จดหมายด่วน

6 ความคิดเห็น โดย sutthinun เมื่อ 30 สิงหาคม 2011 เวลา 14:38 ในหมวดหมู่ สวนป่าฮาเฮ #
อ่าน: 1449

มหาชีวาลัยอีสาน

34 บ้านปากช่อง ตำบลสนามชัย

อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ 31150

30 สิงหาคม 2554

เรื่อง ขอความความเมตตาเขียนคำนิยมในหนังสือ”โมเดลบุรีรัมย์”

กราบเรียน อาจารย์สุเมธ ตันติเวชกุล ที่เคารพอย่างสูง

สิ่งที่ส่งมาด้วย สำเนาจากหนังสือพิมพ์มติชน 1 ชิ้น

เนื่องด้วยมหาชีวาลัยอีสาน ได้ทำการศึกษาวิธีเสริมสร้างสภาพแวดล้อมระดับรากหญ้ามาเป็นเวลานาน โดยปลูกไม้นานาชนิด จัดทำแปลงสาธิต แปลงธนาคารแม้ไม้พันธุ์ดี ศึกษาการใช้ประโยชน์ไม้อย่างยั่งยืน โดยมีแนวคิดที่ว่า..ในการปลูกไม้ยืนต้นนั้น ไม่จำเป็นต้องตัดต้นไม้มาใช้เสมอไป ถ้าเราตัดเอาเฉพาะกิ่งใบมาเลี้ยงสัตว์ หรือสับกิ่งไม้ทำปุ๋ยทำเชื้อเพลิง ก็จะเป็นการได้ประโยชน์ที่หลากหลายในระยะสั้น-ระยะกลาง-ระยะยาว กระผมได้ทดลองตัดกิ่งไม้ใบไม้มาสับเลี้ยงโคและแพะในหน้าแล้ง พบว่าสัตว์เลี้ยงอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี ช่วยแก้ปัญหาอาหารสัตว์ในช่วงแล้งหรือน้ำท่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม ช่วยประหยัดต้นทุนด้านอาหารสัตว์และลดความเสี่ยงความสูญเสียจากภัยพิบัติต่างๆ

การปลูกไม้อะเคเซีย เกษตรกรตัดสางขยายระยะมาใช้งานได้ภายใน8-9 ปี ส่วนไม้ไผ่ตัดลำต้นหมุนเวียนมาใช้งานตั้งแต่ปีที่3เป็นต้นไป ประเด็นนี้ช่วยโน้มน้าวให้เกษตรหันมาปลูกต้นไม้มากขึ้น เพราะประจักษ์ว่าได้ประโยชน์หลากหลายวัตถุประสงค์ และไม่ต้องรอคอยอายุต้นไม้โต30-40ปีดังที่เข้าใจแบบดั่งเดิม กระผมได้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้ขนาดเล็ก ทำให้ทราบคุณสมบัติไม้ที่น่าจะเลือกมาส่งเสริม ไม้เหล่านี้ถ้าเพียงแต่เอาเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาช่วย เกษตรกรจะมีช่องทางสร้างงานและเพิ่มรายได้ตลอดปี รวมทั้งเขาเหล่านี้จะเป็นหน่วยบุกเบิกโลกสีเขียวตัวจริงเสียงจริง ทำให้เห็นการพึ่งตนเองจากไม้ที่ปลูก แล้วนำมาทำเครื่องเรือน ก่อสร้างบ้านเรือน ทำเชื้อเพลิง ทำอาหารสัตว์ การพึ่งตัวเองด้านพืชผักและโปรตีนระดับชุมชน

มหาชีวาลัยอีสานได้ผ่านการลองผิดลองถูกมาพอสมควร บัดนี้ได้สกัดความรู้ความถูกต้องและเหมาะสมมาให้เกษตรนำไปใช้ เพื่อจะช่วยให้การฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตเดินหน้าต่อไปได้ด้วยดี นอกจากนี้ยังมีกรณีตัวอย่าง-การปลูกไม้ติดแผ่นดิน-ปลูกไม้ล้อม-ปลูกผักยืนต้นระบบชิด-ปลูกสมุนไพร ทำให้เกิดงานเกิดรายได้ และฝึกฝนทักษะด้วยปัจจัยและวัตถุดิบจากน้ำพักน้ำแรงตนเอง ผลลัพธ์ที่เกิดในหนังสือเล่มนี้ ได้อธิบายแนวทางพระราชดำริเชิงประจักษ์ โน้มน้าวให้เกษตรกรเข้าใจและใส่ใจที่จะช่วยกันทำนุบำรุงพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัย ให้มีต้นทุนธรรมชาติที่เอื้อต่อการพึ่งพาตนเอง สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์ที่เจริญขึ้นตามลำดับ โดยสภาพแวดล้อมไม่สูญเสียเหมือนการทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวที่ดูดีภายนอก แต่ภายในเต็มไปด้วยดินพอกหางหมู

ช่วงวันที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมา กระผมได้นำเสนอเป็นงานวิจัยไทบ้าน ในงาน”การนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2554 มีผู้ฟังให้ความเห็นว่านี่แหละ ”โมเดลบุรีรัมย์” เมื่อมีผู้ฟังตั้งชื่อนี้ให้ก็ถือเอาเป็นชื่อหนังสือที่จะพิมพ์เสียเลย หลังจากกลับจากเสนองานวิจัย2วัน หนังสือพิมพ์มติชนเอาไปทำสรุปข่าว ลงที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของกระผมด้วย ทำให้มีผู้สนใจโทรมาซักถามจากทั่วประเทศ ต้องตอบกันปากเปียกปากแฉะทั้งวัน กระผมตั้งใจจะพิมพ์บทสรุปการค้นคว้าเรื่องนี้อยู่แล้ว ประจวบกับมีเรื่องผู้สนใจเข้ามามาก จึงลงมือเร่งเขียนต้นฉบับเพื่อพิมพ์เป็นหนังสือในเร็วๆนี้

เพื่อเป็นมงคลและกำลังใจให้แก่ลูกหลานชาวมหาชีวาลัยอีสาน กระผมจึงขออนุญาตกราบเรียนท่านอาจารย์ ได้โปรดเมตตาเขียนคำนิยมให้กับหนังสือเล่มนี้ แล้วฝากมากับดร.ศักดิ์พงศ์ หอมหวน จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

จึงกราบเรียนมาด้วยความเคารพและศรัทธา

ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์


โอ้ น้ำ น้ำ ทะลักท่วมท้นทับอกชาวนา

อ่าน: 1682

นอนฟังเสียงฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน

หนักแค่ไหน  วัดกันที่เสียงร้องของอึ่งอ่าง

ถ้าฝนตกหนักน้ำท่วมเอ่อ อึ่งก็จะยกทีมมาร้องเสียงประสาน

แต่คืนนี้เสียงฝนกลบเสียงอึ่ง นึกดูสิว่าฝนตกแรงขนาดไหน

อึ่งร้องจนคอแทบแตกเรายังได้ยินเหมือนเสียงกระซิบ

ยังติดตามดูว่าถ้าฝนไม่หยุดอึ่งจะเลิกวงประสานเสียงอย่างไร

ช่วงที่ผมอยู่บางกอกก็ได้รับรายงานว่าฝนตกยังกะฟ้ารั่ว ทั่วทั้งป่าดินคงอิ่มน้ำเต็มที่แล้ว สังเกตจากต้นยางพาราอายุ2-3ปีล้มลงเพราะแบกน้ำหนักเรือนยอดไม่ไหว(ไม้ยางพาราทรงพุ่มจะอยู่ข้างบน ไม่มีกิ่งยื่นออกมารอบข้างพยุงลำต้น ยางพาราที่ปลูกในดินทรายจึงมีโอกาสล้มระเนระนาด ถ้ามีกระแสลมแรงผสมเข้ามาก็จะเสียหายมากขึ้น) ส่วนพื้นที่ๆไถเพื่อการเพาะปลูก โดยเฉพาะงานที่ต้องยกร่อง ความต่างระดับของพื้นที่กลายเป็นร่องระบายน้ำที่เปราะบาง ทำให้เกิดร่องน้ำกัดเซาะพื้นที่เสียหาย ปัญหาตรงนี้ไม่ทราบว่าจะปลูกแฝกเป็นกำแพงหญ้าชะลอน้ำในดินทรายของอีสานได้หรือเปล่า


ที่สวนป่ายังรับน้ำได้มหาศาล

ต้นไม้ทำหน้าที่เหมือนเขื่อนในอากาศ

ฝนตกมาต้นไม้ช่วยกันดูดน้ำไปเก็บไว้ในลำต้น

ถ้าเป็นแท็งค์เก็บน้ำ ต้นไม้ก็คงบรรจุน้ำจนเพียบแปร้แล้วละครับ


เรือนยอดไม้ กิ่งก้านสาขาที่ยื่นแผ่ออกมา ตลอดจนกิ่งแห้งใบแห้งและวัชพืชได้ทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกของเม็ดฝน ยังทำหน้าที่ซับอุ้มความชุ่มชื้นให้รากฝอยต้นไม้หาอาหารได้อย่างสะดวก ใส้เดือน แมลง จุลินทรีย์ ปลวก ย่อมร่าเริงในพื้นที่ชุ่มชื้นภายใต้ร่มเงาป่า หลังจากฝนห่างไปเห็ดต่างๆก็จะทยอยออกมา เสียดายแต่น้ำฝนที่ล้นจากการดูดซับของต้นไม้ คงจะไหลลงไปที่ต่ำ รวมกันเป็นน้ำหลากไปสมทบกันท่วมไร่นา ไม่ทราบว่าแต่ละพื้นที่จะลุ้นระทึกผ่านวิกฤตินี้ได้เพียงใด

เมื่อวานพี่น้องทางอุบลโทรฯมาเล่าว่าพายุน้ำกำลังทะลักท่วมหนักกว่าคราวน้ำท่วมโคราชเสียอีก ถ้าเป็นอย่างว่า ฝนที่กระหน่ำในภาคอีสานคราวนี้คงทำให้เรือกสวนไร่นาล่มอีกไม่น้อย อีกหน่อยก็จะเข้าช่วงปลายฝนสวีวี่วีแล้ว จะมีเวลาแก้ไขไม่แก้แค้นได้สักประมาณไหน ช่วงนี้เตรียมข้อมูลเรื่องการทำการเกษตรที่จะไปโม้ในงานกรมการข้าวจัด สอบถามสมาชิกว่า..

ปัญหาของชาวนาที่ถือว่าสำคัญอันดับ 1 คืออะไร?

การที่ไม่สามารถควบคุมน้ำได้นี่แหละเป็นเรื่องยักษ์ของชาวนาเขตน้ำฝน

การเพาะปลูกข้าวนั้นจำเป็นต้องมีความชุ่มชื้นที่พอเหมาะต่อเนื่อง

ถ้าฝนทิ้งช่วง 2 เดือนก็โอดกาเหว่าแล้ว

ถ้าฝนตกท่วมหนักๆเดือนละครั้ง ก็นั่งทอดอาลัยตายยากแล้ว

ทุกข์ของชาวนาเป็นทุกข์ของแผ่นดิน มีรายงานก่อนหน้านี้ว่าน้ำท่วม30จังหวัดแล้ว มีผู้เสียชีวิต41ราย มีพื้นที่ชุ่มน้ำค่อนครึ่งประเทศ ดินถล่ม ถนนสะพานพัง ต้นไม้ล้ม บ้านล้มเค้เก้ หมู่บ้านจมซ้ำซากทั่วประเทศอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่น้องทางเชียงแสน เชียงรายเจ็บอักสาหัส ลำพูนต้นมะขามยักษ์เพิ่งล้มลงนอนกับพื้น ภัยแฉะทั้งแผ่นดินทำท่าจะเป็นวิกฤติถาวรตั้งแต่นี้ไป ในเมื่อชวนให้ปลูกต้นไม้ก็เฉยๆๆ  ตราบใดที่พื้นที่ป่าไม้ไม่สมดุลกับพื้นที่ทำมาหากิน มันก็จะอ่วมอรทัยอย่างนี้แหละพี่น้อง

ธกส.รายงานว่า มีหนี้คงค้างเดิมจากการช่วยเหลือเกษตรกรที่ผ่านมา 100,000 ล้านบาท

ถ้าจะให้ช่วยเกษตรกรรายการใหม่ก็ขอให้ล้างบัญชีเก่าก่อนได้ไหม?

กระทรวงเกษตรฯเสนอมาตรการตัวเลขความช่วยเหลือดังนี้

ขอยึดเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือเป็นมูลค่า55% ของต้นทุนเพาะปลูก

ซึ่งคาดการว่าจะมีประมาณ 2 ล้านไร่

นาข้าวจะได้รับชดเชยไร่ละ 2,222 บาท

พืชไร่จะได้รับการชดเชยไร่ละ 3,000 บาท

พืชสวนจะได้รับการชดเชยไร่ละ 5,000 บาท

จ่ายแบบเกทับสมัยนายกรูปหล่อเสียอีก

งบประมาณฉุกเฉินส่วนนี้จะถูกเบียดบังไปยังบัญชีผีอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ

ระบบสารสนเทศที่ออกมาจากละแหล่งยังเหลวไหลอยู่ไม่น้อย

การเก็บภาพ/เก็บข้อมูล/สภาพตามความเป็นจริงยังโมเมชั่น

รายงานตัวเลขผี เกษตรกรผี พื้นที่ผีๆ

จะมาหลอกหลอนก็ในช่วงนี้ละครับผม

มีผีบางประเภท>>

น้ำท่วมก็กินงบน้ำท่วม

แห้งแล้งก็กินงบภัยแล้ง

อเมริกาเองก็เจอพายุไอรินอย่างสาหัส

ไม่รู้ว่ามีรายการผีแห่มาขอส่วนบุญเหมือนในประเทศสารขันธ์หรือเปล่า

:: เป็นชาวนาก็ต้องทำนา

:: เป็นชาวไร่ก็ต้องทำไร่

:: จะหนีไปทำอย่างอื่นนอกจากไม่ถนัดแล้วยังเสียศักดิ์ศรี

:: คุณค่าของคนเราอยู่ที่การทำงาน ใช้งาน ใช้ชีวิต

:: ดุลพินิจในการทำการงานมาตลอดชีวิต

:: จะเป็นคำตอบว่า เกิดมาทำซากอะไร?

มีรายงานว่าช่วงนี้ร่องมรสุมพัดผ่านภาคกลาง-ภาคอีสาน-ถึงวันที่4 กันยายน

เดือนหน้าจะมีพายุมากระหน่ำอีกลูกหนึ่ง

ถ้าแฉะช่ำไปบันยะบันยังอย่างนี้

นุ่งผ้าขาวม้าเตรียมแก้ผ้าเล่นน้ำฝนแข่งกับอึ่งอ่างดีที่สุด

แต่ก็แปลกนะ ..ฝนตกจักๆ..เน็ทกลับใช้งานได้ดี

ทำให้เขียนรายการถึงพี่น้องพอหายคิดถึง อิ อิ ..

Key Word

:: สมัยก่อนฝนตกขี้หมูไหล สมัยนี้ฝนตกน้ำตาไหล


โม้จนเจอดี

อ่าน: 2504


ถ้ า ห วั ง  จ ะ อ ยู่ อ ย่ า ง ส ง บ   อ ย่ า อ ย า ก ดั ง !

ผมก็ไม่ได้อยากเด่นอยากดังอะไรหรอกนะครับ ภาษิตโบราณบอกว่า..กลองอยู่เฉยๆถ้ามันดังขึ้นมาเองเขาถือว่า..กลองจัญไร แต่ถ้าดังเพราะมีคนตีตามโมงยามก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา หมู่นี้สงสัยพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก เสียงโทรศัพท์เข้ามาทั้งวันจนหูไหม้ แต่ละคนโทรยาวเยียด สาเหตุมาจากหนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับวันที่ 30 นะสิครับ ไปลงเรื่องราวครูบาหราเต็มหน้า มีรูปภาพประกอบเต็มพิกัด เสนอเรื่องงานวิจัยเอาใบไม้เลี้ยงวัว ซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่าไปขี้โม้ไว้ที่ไหนบ้าง คนที่เขามาเยี่ยมมาศึกษาดูงานก็ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าใครเป็นใคร จะเอาเรื่องราวไปทำอะไร จนกระทั้งวันนี้ละครับ เรื่องใบไม้เลี้ยงวัวแตกดังโพล๊ะ

เรื่องวัวกินใบไม้

ยังไม่มีใครหยิบยกมาวิจัยจริงจัง

ผมจึงตั้งเป็นหัวข้อวิจัยเสนอ(วช.)

เสนอไปแล้วก็โม้สะบัดสิครับ

เอามาขยายความขยายผลผู้คนก็สนใจ

มีเกษตรกรที่เลี้ยงปศุสัตว์โทรฯถามจากทั่วราชอาณาจักร

บางท่านถามรายละเอียดแล้วยังถามถึงระยะทางที่จะมาหา

บางท่านก็จ้ำจี้นัดหมายว่าอยู่บ้านวันไหน

บางท่านขู่มาแน่..จะบอกล่วงหน้า2สัปดาห์

บางท่านบอกจะเชิญไปโม้เดือนนี้-เดือนหน้า-เดือนโน้น

มีท่านหนึ่งเป็นผอ.โรงเรียนที่สงขลา

โทรมายินดีที่ยังมีชีวีอยู่ บอกว่าติดตามงานอยู่เสมอ น้ำใจหนอน้ำใจ..

ยังคิดไม่ออกบอกไม่ได้ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?

คงจะรีบๆเขียนต้นฉบับหนังสือ”บุรีรัมย์โมเดล” ให้เสร็จด่วนจี๋

เผื่อจะได้ส่งหนังสือเล่มนี้แทนตัวไปให้อ่านกันพลางๆ

ฝนตกขี้หมูก็ไหลมาตามๆกัน  วันนี้สภาการศึกษาแห่งชาติ โทรมาให้ไปซ้อมรับเครื่องราชฯดิเรกคุณาภรณ์เหรียญทอง ในวันที่ 14 ในช่วงบ่าย แล้วรับจริงวันที่ 15  แต่ผมไปติดรายการของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ข้าว เชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ ที่กรมการข้าวจะจัดงานสัมมนา “อนาคตกรมการข้าวและการผลิตข้าวของประเทศไทย” ที่โรงแรมเฟลิกซ์ ริเว่อร์แคว จังหวัดกาญจนบุรี เวลา 10.30-12.30 น. ให้ไปโม้ในหัวข้อ “การทำเกษตรกรรมพึ่งตนเอง อย่างเพียงพอยั่งยืน” ไปชนกับวันที่ผมจะต้องมาซ้อมฯที่สภาการศึกษาในช่วงบ่าย คงต้องขอไปนอนที่เมืองกาญจนบุรีคืนวันที่ 14 ขอแซงคิวโม้เป็นคนแรกสัก 1.30 นาที แล้วเผ่นเข้าบางกอก จะทันไหมนี่ !!

ใครมีเฮลิคอปเตอร์ช่วยบินไปรับหน่อยนะครับ.. โธ่ๆๆๆ

ช่วงนี้พายุฝนกระหน่ำหนัก ขี้หมูก็ไหลเป็นพักๆ หนังสือพิมพ์คมชัดลึกแจ้งให้ครูบาไปรับรางวัล ๗๗ ต้นแบบคนดี แทนคุณแผ่นดิน ปี ๕๔ เป็นตัวแทนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดละ1คน วันที่ 10 กันยายน ที่ห้องมงกุฏเพชร โรงแรมโฆษะ กะว่าจะไปเย็นวันที่ 9 นอน1คืน ไปเสนอหน้าเสร็จก็จะรีบเผ่น เพราะมีเด็กนักเรียน 50 ชีวิตมาเข้าค่ายรอตั้งแต่เช้าแล้ว

ป้าหวาน  ออต  ท่านบางทราย แม่ใหญ่ อยู่ไหมหนอ

จะชวนดวลข้าวต้มมื้อเย็นกันจั๊กหน่อย

จบข่าว อิ..


โมเดลบุรีรัมย์

อ่าน: 2125

(โม้ 3 ชั่วโมงน้ำลายเหนียวเลยละครับ)

ชื่อนี้ผมไม่ได้ตั้งเองหรอกนะครับ เกิดจากท่านที่สนใจเข้าร่วมรับฟังการนำเสนอ “งานวิจัยไทบ้าน : การบูรณาการปัญหาของชาวบ้านกับการทำวิจัย” ได้อภิปรายให้ความเห็นและข้อเสนอแนะ อาจารย์สุภาพสตรีอาวุโสท่านหนึ่งได้สะท้อนความคิดเห็นหลังจากที่ผมเสนอภาพรวมกิจกรรมวิจัยในมหาชีวาลัยอีสาน ท่านกล่าวว่า “นี่แหละโมเด็ลบุรีรัมย์” บังเอิญช่วงนี้กำลังคิดเรื่องชื่อหนังสือที่จะพิมพ์เร็วๆนี้ ก่อนหน้านั้นฟันธงว่าจะให้ชื่อ “งานวิจัยไทบ้านสไตล์แซ่เฮ” เมื่อมีคนช่วยตั้งชื่อให้อย่างนี้แล้วก็ยอมหลีกทางให้ ทั้งๆที่บริบทของบุรีรัมย์ทั้งมวลยังมีเรื่องดีๆอีกมาก การทำเพียงแค่หางอึ่งจะมาทึกทักว่านี่คือ”บุรีรัมย์”ก็กระไรๆอยู่ แต่เมื่อมีคนเห็นเป็นประกายอย่างนี้แล้ว ก็ขออนุญาติใช้ชื่อนี่นะขอรับ

โมเดลบุรีรัมย์เป็นอย่างไรรึ

ขออัญเชิญพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 20 ตุลาคม 2520 ดังนี้ “การทำความดีนั้น สำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวเอง ผู้อื่นไม่สำคัญ และไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องเป็นห่วงหรือต้องรอคอยเขาด้วย เมื่อได้ลงมือลงแรงกระทำแล้ว ถึงแม้จะไม่มีใครร่วมมือด้วยก็ตาม ผลที่ดีก็จะเกิดขึ้นแน่นอน” ผมเป็นคนคิดช้าทำเร็ว นึกอยากจะทำอะไรขึ้นมาก็ทำๆๆ ขอให้ได้กระทำเสียก่อน แล้วค่อยมาคิดปะผุทีหลัง การลุยไปข้างหน้าอย่างนี้ ก็พบอุปสรรคบ้างล้มเหลวบ้าง ได้ผลลัพธ์ตามสมควรบ้าง แต่ที่ได้แน่ๆ ..คือการได้เริ่มต้น ตั้งต้น ตั้งไข่ ถึงจะมีบางเรื่องเค้เก้ไปบ้างก็ถือว่า..นั่นเป็นส่วนหนึ่งของวิธีทำงาน ซึ่งจะต้องเผชิญอยู่แล้ว เปรียบเสมือนออกเรือหาปลาในทะเล เราจะประสบผลสำเร็จได้ปลาเต็มลำเรือทุกเที่ยวย่อมเป็นการยาก คงได้บ้างมากน้อยตามเหตุและปัจจัยแวดล้อม บางทีเจอพายุถึงกับเรืออัปปางก็มี เจอเรือโจรสลัด หรือเครื่องยนต์เสียลอยเท้งเต้งก็ย่อมเกิดขึ้นได้ ไม่มีดอกกุหลาบโรยบนถนนของนักสู้ชีวิต อย่างโชคดีก็อาจจะได้กุหลาบสักดอกวางบนหลุมศพ

(มีเวลา 30 นาที ให้รีบแต่งมุมหน้าห้อง)

เมื่อวานนี้ไปโม้ในงานการนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2554 ณ ศูนย์ประชุมบางกอกคอนแวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็ลทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ ซึ่งเป็นสถานที่ๆไม่เคยเยื้องกรายมาก่อน เคยไปแต่เซ็นต์เตอร์พร้อย เจ้าภาพจัดให้พักที่นี่ แต่การติดต่อประสานงานไม่ลงตัว ผมจึงพักกับเจ้าเก่าที่คุ้นชิน 6 โมงเช้ามีโทรศัพท์ร้อนรนว่าหาตัวผมไม่เจอ “ครูบาพักที่ไหนครับ” พอรู้ว่าผมไม่ได้พักตามที่เขาจัดให้ ก็อลเวงซิครับ เจ้าภาพจะต้องประสานงานเรื่องการเตรียมการนำเสนอ บังเอิญว่าเที่ยวนี้ผมมี2สาวตามไปด้วย นัดแนะกับทีมเจ้าแห้วล่วงหน้า บอกไว้ว่าให้มารับแต่เช้าๆก็เแล้วกัน

ตื่นตี5 รีบลงไปจัดการเรื่องอาหารเช้า ยังไม่อิ่มแห้วก็โผล่มา จึงรีบเผ่นออกไปขนของขึ้นรถ ติดตามด้วยแท๊กซี่อีก1คัน มุ่งตรงไปยังที่จัดงาน ดีว่าทีมงานของแห้วสันทัดกรณี พาเราฝ่าจราจรขึ้นไปยังที่จอดรถชั้น5 เจ้าหน้าที่มารอรับ..พร้อมกับพนักงานช่วยขนสัมภาระไปยังห้องที่ติดป้ายบอกว่า “วิจัยไทบ้าน” เมื่อรู้ที่รู้ทางแล้วก็ช่วยกันขนปัจจัยที่จะมาตบแต่งหน้าห้อง มีเวลา30 นาที ขนลูกน้ำเต้าออกมาวาง เอาผัก-ผลไม้-ดอกไม้ มาจัดลงในภาชนะลูกน้ำเต้า ช่วยกันอย่างขมีขมัน ไม่มีรูปแบบไม่มีการคิดล่วงหน้า ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาจัดแทรกตรงนั้นตรงนี้จนดูดี แห้วเอาหนังสือเจ้าเป็นไผมาเรียง ผู้คนที่ลงทะเบียนทยอยมะรุมมะตุ้มซักถามเรื่องโน้นเรื่องนี้

(ยังไม่เรียบร้อยดี ผู้สนใจก็มาให้แห้วฉอดๆๆปากเปียกปากแฉะ)

อาจารย์บางท่านบอกว่าตั้งใจมางานนี้ เคยได้อ่านหนังสือเจ้าเป็นไผ ชอบมากมาก ได้นำเอาจุดพิเศษในหนังสือเล่มนี้ไปสอนนักศึกษา วันนี้มาเจอตัวจริงก็ขออุดหนุนอีกและขอลายเซ็นด้วย แถมขอถ่ายรูปเป็นหลักฐานอีกด้วยนะ งานนี้เจออาจารย์มากหน้าหลายตาจากหลายสำนักที่ติดตามเรื่องราวของเฮฮาศาสตร์และลานปัญญา เสียดายว่าไม่มีเวลาถามชื่อแซ่กันเลย นามบัตรผมก็ไม่มี หลายท่านต้องการมาเยี่ยมมหาชีวาลัยอีสาน จะติดต่อยังไง ..ผมก็ได้แต่โบ้ยไปหาแห้วสาระพัดนึก

แว๊บ เข้าไปในห้อง เตรียมทดลองสื่อและเครื่องเสียง ติดขัดเล็กน้อยก็ก็ผ่านไปได้ด้วย เสียงดังฟังชัด จัดวางน้ำเต้าหน้าเวทีด้วยนะ ตรงจุดนี้สะท้อนคิดเรื่อง ทำเรื่องธรรมดาให้เป็นเรื่องพิเศษ ประเด็นใหญ่เป็นเรื่องต้นไม้เรื่องโคและแพะแกะ เอาตัวจริงมาแสดงไม่ได้ ก็อาศัยสื่อภาพและเสียงแทน ระหว่างที่รอเวลา ผมก็เปิดเพลง”กอด” พร้อมกับเล่าเรื่องเครือข่ายชาวเฮและลานปัญญา เพื่อรอเสียงระฆังขึ้นชก

(แห้วทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ)

ได้เวลา.. เจ้าหน้าที่(วช.)ที่ดูแลห้องนี้ บอกว่า..พวกเรามากันหลายคนขอให้ทำหน้าที่ดำเนินรายการเหมาโหลได้ไหม? ผมเหล่ตาไปที่แก้วสาระพัดนึก แห้วก้าวฉับๆๆไปคว้าไมค์เปิดรายการอย่างบรรเจิด โม้ซะฟุ้งกระจาย หลังจากนั้นทุกอย่างก็เรียงล่ายซ่ายตามกำหนดการ เป็นที่สังเกตงานว่านี้มาผู้ที่ตั้งใจมาฟังไม่น้อย มีกลุ่มที่เป็นตัวหลักปักฐานฟังแบบไม่ขยับไปไหนเลย จะมีอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นขาจรสัญจรเข้าห้องโน้นห้องนี้ ห้องเราจึงมีคนหมุนเวียนเข้ามาตลอด มีทั้งที่มาวางก้นแม๊ะและย้ายก้นไปตามอัธยาศัย โดยภาพรวมแล้วก็อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้

(ท่านผู้ฟังลุกขึ้นให้ความเห็นหลายรอบ)

ท่านรองเลขาธิการ(วช.)ย่องมานั่งคุยกับผู้ฟังหลายจุด เพื่อจะขอทราบเสียงสะท้อนบริบทงานวิจัยไทบ้าน ที่คณะกรรมการ(วช.)ให้ความสนใจอยากจะเปิดประเด็น ท่านรองเล่าว่า..กว่าจะควานหาตัวครูบาเจอและเกี่ยวก้อยมาเอาในงานนี้ได้ก็ใช้เวลาไปไม่น้อย จึงให้ความสำคัญกับห้องนี้มาก หลังจากจบรายการท่านขอคุยด้วยในระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน ท่านฝากการบ้านให้ผมเอากลับมาคิดว่าจะทำยังไง 3 ข้อ

1 งานวิจัยเพื่อชุมชน คณะกรรมการพิจารณาผลงานทางวิชาการ ไ ม่ ถื อ ว่ า เ ป็ น ผ ล ง า น ท า ง วิ ช า ก า ร  ทั้งๆที่มีผู้รู้ผู้สันทัดกรณีบอกว่ามันมีความหมายและความสำคัญไม่ด้อยกว่าการวิจัยในแขนงอื่น แต่คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิก็ยังไม่ปลงใจ ผมเองก็เพิ่งทราบประเด็นนี้ มิน่าละ..งานวิจัยชุมชนมันถึงตกหล่ม ออกอาการเหมือนถูกยาคุมกำเนิด  พูดกันจัง.. อยากให้มหาวิทยาลัยทำงานเพื่อพัฒนาท้องถิ่น เป็นแม่และพี่เลี้ยงให้แก่ท้องถิ่น เป็นบ่มเพาะปัญญาให้ท้องถิ่น แต่ในทางด้านการส่งเสริมและสนับสนุนกลับทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง นี่แหละหนอประเทศไทย ไม่ส่งเสริมให้รู้จักกำพืดของตนเอง แล้วมันจะเจริญรู้เขารู้เราอย่างไรละครับ โธ่ๆๆๆ..

2 งานวิจัยเดี่ยว จะได้แต้มได้คะแนนในการพิจารณาผลงานสูงมากกว่างานวิจัยเป็นหมู่คณะ ผมก็ไม่เข้าใจว่าเดี่ยวมือหนึ่งมันพิเศษตรงไหน ต่างกับการระดมพลังสติปัญญากันทำการวิจัยตรงไหน ถ้าคำนึงถึงการส้างประชาคมวิจัย ให้ความสำคัญของการผลิดนักวิจัย ฝ่ายอุปการะงานวิจัยควรจะมองให้ทั่วถ้วนว่า แต่ละกรณีมีความเด่นอยู่ในตัว ถ้ามาออกแบบ2มาตรฐานอย่างนี้ การผลิตนักวิจัยต้นทางก็จะง่อยเปลี้ยกับความคับแคบของนโยบาย ผิดถูกผมไม่ทราบนะครับ คิดอย่างนี้ก็ฉอดๆๆๆยังงี้และขอรับ

3 สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สนใจที่จะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อบต.อบจ. เทศบาล หรือประชาคมที่หลากหลายได้ช่วยกันทำงานวิจัย เพื่อจะได้เชื่อมโยงสังคมแห่งการเรียนรู้ให้รุมมะตุ้มช่วยกันสังเคราะห์ความรู้ ค้นหาแนวทางในการพัฒนาองค์กรและบทบาทของตนเองให้เกิดวิธีทำงานเชิงรุก แต่ท่านรองฯบอกว่ายังหนักใจ ไม่รู้จะเจาะตรงไหน ทำอย่างไรกระบวนการวิจัยเชิงประจักษ์จะไปปักฐานลงในองค์กรในระดับต่างๆเหล่านี้ได้ ท่านมองว่า..ในอนาคตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหนีเรื่องนี้ไม่ออกหรอก แต่ช้าเท่าไหร่ก็น่าเสียดายเท่านั้น

(ท่านที่ให้กำลังใจและซื้อหนังสือขอถ่ายภาพด้วยก็เลยถ่ายยกชุดเสียเลย)

ท่านโอดครวญว่า คนไทยให้ความสนใจงานวิจัยน้อยมาก สำนักงานฯตั้งใจลงทุนจัดงานนี้อย่างเหน็ดเหนื่อย เต็มที่กับงานอย่างที่สุด แต่คนไทยก็เรื่อยๆมาเรียงๆ โดยเฉพาะวันหยุดด้วยแล้ว ไทยบางคนไม่ยอมสละเวลามาหาปัญญา แม้แต่อาจารย์ที่สอนเรื่องการวิจัยก็ยังซึมกะทือกับวิธีการเดิมๆๆ  เอาแต่จะสอนๆๆ..ไม่ดูตาม้าตาเรือ แทนที่จะบอกให้นักศึกษามาตระเวณดูงาน เข้าสู่บรรยากาศของการวิจัย ห้องโน้นเข้าห้องนี้ รับรู้รับทราบวิธีวิจัย ชมผลงานวิจัย สอบถามความรู้จากผู้สันทัดกรณีทางด้านนี้ ที่มีเวทีคอยอธิบายเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ ล้วนมีความจำเป็นต่อการเป็นนักวิจัยทีดีทั้งนั้น มีอาจารย์ท่านหนึ่งมาจากเชียงใหม่ ขนนักศึกษามา50ชีวิต ให้แบ่งกันออกไปประจำห้องโน้นห้งนี้ แต่ตัวท่านอาจารย์กลับมาปักหลักอยู่ที่ห้องของเรา หลังเวทีอาจารย์บอกว่าอยากจะเชิญไปโม้ที่เชียงใหม่ ผมละนึกถึงหน้าครูอึ่งครูอารามและอุ้ยขึ้นมาทันที หาเรื่องจะไปกวนใจอีกแล้วหรือนี่

งานนี้เหมาะที่นักวิจัยทุกระดับจะมาร่วมเรียนรู้ มีประเด็นเด็ดๆรออยู่ เช่น

- แหล่งสืบค้นข้อมูลทางการวิจัย

- ขั้นตอนการขอรับทุนวิจัยจากหน่วยงานที่ให้ทุน

- การจัดทำข้อเสนอการวิจัยเพื่อรับทุน

- การติดตามประเมินผลโครงการ

- กระบวนการต่อยอดงานวิจัย

- การบริหารทรัพย์สินทางปัญญา และ การจดสิทธิบัตร

(ขอบคุณทุกความเห็นและข้อเสนอแนะดีๆ)

KeyWord  จะวิจัยหรือวิจุ้ย!..การลงมือทำเป็นวิธีที่ดีที่สุด

ความสำเร็จของการจัดงาน  “การนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2554″ ในปีนี้ เกิดขึ้นด้วยความร่วมมืออย่างดียิ่งของหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ ในการนำ “ต้นทุน” ทางความรู้อันเกิดจากการศึกษาค้นคว้าและวิจัยในหลากหลายประเด็นและลัษณะ อันได้แก่งานวิจัยที่เป็นองค์ความรู้ งานวิจัยและพัฒนา งานวิจัยเชิงนโยบาย งานวิจัยจากการต่อยอดและขยายผล รวมถึงงานวิจัยที่ผ่านกระบวนการสร้างมูลค่าและคุณค่า ซึ่งทรัพยากรทางปัญญาเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นความพยายามและตั้งใจของทุกภาคส่วนในการผลักดันให้เกิดงานวิจัย ที่มุ่งหมายการนำสู่การพัฒนาและแก้ปัญหาของประเทศในหลากหลายหลายระดับ โดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ทำหน้าที่หน่วยงานกลางเพื่อประสานและเชื่อมโยงและยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ผู้ผลักดันนโยบายสู่การปฏิบัติโดยใช้กระบวนการวิจัย ผู้บริหารทรัพย์สินทางปัญญา ผู้ใช้ประโยชน์จากการวิจัย

(ทรัพย์สินทางปัญญาของมหาชีวาลัยอีสาน)

คำว่า ทรัพย์สินทางปัญญานี่แหละ

ถามว่าจะไปแสวงหาได้จากที่ไหน

ถ้าเราไม่ช่วยกันวิจัยเพื่อกระเทาะปัญญาให้ส่องแสงวับแววดั่งแก้วก่องประภัสสร

รวบรวมผลงานวิจัยของประเทศนี้มีอะไรบ้าง

มีเท่าไหร่..ก็หมายถึงต้นทุนหรือสินทรัพย์ทางปัญญา

ถ้าพิจารณาดูให้ถ่องแท้ก็จะทราบว่าประเทศนี้มีกึ๋นอยู่เท่าใด

เอาไปเปรียบเทียบกันชาติอื่นเราอยู่ในระดับไหน

ระดับปลายแถว-ระดับกลางแถว-หรือระดับตกแถว

(อาจารย์ท่านนี้อ่านเจ้าเป็นไผ บอกชอบมากจะเอาไปสอนนักศึกษา)

ปีนี้มีนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและนิทรรศการจากหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศมากกว่า 10 หน่วยงาน ร่วมนำเสนอผลงานวิจัยและกิจกรรมวิจัยกว่า500เรื่อง มีกรณีพิเศษอยู่เรื่องเดียวคือ “งานวิจัยไทบ้าน” ที่ยังไม่ได้ทำผลงานวิจัย แต่ไปเสนอเค้าโครงให้เห็นว่าบริบทงานวิจัยไทบ้าน(นอก) เป็นอย่างนี้นะขอรับ ต่อเมื่อได้รับทุนสนับสนุนให้ทำการวิจัยเรื่องเอาใบไม้เลี้ยงโค คราวหน้ามหาชีวาลัยอีสานถึงจะได้มานำเสนอกิจกรรมวิจัยกับเขาบ้าง

เรียกว่างานนี้..เสียงมาก่อนเห็นตัวว่างั้นเถอะ

เรื่องสาระ/เสนอหน้าเสนองานยังเป็นการบ้านที่ต้องติดตามอย่างระทดระทวยกันต่อไป

เท่าที่รับฟังเสียงท่านผู้ฟังที่ลุกขึ้นมาอธิบายขยายความ

มีคำถามไม่กี่ข้อ

ส่วนใหญ่จะกล่าวสนับสนุนให้ความเห็นแบบเข้าข้างอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู

อาจารย์อาวุโสหลายท่านยืนยันต่อหน้าไมค์โคโฟนว่า..

วิจัยแบบไทบ้านนี้แหละ..ควรอุดหนุนและสนับสนุนอย่างยิ่ง


ผมพยายามบอกว่า นักวิจัยไทบ้านต้องการเป็นพันธมิตรกับนักวิจัยมืออาชีพหรือนักวิจัยวิชาการ เราเองก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน และถ้ายอมรับความจริงก็จะเห็นว่า..ไม่ว่างานวิจัยประเภทไหนๆก็มีข้อจำกัดด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเปิดสะพานเชื่อมโยงกัน-ร่วมกันคลุกเคล้างานวิจัยด้วยกัน ความสมบูรณ์ผลลัพธ์ของงานวิจัยก็จะเต็มเปี่ยมครบสูตร คิด-ค้น-คว้า-ตีแตกปัญหา-ให้แตกมัน-กลั่นกรองเอาแต่หัวกะทิไปใช้อย่างหนึ่ง-เอาหางกะทิไปใช้อีกอย่างหนึ่ง-ต่อยอดความคิดไปสู่การผลิตผลทางปัญญา-ช่วยกันปรับนักวิจัยมือสมัครเล่น-ให้เป็นนักวิจัยมืออาชีพ- ถ้าทำได้อย่างนี้ก็ไม่ต้องไปเสียเงินสร้างหิ้งมารอรับงานวิจัย

มีบางท่านเอาเป็นเอาตายกับกรอบงานวิจัย

ผมมองว่าที่เขามีกรอบไว้นั้นเหมาะกับนักวิจัยมือสมัครเล่น

ที่หันรีหันขวาง..ก็จับมาเข้าลู่ที่เรียกว่ากรอบ

แล้วค่อยให้ฝึกการตั้งไข่กับวิธีการวิจัย

คงเหมือนหัดถีบจักรยาน..ต้องมีคนคอยจับประคองสักระยะหนึ่ง

แต่นักวิจัยไทบ้านไม่ได้คิดติดกรอบ ต้องการความอิสระอย่างยิ่ง งานวิจัยต้องได้การยอมรับให้ลองผิดลองถูก ถ้ามุ่งแต่จะเอาความถูกต้องโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ  เราจะได้รู้ลึกถึงแก่นความผิดถูกหรือครับ ผิดก็ได้เรียน ถูกก็ได้เรียน มันถึงจะรู้เรื่องไหนผิดเรื่องไหนถูก ไม่งั้นก็จะเข้าใจยันเตว่าของตนเองถูกๆๆแบบน่าเวทนา งานวิจัยไทบ้านคิดในเรื่องปัญหาที่เผชิญอยู่ ว่าจะหาทางแก้ไขปัญหา ลดวิกฤติต่างๆ หาช่องทางที่ใหม่และดีกว่า เมื่อทดลองทำไปแล้วก็เก็บสาระระหว่างทางถึงจุดดีจุดด้อย ยังไม่จำเป็นต้องมามีกรอบขีนเส้นให้ทำต๊อกๆ ..ถ้ามีใครรู้ดีถึงกับเขียนกรอบมาให้ ก็แสดงว่างานนั้นไม่จำเป็นต้องทำแล้วละครับในเมื่อรู้แจ้งจ่างป่าง ไปก๊อปปี้เอามาอย่างที่นิยมชมชื่นกันไม่ดีกว่าหริอ

ผมมองว่า คนที่จะเขียนกรอบได้

คือคนที่ลงมือกระทำงานวิจัยเรื่องนั้นๆผ่านมาแล้ว

รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเองแล้วถึงมาสรุปขั้นตอนหรือกระบวนการในเรื่องนั้นๆ

แต่ผมก็ไม่อยากจะเรียกว่า “กรอบ” อยู่ดี

เพราะงานวิจัยไม่ใช่เรื่อง “วัวหายล้อมคอก”

แ ต่ ถ้ า เ ห็ น ว่ า จำ เ ป็ น จ ะ ต้ อ ง มี ค อ ก ขั ง ค ว า ย

ข้อยบ่ว่าอิหยังดอก อิ อิ..

เมื่อคืนนี้กลับมาสลบเหมือด สองสาวที่หนีบมาด้วยจากบุรีรัมย์มีเวลาน้อย ก็คุยๆๆๆอธิบายถึงงานทำวิทยานิพนธ์ ผมฟังเรื่องนี้มาข้ามคืนข้ามวัน ให้ความเห็นบ้างอือออๆแล้วก็หม่อยหลับไป จวน4ทุ่ม 2สาวมาปลุกว่าได้เวลาเผ่นกลับบ้านแล้วนะพ่อ เออๆๆ..งึมงำลุกไม่ขึ้นไม่ได้ไปส่ง  ตื่นเช้ามามีงานจังก้ารออยู่พะเรอ  ต้องนั่งปั่นหนังสือขอคำนิยมจากท่านอาจารย์สุเมธ ตันติเวชกุล ทราบว่าท่านจะมาบรรยายที่งานวันนี้ จะชวนแห้วไปอีกแห้วก็เหินหาวไปกับคณะนักศึกษาป.โท มีโทรฯมาสอบถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ จะขอไปดูงาน จะขอเชิญไปร่วมงาน จะขอมาพบ โอ้ยๆๆ..จะแย่แล้ว เรียงลำดับงานไม่ถูก ช่วงสายๆพระอาจารย์เฮ็นรี่อยู่ทางใต้ กำลังอบรมคุณครู โทรสายด่วนมาบอกว่า..อยากจะให้คุยกับคุณครูทางโทรศัพท์ด่วนจี๋ ในประเด็น “บริบทคุณครูผู้สร้างชาติ” สัก 5 นาที ผมก็ฉอดๆให้เป็นที่เรียบร้อยไปแล้วละครับ

ขาใหญ่โทรมาบอกว่ายังชั่วจากการเป็นหวัด

จะมาชวนไปดวลอาหารอีก

ผมขอบาย ..ไม่ไหวแล้ว หายใจขัดๆแล้ว เอวัง..


บ้าหอบฟาง

อ่าน: 2930

คนอื่นเขาจะไปนำเสนองานวิจัยแบบไหนผมไม่รู้นะครับ แต่งานวิจัยไทบ้านนอก เตรียมขนมะพร้าวห้าวไปเต็มที่ มีของไปหลายลัง เพื่อเอาตัวอย่างงานวิจัยเล็กๆน้อยๆมาให้ผู้ที่ลงทะเบียนได้ชม คิดอยู่นาน..ว่าจะเอายังไงกับรูปแบบการนำเสนอในครั้งนี้ จะจูงวัวที่กินใบไม้ไปโชว์ก็ลำบากแย่ เพราะห้องนำเสนออยู่ชั้นที่ 22 ถึงจะเอาวัวขึ้นลิฟไปได้ ก็ไม่รู้จะไปผูกไว้ตรงไหน  ถ้าจะเอาแพะไปด้วยก็เกรงว่าจะเดินเพ่นพ่านในงาน เรื่องมาจบตรงเตรียมPowerpoint เตรียมน้ำเต้าลูกแปลกไปอวด แถมยังเอาน้ำเต้ามาประดิษฐ์เป็นของใช้สอย เช่น ทำเป็นที่ใส่อาหาร ใส่ผลไม้ ใส่ของกระจุกกระจิกตั้งโต๊ะ ทำเป็นแจกัน และรังนก ยังเอาแผ่นไม้อะคาเซียที่ปลูกและแปรรูปไปให้ชม เพื่อจะได้ทราบขั้นตอนงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาพันธุ์ไม้ของมหาชีวาลัยอีสาน

อ่านต่อ »



Main: 0.085880994796753 sec
Sidebar: 0.073076009750366 sec