาณของฉันไม่ได้หรอก” เรื่อยมาครับ
« « Prev : จะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลืออยู่
1 ความคิดเห็น
เรื่องนี้มองได้หลายมุมครับ ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นนะครับ
มุมหนึ่งก็น่านับถือในน้ำใจที่มีต่อผู้อื่น นับถือที่เป็นสามีและบิดาที่ดี
แ่่ต่ความใจดีต่อผู้อื่น(ที่ไม่ใช่ญาติหรือไม่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของเรา)นั้นก็ต้องระวังให้ดี เราช่วยเหลือผู้อื่น(ลูกหนี้) แต่ถ้าเราเป็นหนี้แล้วไม่มีจ่ายอีกฝ่ายหนึ่ง(เจ้าหนี้) ก็ยังถือว่าเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นเช่นกัน เรื่องนี้เราจะคิดว่า”เช่นนั้นเอง” คงไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าท่านคงไม่มีความคิดเช่นนี้
ยังไงๆ ก็นับถือความมีน้ำใจครับ
ความไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ(ผมก็รอวันนั้นใจแทบขาดเช่นกัน)ครับ อิอิ